เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือภาวะโลกร้อน

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือภาวะโลกร้อน นพ. ภาคิน โลวะสถาพร แผนกอายุรกรรมทั่วไป         ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพภูมิศาสตร์ คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า กระแสโลกร้อนนี้มาแรงจริงๆ ก็ฝีมือพวกเราทุกคนนั่นแหละครับ จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะชีวิตประจำวันของเรานั้น เราเป็นผู้ที่บริโภคทรัพยากรบนโลกมากที่สุด เราในที่นี้หมายถึงทุกคนนะครับ จะบอกว่า ผมใช้ทรัพยากรน้อยกว่าคนโน้นคนนี้ก็ไม่ได้ เพราะเราทุกคนก็ใช้ทรัพยากรสะสมกันมาตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องเกี่ยงกันนะครับ ลองพิจารณาดีๆนะครับ ว่าใช้อะไรบ้าง ตั้งแต่เราตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน หรือตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเสียชีวิต ลองคิดดูเล่นๆนะครับ ในหนึ่งวันประชากรไทยเกือบ 70 ล้านคน จะใช้ทรัยยากรไปเทาไหร่ และจะสร้างขยะมูลฝอยเท่าไหร่ ในโลกนี้มีประชากรประมาณ 7,000 ล้านคน จะใช้ทรัพยากร มหาศาลเพียงใด เห็นไหมครับ มันสำคัญมาก           เข้าเรื่องสุขภาพการแพทย์ดีกว่า ในช่วงระยะที่ผ่านมา ผมสังเกตว่า จะมีคนไข้ที่มีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ ภายใน 1-2 วัน และเพิ่มปริมาณมากขึ้น แทบจะเรียกได้ว่า 60-70 % ของคนไข้ที่มาตรวจเลยทีเดียวครับ ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนด้วยหรือเปล่า โดยทั่วไปคนไข้ที่มีอาการ ไข้สูงมาภายใน 1-2 วันแรก ก็จะมีได้หลายสาเหตุนะครับ แล้วแต่ว่าจะมีอาการร่วมไปทางใด เช่น บางคนปัสสาวะแสบขัด ก็อาจจะเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือกรวยไตอักเสบ ก็เป็นได้ บางคน ใอ เจ็บคอ ตรวจพบต่อมทอลซินบวมแดงเป็นหนอง ก็วินิจฉัยว่าต่อมทอลซินอักเสบ หรือบางคนเพิ่งเข้าป่ามาเมื่อ สองถึงสามสัปดาห์มาก่อน ก็อาจเป็นไข้มาลาเรียก็เป็นได้ ก็ยกตัวอย่างมาให้เห็นกันชัดๆนะครับในหลายๆกรณี คนไข้มาด้วยไข้เฉียบพลัน ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตัว ปวดเอว เบื่ออาหารและคลื่นไส้ แบบนี้ก็ยากที่จะวินิจฉัยโรคเฉพาะเจาะจงครับ ก็ต้องอาศัยข้อมูลระบาดวิทยาว่า ช่วงนี้มีโรคใดที่ระบาดกันบ้าง อย่างช่วงนี้ก็สงสัย ไข้หวัดใหญ่ มากที่สุดนะครับ ซึ่งอาการก็เป็นได้ดังที่กล่าวมาแล้ว สังเกตว่าคนไข้ที่มาหาส่วนใหญ่มักจะอยู่ในวัยทำงาน ไม่ค่อยได้พักผ่อน นอนดึก ตื่นเช้า หลายคนมีโอกาสออกกำลังกายน้อยมาก ในเมื่อร่างกายกำลังอ่อนเพลีย ประกอบกับเชื้อโรคกำลังเจริญเติบโตดีในสภาพอากาศแบบนี้ ก็ทำให้ผู้ที่รับเชื้อเข้าไปมีโอกาส เป็นโรคได้มากหรือบ่อยขึ้น          ครั้นถ้าเราเป็นแล้วจะรักษาอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุด คือการต้องพักผ่อนให้มากที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นภูมิคุ้มกันโรค เพื่อต่อสู้กับโรค เป็นเพราะว่า เชื้อไข้หวัดนี้เป็นเชื้อไวรัส เราไม่มียาฆ่าเชื้อโดยตรง ต้องอาศัยภูมิคุ้มกันของเรานะครับ และรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ การดื่มน้ำสะอาด ถ้าผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียมาก ก็ต้องมารักษาตัวในโรงพยาบาลต่อไป เพราะฉะนั้นหากเราไม่ต้องการให้เป็นไข้หวัด ก็ควรพยายามหลีกเลี่ยงสัมผัสกับผู้ที่มีอาการ ใส่หน้ากากปิดจมูกไว้ ล้างมือสม่ำเสมอ อยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก และไม่อยู่ในที่ๆมีผู้คนแออัดมากเกินไป รวมถึงการทำให้ร่างกายเรามีสุขภาพดีอยู่เสมอ เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อน และการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะอนามัยครับ          ไม่ว่าจะเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือภาวะโลกร้อน คุณก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ที่สำคัญอย่าลืม ช่วยกันประหยัดพลังงาน เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนกันด้วยนะครับ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ออกกำลังกาย-กินผักผลไม้ ป้องกันหวัด!

ออกกำลังกาย-กินผักผลไม้ ป้องกันหวัด! นพ.ชิดเวทย์ วรเพียรกุล อายุรแพทย์ รพ.วิภาวดี           ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ ทำให้หลายท่านสุขภาพแย่ ทุกท่านควรออกกำลังกายควบคู่กับกินผักผลไม้ วิตามินซีสูง และรับประทานอาหารร้อนๆ ช่วยสร้างความอบอุ่นร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัด           ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแบบนี้ คงทำให้เราควรที่จะหันมาดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสภาพต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอ่อน เด็กเล็ก และกลุ่มผู้สูงอายุ นับเป็นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบต่อสุขภาพได้ง่าย พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้สูงอายุจึงต้องมีความเข้าใจ และรู้จักการดูแลสุขภาพตนเองและลูกหลานอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝน เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัด เพราะหากป่วยเป็นไข้หวัดและไม่มีการดูแลสุขภาพที่ดี อาจส่งผลให้กลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวม ได้ในที่สุด โดยเฉพาะผู้สูงอายุจึงต้องสร้างความอบอุ่นร่างกายให้กับตนเอง และควรมีการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี           การออกกำลังกาย สามารถช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายได้ และที่สำคัญยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคไข้หวัดได้ด้วย ซึ่งการออกกำลังกาย ควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน การเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องการรำมวยจีน เป็นต้น การออกกำลังกายดังกล่าว จะช่วยทำให้รู้สึกหายใจเร็วขึ้น ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที เป็นเวลาอย่างน้อยก็เพียงพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกันในบริเวณทางเดินหายใจ เพราะการออกกำลังกายหนักมากเกินไป กลับไม่ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน ในการเริ่มต้นของการออกกำลังกาย ควรเริ่มจากเบาๆ ระยะเวลาน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว จากนั้นจึงเพิ่มความแรง หรือความหนัก แต่ขอย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหนัก หรือเหนื่อยมากๆ           สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงนอกจากการออกกำลังกายเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย คือ การกินอาหาร เน้นกินผักหลากหลาย ทั้งผักสดหรือลวก ต้ม ผัด และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะกอก องุ่น สับปะรด เป็นต้น เพราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้กับร่างกาย ดังนั้น หากคุณดูแลสุขภาพตนเองได้ตามข้อปฏิบัติดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีสุขภาพดีในช่วงหน้าฝนเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลต่อการมีสุขภาพดีในระยะยาวอีก  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ไข้หวัด โรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด

ไข้หวัด โรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด            โรคไข้หวัด เป็นการติดเชื้อของจมูก และคอ ส่วนใหญ่ 75-80 % เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งรวมเรียกว่า Coryza viruses ประกอบด้วย Rhino-viruses เป็นสำคัญ เชื้อชนิดอื่นๆมี Adenoviruses, Respiratory syncytial virus เมื่อเชื้อเข้าสู่จมูก และคอจะทำให้เยื่อจมูกบวม และแดง มีการหลังของเมือกออกมาแม้ว่าจะเป็นโรคที่หายเองใน 1 สัปดาห์ แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัด 6-12 ครั้งต่อปี ผู้ใหญ่จะเป็น 2-4 ครั้ง ผู้หญิงเป็นบ่อยกว่าผู้ชายเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็ก คนสูงอายุอาจจะเป็นปีละครั้ง อาการ           ผู้ใหญ่ มีอาการจาม และน้ำมูกไหลจะนำมาก่อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักไม่ค่อยมีไข้ เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย 2-3 ชั่วโมงและหมดใน 2 สัปดาห์ บางรายอาจมีอาการปวดหู เยื่อแก้วหูมีเลือดคั่ง บางรายเยื่อบุตาอักเสบ เจ็บคอกลืนลำบาก โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน แต่อาจมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์ ในเด็กอาจจะรุนแรง และมักมีการแพร่ไปเป็นหลอดลมอักเสบ ปอดบวม เป็นต้น    การติดต่อ            โรคนี้มักจะระบาดฤดูหนาวเนื่องจากความชื้นต่ำและอากาศเย็น เราสามารถติดต่อจากน้ำลาย และเสมหะผู้ป่วย นอกจากนั้นมือที่เปื้อนเชื้อโรคก็สามารถทำให้เกิดโรคได้โดยผ่านทางจมูกและตา ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนเกิดอาการและ 1-2 วันหลังเกิดอาการ ผู้ที่มีโอกาสเป็นไข้หวัดง่ายคือ เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีเด็กที่ขาดอาหาร เด็กที่เลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็ก   วิธีการติดต่อ มือของเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่สัมผัสเชื้อจากเสมหะของผู้ป่วย หรือสิ่งแวดล้อม แล้วขยี้ตา หรือเอาเข้าปากหรือจมูก  หายใจเอาเชื้อ ที่ผู้ป่วยที่ไอออกมา  หายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ    การรักษา ไม่มียารักษาเฉพาะ ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้ Paracetamol ห้ามให้ Aspirin  ให้ยาช่วยรักษาตามอาการ เช่น ยาลดคัดจมูก ลดน้ำมูก ยาแก้ไออ่อนๆ ให้พัก และดื่มน้ำมากๆ โดยทั่วไปจะเป็นมาก 2-4 วัน หลังจากนั้นจะดีขึ้น ในเด็กโรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือหูชั้นกลางอักเสบ ต้องได้รับยาปฏิชีวนะรักษา การป้องกัน หลีกเลี่ยงที่ชุมชน เช่น โรงภาพยนต์ ภัตราคาร ในช่วงที่ไข้หวัดกำลังระบาด  ไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือ ทิสชูปิดปาก  ให้ล้างมือบ่อยๆ  ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตาเพราะอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้  อย่าอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นหวัดเป็นเวลานาน               เป็นการยาก ที่จะป้องกันการติดเชื้อไข้หวัด และยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันไข้หวัด ดังนั้นการดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด   นพ.ชิดเวทย์ วรเพียรกุล อายุรแพทย์ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การดูแลสุขภาพ เพื่อรับมือกับหน้าหนาว

การดูแลสุขภาพ เพื่อรับมือกับหน้าหนาว  นพ.ชิดเวทย์ วรเพียรกุล อายุรแพทย์ รพ.วิภาวดี           เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วนะครับ ในช่วงฤดูหนาวอาจทำให้หลายท่านป่วยเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ แต่สำหรับบางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อเจออากาศเย็นๆ คงทำให้มีอาการมีแพ้มากขึ้น เช่น จาม น้ำมูกไหล หรือบางคนที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว ก็อาจมีอาการหอบมากขึ้นได้ โดยเฉพาะยิ่งถ้าติด ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย คงแย่แน่เลยครับ เพราะฉะนั้น การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าสุขภาพดี จะลดโอกาสการเจ็บป่วยลง ลองปฏิบัติตาม 8 วิธี ในการดูแลสุขภาพ เพื่อรับมือกับช่วงหน้าหนาวกันดูนะครับ      1. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่            ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ      2. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และไม่ควรใช้ของ           ร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อน เป็นต้น      3. อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่เข้าไปในที่แออัด      4. หากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ควรมีผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม และไม่คลุกคลี กับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อย ๆ      5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพร่างกาย           เสื่อมโทรม มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย      6. ล้างมือบ่อย ๆ เนื่องจากเราอาจไปสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ เช่น ราวบันได            ลูกบิด ประตู แก้วน้ำ เป็นต้น โดยล้างมือด้วยสบู่ธรรมดา 15-20 วินาที หรือใช้น้ำยา ล้างมืออื่น ๆ       7. รักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ในที่ที่หนาวมาก           ควรสวมหมวกเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย      8. ดูแลเรื่องผิวหนัง โดยการทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ถ้าอากาศ           หนาวมาก ไม่อาบน้ำนาน ๆ ในที่ที่หนาวมาก หลังอาบน้ำควรทาโลชั่นหรือน้ำมันทาผิว            ในกรณีที่มีปัญหาริมฝีปากแตก ควรทาด้วยลิปสติกมันและไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ          เราควรหมั่นคอยดูแลสุขภาพตลอดเวลา เพราะจะเป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุด และไม่มีใครรู้ว่าความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อไหร่ การที่เราสุขภาพที่ดี อาจทำให้เราเจ็บป่วยน้อยลง          อย่าลืมนะครับว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ”

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) นพ. อนวรรถ ซื่อสุวรรณ  อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม แพทย์ที่ปรึกษา รพ.วิภาวดี โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร?      โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีข้ออักเสบพร้อมกันหลายๆ ข้อ เมื่อข้ออักเสบเป็นเวลานานข้อจะถูกทำลาย ทำให้ข้อผิดรูป และเกิดความพิการตามมาได้ นอกจากอาการทางข้อแล้ว ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแสดงในอวัยวะอื่นๆ นอกจากข้อได้ด้วย  สาเหตุการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร?      สาเหตุของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ยัง ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด จากการศึกษาพบว่ามีปัจจัยหลายประการที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยทางการติดเชื้อ ปัจจัยทางด้านฮอร์โมนเพศ และปัจจัยทางระบบภูมิต้านทาน ปัจจุบันเชื่อว่า การเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ คือ ผู้ป่วยมีปัจจัยทางพันธุกรรมซึ่งเอื้อต่อการเกิดโรค และได้รับการกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆ อาการที่สำคัญในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีอะไรบ้าง?      อาการที่สำคัญ ได้แก่ ข้ออักเสบจำนวนหลายข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้อมือและข้อนิ้วมือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อตลอดเวลาไม่ว่าจะใช้ข้อทำงานหรือไม่ก็ตาม และมีอาการข้อฝืดขัดหลังการตื่นนอนตอนเช้า นอกจากอาการที่ข้อแล้ว อาการในระบบอื่นที่อาจพบได้ เช่น ไข้ต่ำๆ อาการอ่อนเพลีย ปุ่มรูมาตอยด์ อาการปากแห้งตาแห้ง เป็นต้น เมื่อมีข้ออักเสบ ข้อจะสูญเสียหน้าที่การทำงาน ความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อลดลง เมื่อข้อมีการอักเสบเป็นระยะเวลานานข้อจะถูกทำลาย และผิดรูป ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เมื่อมีอาการเต็มที่แล้วการให้การวินิจฉัยทำได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้ป่วยจะมีข้ออักเสบหลายข้อ ส่วนใหญ่ในข้อเล็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มือและเท้า มีการกระจายของข้อที่อักเสบแบบเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง ร่วมกับพบลักษณะข้อผิดรูป แต่ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการนำได้หลายแบบซึ่งในบางครั้งทำให้ยากในการวินิจฉัย  โรคที่มีอาการเลียนแบบหรือคล้ายโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีอะไรบ้าง?      โรคข้ออักเสบที่คล้ายโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ได้แก่ โรคเอสแอลอี (SLE) โรคข้ออักเสบ SNSA โรคเก๊าท์ โรคข้ออักเสบติดเชื้อ โรคข้ออักเสบที่พบร่วมกับโรคมะเร็ง เป็นต้น  ทำไมจึงต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์บ่อยๆ?        การตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีความจำเป็น เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรค ใช้ประเมินความรุนแรงของโรค ใช้ในการประเมินผู้ป่วยก่อนพิจารณาเลือกใช้ยา ใช้ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษา และการติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการรักษา รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้อย่างไร?        การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการร่วมกัน ได้แก่ การรักษาด้วยวิธีการที่ไม่ใช้ยา การรักษาด้วยวิธีการใช้ยา และการรักษาด้วยการผ่าตัด  1. การรักษาด้วยวิธีการไม่ใช้ยา        ผู้ป่วยควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การปฏิบัติตัว และการใช้ยา ผู้ป่วยไม่ควรใช้ข้อทำงานหนักมากเกินไป ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้วิธีการทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูมีส่วนสนับสนุนสำคัญ ในการช่วยรักษาและฟื้นฟูสภาพ ทำให้ผู้ป่วยปวดข้อน้อยลงและช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น การปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านอาจมีความจำเป็น เช่น การปรับก๊อกน้ำเป็นชนิดใช้มือปัดแทนชนิดใช้มือหมุน การอาบน้ำด้วยฝักบัวแทนการใช้ขัน เป็นต้น 2. การรักษาด้วยวิธีการใช้ยา        ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้น มีการพัฒนาวิธีการรักษาโดยการใช้ยาหลายขนานร่วมกัน ทำให้ควบคุมข้ออักเสบได้ดีขึ้น ลดการทำลายข้อ โอกาสที่จะเกิดความพิการเมื่อเทียบกับในอดีตพบว่าลดลงอย่างชัดเจน ยาที่ใช้ในการรักษาประกอบด้วยยาหลายกลุ่ม ดังนี้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ibuprofen, naproxen, indomethacin และ diclofenac เป็นต้น ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติบรรเทาปวดและลดการอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น การระคายเคืองกระเพาะอาหาร ตับอักเสบ อาการบวมน้ำ ความดันโลหิตสูง และเลือดออกแล้วหยุดยาก เป็นต้น การรับประทานยาในกลุ่มนี้ควรรับประทานหลังอาหารทันที ในปัจจุบันมีการพัฒนายากลุ่มใหม่ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่ายาต้านการอักเสบเดิม แต่ประสิทธิภาพบรรเทาปวดและลดการอักเสบเท่าเดิม ยากลุ่มนี้ เช่น meloxicam, celecoxib และ etoricoxib เป็นต้น        ยาต้านรูมาติสซั่มที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค ยาในกลุ่มนี้ไม่มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดโดยตรง แต่จะออกฤทธิ์ทำให้เซลล์ก่อการอักเสบหลั่งสารก่อการอักเสบลดลง ทำให้ข้ออักเสบลดลง ควบคุมโรคได้ดีขึ้น เนื่องจากยาไม่ได้ออกฤทธิ์บรรเทาปวดโดยตรงจึงต้องรอเวลายาออกฤทธิ์หลายสัปดาห์หรือหลายเดือนแล้วแต่ชนิดของยา ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด เช่น chloroquine, sulfasalazine, methotrexate, gold salt, และ leflunomide เป็นต้น ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่อาจพบได้แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของยา เช่น ผลข้างเคียงต่อจอประสาทตา ตับอักเสบ กดไขกระดูก และพังผืดปอด เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยาเหล่านี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด        ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือยาสเตียรอยด์ เป็นยาที่ระงับการอักเสบได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพดี แต่ผลข้างเคียงมาก เช่น ผิวหนังบาง น้ำหนักขึ้น ภาวะกระดูกบาง ต้อกระจก กระดูกขาดเลือด เป็นต้น ปัจจุบันแพทย์พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ อาจใช้เฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือเพื่อควบคุมโรคในการรักษาช่วงแรกซึ่งยาในกลุ่มต้านรูมาติสซั่มที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคยังไม่ออกฤทธิ์ เมื่อควบคุมโรคได้ดีแล้วก็จะลดขนาดยาและหยุดยาให้ได้เร็วที่สุด        ยาต้านสารซัยโตไคน์ ในปัจจุบันพบว่าสารก่อการอักเสบที่สำคัญในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คือสารซัยโตไคน์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นกระบวนการอักเสบต่างๆ จึงมีการพัฒนายาต้านสารซัยโตไคน์ขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น infliximab, etanercept และ adalimumab เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ดีมาก ลดการอักเสบได้รวดเร็ว และยับยั้งการทำลายข้อได้ สามารถใช้ในผู้ป่วยซึ่งไม่ตอบสนองต่อยาต้านรูมาติสซั่มที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อวัณโรคแทรกซ้อนได้ การรักษาด้วยยาในกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายสูง 3. การรักษาด้วยการผ่าตัด         การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นการรักษาที่สำคัญอีกวิธีหนี่งในการรักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มีส่วนช่วยแพทย์ให้ดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขี้น การผ่าตัดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เช่น การผ่าตัดลอกเยื่อบุข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม การผ่าตัดซ่อมแซมกรณีข้อผิดรูป เป็นต้น         ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากขึ้น ทำให้ผลการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ช่วยลดความทุกข์ทรมาน ลดความพิการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องอาศัยการ วินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค ความเข้าใจโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การดูแลสุขภาพและปัญหาสุขภาพจากการทำงาน

การดูแลสุขภาพและปัญหาสุขภาพจากการทำงาน   นพ. ภาคิน โลวะสถาพร อายุรแพทย์ รพ.วิภาวดี            สวัสดีครับ วารสารฉบับเดือนนี้เป็นฉบับพิเศษที่มาพร้อมกับการฉลองครบรอบวันเกิดการก่อตั้งโรงพยาบาลมาครบ 25 ปี ผมในฐานะที่เป็นแพทย์ประจำของรพ.วิภาวดี  ได้มีโอกาสเขียนบทความในวารสารฉบับนี้ ซึ่งได้เข้าถึงผู้อ่านโดยตรงและแม้แต่บุคคลากรทางการแพทย์เอง  บทความนี้จึงมุ่งเน้นถึงปัญหาสุขภาพในทางเวชปฏิบัติที่พบได้บ่อยจากกการทำงาน  และมักจะถูกมองข้ามไป   ในขณะที่เขียนนี้ผมก็ได้นั่งตรวจคนไข้ไปด้วย และบังเอิญที่มีผู้ป่วยเป็นสุภาพสตรีวัยทำงานท่านหนึ่งมารับการตรวจพอดี ผมจึงขออนุญาตยกมาเป็นกรณีศึกษาเลยนะครับ            คนไข้มาด้วยอาการปวดศีรษะ 2 วัน มักจะมีอาการปวดศีรษะบริเวณขมับ  ร้าวมาต้นคอและมีอาการคลื่นไส้ เป็นบางครั้ง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเป็นในช่วงบ่ายและเย็น ในบางครั้งหลังจากตื่นนอน  ก็จะมีอาการมึนศีรษะรู้สึกเหมือนกับไม่ได้นอนหลับ  เป็นอย่างไรบ้างครับ มีใครเคยมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่ครับ จากการซักประวัติต่อไปของคนไข้ ทราบว่าทำงานอ๊อฟฟิตในตำแหน่งวิเคราะห์การเงิน ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งวันและอยู่กับตัวเลขทางบัญชี ต้องมีการประชุมกับผู้บริหารอาวุโสทุกสัปดาห์  ทุกวันต้องนำงานกลับมาทำต่อที่บ้าน นอนดึกตื่นแต่เช้าเพื่อส่งลูกไปโรงเรียน ถึงแม้คนไข้จะบอกว่าเป็นคนอารมณ์ดี ไม่มีความเครียดเรื่องงาน แต่หลายคืน ต้องตื่นกลางดึกโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากทำการตรวจร่างกาย พบว่าคนไข้ไม่มีอาการผิดปกติทางระบบประสาทเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ตรวจพบนั่นก็คือ คนไข้มีรูปร่างท้วม ดัชนีมวลกายมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด มีภาวะความดันโลหิตสูง และมีอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ เมื่อกดถูกกล้ามเนื้อจะมีอาการเจ็บ คราวนี้พอจะทราบแล้วใช่มั้ยครับว่า คนไข้รายนี้น่าจะมีอาการปวดศีรษะจากสาเหตุการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมๆเป็นระยะเวลานาน มีการใช้สายตาโดยต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน  จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขมับ หนังศีรษะและต้นคอรวมถึงบ่าและไหล่ มีการหดเกร็งสะสมเป็นระยะเวลานานจึงมีอาการปวดเรื้อรังขึ้น นอกจากนั้นการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารจานด่วน จึงทำให้น้ำหนักของคนไข้เพิ่มขึ้นอย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ความดันโลหิตเริ่มอยู่ในเกณฑ์สูง ความเครียดจากการทำงานส่งผลให้เกิดอาการนอนหลับไม่สนิท              เห็นหรือไม่ครับว่า  อาการปวดศีรษะของคนไข้รายนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเดียวที่พบ ยังมีปัญหาอื่นๆที่เกิดขึ้นโดยคนไข้ไม่รู้ตัว ดังนั้นการรักษาคนไข้ในรายนี้ นอกจากจะรักษาโดยการใช้ยารับประทานยา การส่งผู้ป่วยไปทำกายภาพบำบัด หรือแม้กระทั่งการฝังเข็มบริเวณจุดที่กล้ามเนื้อยึดเกร็งแล้ว จึงต้องกลับมาพูดคุยถึงที่มาที่ไปของสาเหตุ การปรับตัวการทำงานเช่นการพักสายตา หลังจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หลังจากใช้งานไปสักระยะ ท่าการบริหารกล้ามเนื้อต้นคอ หัวไหล่ และเอว การชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น และยังทำให้การควบคุมน้ำหนัก ระดับไขมันในร่างกายดีขึ้นด้วย  ยังมีข้อดีของการออกกำลังกายอีกมากที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้นะครับ  สำหรับการเลือกรับประทานอาหารก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะชีวิตคนเมืองที่มีแต่ความเร่งรีบ อย่างที่เคยได้ยินมาว่า You are what you eat.  คือคุณรับประทานอาหารอย่างไร มันก็จะแสดงออกให้เห็นในร่างกายของคุณนั่นแหล่ะครับ              การรับประทานอาหารที่ไขมันสูง ก็ก่อให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งก็จะเป็นตัวเสริมให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน การรับประทานอาหารหวานมากเกินไปก็ก่อให้เกิดภาวะเบาหวาน โรคอ้วนได้เหมือนกัน มาถึงตรงนี้สงสัยคนไข้จะปวดศีรษะมากขึ้นหลังจากที่ผมได้แนะนำไปซักพักใหญ่ คนไข้ก็ถามมาว่า   “คุณหมอคะ  ตอนนี้ปวดศีรษะมากเลย ฉีดยาแก้ปวดก่อนได้มั้ยคะ”   เท่านั้นแหล่ะครับ ผมจึงฉุกคิดได้ว่าผมพูดมากเกินไปแล้ว จึงต้องหยุดการสนทนาแล้วจึงพาคนไข้รายนี้ไปรอฉีดยา  อย่างไรก็ตามผมก็ได้นัดคนไข้มาเพื่อติดตามอาการปวดศีรษะ   ตรวจวัดความดัน และนัดตรวจเลือดดูระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดในครั้งต่อไป ผมจึงอยากเตือนทุกท่านว่าให้หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น  เพราะสุขภาพดีนั้น  สามารถสร้างขึ้นได้จากตัวของคุณเองครับ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคที่มาพร้อม ปลายฝน ต้นหนาว

โรคที่มาพร้อม ปลายฝน ต้นหนาว           ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลง  อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน  และทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่าย โรคที่มาพร้อมกับช่วงเวลานี้ ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่  ปอดบวม   หัด   หัด-เยอรมัน  สุกใส  และอุจจาระร่วง   สาเหตุและอาการ             ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่  เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ง่าย  เชื้อเข้าสู้ร่างกายทางจมูก ปากและตา  เชื้ออยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วยที่ไอ จาม นอกจากนี้ เชื้อยังอาจติดอยู่กับภาชนะ ของใช้  หรือพื้นผิวที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย โรคนี้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสถานที่ที่มีคนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก    อาการแสดงออก             คือ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ไอ  จาม  เจ็บหรือแสบคอ อาจมีอาการหนาวสั่นด้วย และสำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการรุนแรงกว่า คือ  มีไข้สูง   ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย  ถ้าพักผ่อนเพียงพอ และได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี  ผู้ป่วยจะหายจากโรคได้ในเวลา 5-7 วัน  บางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ โรคอ้วน โรคเรื้อรัง  เช่น หอบหืด ปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคตับ โรคไต เบาหวาน ฯลฯ  รวมทั้งเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ   การป้องกัน และรักษา หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับผู้ป่วย  รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของรวมกับผู้ป่วย เช่น จาน ช้อนส้อม  แก้วน้ำ  ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ  ถ้ามีผู้ป่วยในบ้าน ควรให้ปิดปากด้วยหน้ากากอนามัย  เวลาไอหรือจาม  ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ขณะที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนแออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หมั่นดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอยู่สม่ำเสมอ    กินอาหารที่มีประโยชน์    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ   พักผ่อนให้เพียงพอ    รักษาร่างกายให้อบอุ่น     และไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัด ควรนอนพักมากๆ และดื่มน้ำบ่อยๆ ถ้าตัวร้อนมาก กินยาลดไข้ และผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือถ้าอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการไอมากขึ้น แน่นหน้าอก  มีไข้นานเกิน 2 วัน   ควรไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์ทันที เช่นกัน    นพ.มนตรี  วงศ์นิราศภัย   อายุรแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

สวยแต่เสี่ยง หากพึ่งพา อาหารเสริมลดน้ำหนัก

สวยแต่เสี่ยง หากพึ่งพา อาหารเสริมลดน้ำหนัก     เคยได้ยินข่าวผลข้างเคียงของยาลดน้ำหนักกันมามากแล้วนะครับ หลายคนสังเกตเห็นจากบุคคลรอบข้าง แม้กระทั่งได้รับผลข้างเคียงจากประสบการณ์ตรงเลยทีเดียว  สารที่ผสมลงไปในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักเหล่านี้สามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเช่น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ ซึมเศร้า ขาดสมาธิในการทำงาน ประสาทหลอน และแม้กระทั่งก่อให้เกิดอาการชักได้ และการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ปากแห้ง คอแห้ง ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเสียชีวิตได้ ยาที่มักจะผสมในผลิตภัณฑ์เหล่านี้เช่น สารเฟนเทอร์มีน (phentermine) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยลดความอยากอาหาร ถูกจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 ต้องมีการควบคุมการซื้อขายไว้สำหรับโรงพยาบาลหรือคลินิกเท่านั้น สารอื่นๆที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เช่น Penfluramine,Dexfenfluramine,Methamphetamine, และ Phenylpropranolamine ส่วน sibutramine นั้นถูกถอนจากทะเบียนยาไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น ยังสามารถตรวจพบสารเหล่านี้ได้ในผลิตภัณฑ์ลดนำหนักอยู่เสมอหรือแม้กระทั่งยาสำหรับรักษาโรค ก็ยังสามารถตรวจพบได้ในผลิตภัณฑ์เหล่าน้้น เช่น ยาธัยรอยด์ฮอร์โมน และยาขับปัสสาวะ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการพึ่งยาลดน้ำหนักมีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับสารที่มีโทษต่อร่างกายได้มากขนาดนี้ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักจึงต้องหันกลับมาคิดให้ดีว่าจะพึ่งยาต่อไปหรือไม่ สิ่งที่เราพูดได้ง่ายๆก็คือการลดปริมาณอาหาร หรืองดอาหารมื้อเย็นลงนั้น ไม่ถูกต้องซักทีเดียว สิ่งที่น่าจะนำไปปฎิบัติให้ได้ผลก็คือการปรับสัดส่วนของอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อให้เหมาะสมมากกว่าการลดปริมาณอาหารลงในทีเดียว เนื่องจากการรับประทานอาหารเป็นนิสัย ความเคยชินที่ติดตัวมานาน การค่อยๆปรับลดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ความหวานลดลง แล้วเติมทดแทนด้วยอาหารที่พลังงานต่ำ เช่นผัก หรือวุ้นเส้นทดแทน จะทำให้กระเพาะ หรือความรู้สึกของผู้ลดน้ำหนักไม่หิวจนเกินไป การปรับลดน้ำหวาน น้ำอัดลม ของหวานระหว่างมื้อลง ก็จะทำให้การควบคุมหรือลดน้ำหนัก เห็นผลดี การเพิ่มการเผาผลาญพลังงานก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้การควบคุมน้ำหนักมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นยังมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย การลดน้ำหนักที่เหมาะสม โดยเฉลี่ยแล้ว ค่อยๆลดลง ครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งจะเห็นว่าอาจจะน้อย ไม่ทันใจสำหรับหลายคน แต่ถ้าลดลงสม่ำเสมอ เราสามารถลดน้ำหนักลงได้ ขั้นต่ำ 6 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การกินอย่างมีสติมากขึ้น การออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพดีขึ้นชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งยา โดย นพ.ภาคิน โลวะสถาพร  อายุรแพทย์ทั่วไป ประจำคลินิกบริการอายุรกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. โรคกรดไหลย้อน

 โรคกรดไหลย้อน         กรดไหลย้อน เป็นภาวะกรดในกระเพาะอาหารย้อนขึ้นมาที่บริเวณหน้าอก ซึ่งหน้าอกก็จะมีอวัยวะ คือ หลอดอาหาร ซึ่งตัวหลอดอาหารเองไม่ทนกับกรด จึงเกิดอาการต่างๆ อาการที่ชัดเจน เช่น แสบร้อนหน้าอก หรือกรดจะมีรสขม รสเปรี้ยว จริงๆ กรดสามารถออกไปนอกหลอดอาหารได้ เช่น ไปโดนกล่องเสียงที่อยู่ในคอ หรือพวกหลอดลม บางทีจะเกิดอาการเสียงแหบ หรือไอเรื้อรังได้ จริงๆ ในคนปกติ สามารถมีกรดย้อนขึ้นมาได้ เช่น ถ้าทานเยอะเกินไป หรือทานแล้วนอน ก็เกิดได้ แต่ที่เราเรียกเป็นโรค คือ คนที่อาการนี้เกิดบ่อยมาก จนเกิดการรบกวนชีวิตประจำวัน ถือว่าเป็นโรคประจำตัวได้ ถ้าเกิดอาการบ่อยๆ อย่างที่บอกว่าเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน ใช้ชีวิตลำบาก   พบได้ในทุกกลุ่มอายุ โดยกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ผู้ที่ดื่มสุรา ผู้ที่สูบบุหรี่ สตรีที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็ง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากนี้การใช้ยาบางชนิด ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงได้เช่นกัน อาทิ ยาลดความดันโลหิตสูงบางชนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า สำหรับในเด็กนั้นสามารถพบได้ตั้งแต่วัยทารกจนถึงเด็กโต ซึ่งอาการที่พบบ่อย เช่น อาเจียนบ่อยหลังดูดนม โลหิตจาง น้ำหนักและการเจริญเติบโตไม่สมวัย ไอเรื้อรัง หอบหืด ปอดอักเสบเรื้อรัง ในเด็กบางรายอาจมีปัญหาการหยุดหายใจขณะหลับได้   อาการหลักของโรคกรดไหลย้อนคือ อาการแสบร้อนหน้าอก รู้สึกขมคอ เรอเปรี้ยว เป็นบ่อยๆ แบบนี้เราวินิจฉัยได้เลย ไม่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมอะไร แต่ส่วนใหญ่ถ้าอาการไม่ตรงไปตรงมา ซึ่งมีอาการกลืนติด กลืนลำบาก หรือรู้สึกจุกๆ มีก้อนที่คอ หรือมีอาการทานอาหารไม่ค่อยลง หรือน้ำหนักลด แบบนี้เราจะกลัวว่าเป็นอย่างอื่นมากกว่า เช่น ถ้าในผู้สูงอายุ อาจต้องระวังโรคมะเร็งหลอดอาหาร แบบนี้อาจจะต้องตรวจเพิ่มเติม ด้วยการส่องกล้องเข้าไปดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ฉะนั้น ถ้าเป็นบ่อยจริงๆ คงต้องรักษา 2 แนวทาง คือ ด้วยยา กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม   ยาที่ใช้เป็นหลัก ก็คือยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อทำให้กรดในกระเพาะจำนวนน้อยลง บรรเทาอาการอักเสบในหลอดอาหารได้ ส่วนหนึ่งที่สำคัญพอๆ กับยา คือ เรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สิ่งสำคัญและง่ายที่สุด คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต คือ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มและอาหารที่มีรสจัด ระวังน้ำหนักร่างกายไม่ให้เกินมาตรฐาน โดยหมั่นออกกำลังกาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรรับประทานอาหารแล้วนอนทันที ควรเดินหรือขยับร่างกายอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารย่อย    โรคกรดไหลย้อน แม้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลร้ายทางร่างกายและคุณภาพชีวิต รวมถึงการทำงาน งานอดิเรกและการใช้ชีวิตประจำวัน ใครที่มีอาการดังกล่าว ควรรีบไปรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะทางระบบทางเดินอาหารและตับ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและเรื้อรังต่อไป   นพ.ธราดล ธาราศักดิ์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคไข้หวัด

โรคไข้หวัด นพ.ชิดเวทย์  วรเพียรกุล  อายุรแพทย์ รพ.วิภาวดี  โรคไข้หวัด  เป็นการติดเชื้อของจมูกและคอ  ส่วนใหญ่75-80% เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งรวมเรียกว่า Coryza Viruses ประกอบด้วย Rhino Viruses เป็นสำคัญ  เชื้อชนิดอื่น ๆ มี Adenoviruses, Respiratory Syncytial Virus เมื่อเชื้อเช้าสู่จมูกและคอจะทำให้เยื่อจมูกบวมและแดง  มีการหลั่งของเมือกออกมาแม้ว่าจะเป็นโรคที่หายเองใน 1 สัปดาห์  แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด  โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัด 6-12 ครั้ง ต่อไป  ผู้ใหญ่จะเป็น 2-4 ครั้ง  ผู้หญิงเป็นบ่อยกว่าผู้ชายเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็ก  คนสูงอายุอาจจะเป็นปีละครั้ง อาการ ผู้ใหญ่ มีอาการจาม  และน้ำมูกไหลจะนำมาก่อน  อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย  แต่มักไม่ค่อยมีไข้  เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย 2-3 ชั่วโมงและหมดใน 2 สัปดาห์  บางรายอาจมีอาการปวดหู  เยื่อแก้วหูมีเลือดคั่ง  บางรายเยื่อบุตาอักเสบ  เจ็บคอ  กลืนลำบาก  โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน  แต่อาจมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์  ในเด็กอาจจะรุนแรง  และมักมีการแพร่ไปเป็นหลอดลมอักเสบ  ปวดบวม  เป็นต้น การติดต่อ โรคนี้มักจะระบาดฤดูหนาวเนื่องจากความชื้นต่ำและอากาศเย็น  เราสามารถติดต่อจากน้ำลาย  และเสมหะผู้ป่วยนอกจากนั้นมือที่เปื้อนเชื้อโรค  ก็สามารถทำให้เกิดโรคได้โดยผ่านทางจมูกและตา  ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนเกิดอาการและ 1-2 วันหลังเกิดอาการ  ผู้ที่มีโอกาสเป็นไข้หวัดได้ง่ายคือ  เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี  เด็กที่ขาดอาหาร  เด็กที่เลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็ก วิธีการติดต่อ 1. มือของเด็ก  หรือผู้ใหญ่ที่สัมผัสเชื้อจากเสมหะของผู้ป่วย  หรือสิ่งแวดล้อม  แล้วขยี้ตา  หรือเอาเข้าปากหรือจมูก 2. หายใจเอาเชื้อที่ผู้ป่วยที่ไอออกมา 3. หายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ การรักษา - ไม่มียารักษาเฉพาะ  ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้  Paracetamol - ห้ามให้ Aspirin - ให้ยาช่วยรักษาตามอาการ  เช่น ยาลดคัดจมูก  ลดน้ำมูก  ยาแก้ไออ่อน ๆ - ให้พัก  และดื่มน้ำมาก ๆ โดยทั่วไปจะเป็นมาก 2-4 วัน  หลังจากนั้นจะดีขึ้น  ในเด็กโรคที่แทรกซ้อนที่สำคัญคือหูชั้นกลางอักเสบ  ต้องได้รับยาปฏิชีวนะรักษา   การป้องกัน - หลีกเลี่ยงที่ชุมชน  เช่น โรงภาพยนตร์ ภัตตาคาร  ในช่วงที่ไข้หวัดกำลังระบาด - ไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า  หรือทิชชูปิดปาก - ให้ล้างมือบ่อย ๆ - ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตาเพราอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย - อย่าอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นหวัดเป็นเวลานาน   เป็นการยากที่จะป้องกันการติดเชื้อไข้หวัด  ดังนี้การดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม