ตรวจสุขภาพกายไม่ทิ้งสุขภาพใจ

ตรวจสุขภาพกายไม่ทิ้งสุขภาพใจ การดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคขั้นพื้นฐานคงหนีไม่พ้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงสารเสพติด ขั้นต่อมาของการป้องกันโรคคือการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงของโรค โรคที่ไม่มีอาการ หรือโรคในระยะแรก ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความรุนแรงของโรคเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตามองค์ประกอบของสุขภาพไม่ได้มีเพียงแต่ด้านร่างกายเท่านั้น ยังรวมถึงสุขภาพทางใจซึ่งหมายถึง สภาวะจิตใจที่เป็นสุข สามารถจัดการหรือปรับตัวต่อปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้ รับรู้ศักยภาพที่ตนเองมี สามารถเรียนรู้หรือทำงานได้เป็นอย่างดี สุขภาพกายและสุขภาพใจมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ตัวอย่างเช่นผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางรายมีความเครียดกับโรคที่ตนเองเป็น ทำให้เกิดความวิตกกังวล หรือคนทำงานที่มีความเครียดสูงทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าไม่สามารถออกกำลังกายหรือเลือกรับประทานอาหารสุขภาพได้ จึงทำให้เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น ดังนั้นการตรวจเช็คสุขภาพใจจึงมีความสำคัญไม่แพ้การตรวจสุขภาพกาย หลายคนคงเคยประเมินสุขภาพจิตด้วยแบบสอบถามกันมาบ้างแล้ว โดยแบบสอบถามที่นิยมใช้กันมักเป็นแบบสอบถามเพื่อค้นหาความผิดปกติ เช่น แบบประเมินความเครียด แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า ซึ่งแบบสอบถามเหล่านี้มีประโยชน์ในการค้นหาโรคเพื่อเข้ารับการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตต่อไป แต่การประเมินสุขภาพจิตด้วยการใช้แบบสอบถามดังกล่าวก็มีข้อจำกัด ไม่ได้ประเมินปัญหาความทุกข์ทางใจได้กว้างขวางครอบคลุมในบางประเด็นที่อาจไม่ใช่ความผิดปกติเช่น ปัญหาความสัมพันธ์ การจัดการอารมณ์ มุมมองต่อตนเองหรือผู้อื่น การตัดสินใจเรื่องสำคัญชีวิต เป็นต้น ทางเลือกในการประเมินและดูแลสุขภาพใจอีกทางก็คือการพูดคุยกับบุคลากรด้านสุขภาพจิต ซึ่งจะช่วยเป็นพื้นที่ปลอดภัย รับฟังปัญหาที่ไม่สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในตนเอง และสถานการณ์ของปัญหาตามความเป็นจริง ส่งผลให้ผู้เข้ามารับการพูดคุยสบายใจขึ้น เปิดมุมมองใหม่ต่อปัญหา นำไปสู่ทางจัดการแก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป ดังนั้น หากดูแลสุขภาพกายด้วยการตรวจสุขภาพประจำปีอยู่แล้ว ถ้าได้ดูแลสุขภาพใจด้วยการพูดคุยกับบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมด้วย ยิ่งทำให้การดูแลสุขภาพครบถ้วน นำไปสู่สุขภาวะหรือชีวิตที่เป็นสุขทั้งกายและใจต่อไป   #ตรวจสุขภาพกายไม่ทิ้งสุขภาพจิต #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การตรวจอัลตราซาวด์ในโรคข้อและรูมาติสซั่ม

การตรวจอัลตราซาวด์ในโรคข้อและรูมาติสซั่ม               การตรวจอัลตราซาวด์คือการตรวจโดยใช้ประโยชน์จากคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพโครงสร้างที่ทำการตรวจ โดยหลักการคือ หัวตรวจปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงส่งผ่านเข้าสู่โครงสร้างที่กำลังตรวจ และคลื่นเสียงที่ตกกระทบเนื้อเยื่อต่างๆก็จะสะท้อนกลับมายังหัวตรวจซึ่งทำหน้าที่รับคลื่นเสียงด้วย แล้วแปลงคลื่นเสียงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้าแสดงเป็นภาพขึ้นที่หน้าจอแสดงภาพ ด้วยคุณสมบัติการสะท้อนคลื่นเสียงที่แตกต่างกันของเนื้อเยื่อแต่ละชนิดทำให้ได้ภาพซึ่งสามารถแยกแยะเนื้อเยื่อแต่ละอย่างได้ นอกจากสามารถดูเนื้อเยื่อต่างๆแล้วยังสามารถดูเลือดที่มาเลี้ยงที่เนื้อเยื่อต่างๆได้ด้วย การอัลตราซาวด์เพื่อการตรวจข้อและกล้ามเนื้อ (musculoskeletal ultrasound) เป็นหนึ่งในแขนงของการนำอัลตราซาวด์มาใช้ในการประเมินความผิดปกติ ตัวอย่างการตรวจอัลตราซาวด์ เช่น อัลตราซาวด์ช่องท้องเพื่อดูอวัยวะภายในช่องท้อง อัลตราซาวด์หลอดเลือดเพื่อดูภาวะหลอดเลือดอุดตัน อัลตราซาวด์หัวใจ (echocardiogram) เพื่อประเมินหัวใจและหลอดเลือดบริเวณหัวใจ เป็นต้น             มีแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขาที่ใช้การตรวจอัลตราซาวด์เพื่อการตรวจข้อและกล้ามเนื้อ เช่น รังสีแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ และอายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม ความนิยมในการนำอัลตราซาวด์มาใช้ในการตรวจเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องมาจากเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้ภาพที่ได้จากการตรวจอัลตราซาวด์มีให้รายละเอียดของภาพที่สูงมาก เครื่องอัลตราซาวด์ถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงจนสามารถนำมาใช้ในการตรวจในสถานที่ที่ดูแลรักษา เช่น ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ที่หอผู้ป่วยใน หรือที่ห้องฉุกเฉิน การตรวจสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งด้วยคุณสมบัติพื้นฐานของการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ที่เหนือกว่าการตรวจด้วยภาพในวิธีอื่นๆ เช่น มีความปลอดภัยไม่ต้องสัมผัสรังสีอย่างการถ่ายเอ็กซเรย์ (X-ray) หรือถ่ายเอ็กซเรย์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (CT scan) สามารถประเมินหลอดเลือดหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อด้วยภาพดอปเพลอร์ (Doppler imaging) โดยไม่ต้องฉีดสี สามารถตรวจในขณะที่มีการเคลื่อนไหวของโครงสร้างที่ตรวจได้ และค่าใช้จ่ายในการตรวจไม่สูงเมื่อเทียบกับการตรวจด้วยเอ็มอาร์ไอ (MRI) นอกจากจะใช้ประโยชน์ในการตรวจวินิจฉัยแล้วยังสามารถใช้ประโยชน์ในการติดตามผลการรักษา และใช้ช่วยในการทำหัตถการให้มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้นโดยการนำด้วยอัลตราซาวด์ (ultrasound-guided) เช่น การเจาะข้อเพื่อตรวจนำ้ไขข้อ การฉีดยาเข้าข้อ การฉีดยาเข้าปลอกหุ้มเอ็น การฉีดยาเฉพาะจุด การตัดชิ้นเนื้อเยื่อหุ้มข้อ อย่างไรก็ตามอัลตราซาวด์ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น ไม่สามารถตรวจโครงสร้างที่อยู่ใต้กระดูกได้ ให้ภาพรายละเอียดสูงเฉพาะโครงสร้างที่ค่อนข้างตื้น หากตรวจหลายบริเวณจะใช้เวลาในการตรวจค่อนข้างนาน และหนึ่งในปัญหาที่สำคัญของการตรวจด้วยอัลตราซาวด์คือเป็นการตรวจที่อาศัยความชำนาญของผู้ตรวจสูง             การนำอัลตราซาวด์มาใช้ในการตรวจโรคข้อและรูมาติสซั่ม หรือรูมาโตโลยี (ultrasound in rheumatology) มีการต่อยอดไปมากกว่าการตรวจในระบบข้อและกล้ามเนื้อ โดยนำไปตรวจเพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินความผิดปกติของอวัยวะต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโรครูมาติสซั่มอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำลายในโรคโจเกร็น หลอดเลือดในโรคหลอดเลือดอักเสบ และปอดในโรคปอดที่เกี่ยวข้องกับแพ้ภูมิตนเอง เป็นต้น             แม้ว่าการตรวจด้วยอัลตราซาวด์จะยังมีการใช้ในเวชปฏิบัติเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคข้อและรูมาติสซั่มไม่มากนักเนื่องจากข้อจำกัดบางประการ แต่เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ราคาเครื่องอัลตราซาวด์ถูกลงแต่มีคุณภาพสูงขึ้น พกพาสะดวกมากขึ้น และเป็นประโยชน์ในการช่วยดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมีแนวโน้มที่การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ในผู้ป่วยโรครูมาติสซั่มจะมีการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต #การตรวจอัลตราซาวด์ในโรคข้อและรูมาติสซั่ม #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

กลุ่มโรคข้อกระดูกสันหลังและข้อระยางค์อักเสบ (spondyloarthritis)

กลุ่มโรคข้อกระดูกสันหลังและข้อระยางค์อักเสบ                         กลุ่มโรคข้อกระดูกสันหลังและข้อระยางค์อักเสบหรือข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส (spondyloarthritis) เป็นกลุ่มโรคที่มีการอักเสบของข้อชนิดหนึ่งซึ่งแบ่งแยกย่อยได้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มโรคที่มีข้อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นหลัก (axial spondyloarthritis) และกลุ่มโรคที่มีข้อระยางค์อักเสบเป็นหลัก (peripheral spondyloarthritis) โรคต่างๆในกลุ่มโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส ได้แก่ โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด (ankylosing spondylitis) โรคข้อสันหลังอักเสบที่ไม่เห็นด้วยเอ็กซ์เรย์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคข้ออักเสบรีแอ็กทีฟ (reactive arthritis) โรคข้ออักเสบที่สัมพันธ์กับโรคลำไส้อักเสบ   กลุ่มโรคที่มีข้อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นหลัก (axial spondyloarthritis)             กลุ่มโรคนี้มีปัญหาสำคัญคือมีอาการปวดหลังส่วนเอวหรือปวดที่ก้น แม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจมีข้อระยางค์อักเสบร่วมด้วยแต่ต้องมีอาการหลักคือข้อกระดูกสันหลังอักเสบ กลุ่มโรคนี้แบ่งได้เป็น โรคข้อสันหลังอักเสบที่ไม่เห็นด้วยเอ็กซ์เรย์และโรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด (โรคข้อสันหลังอักเสบที่เห็นได้ด้วยเอ็กซ์เรย์) ความผิดปกติที่แยกสองโรคนี้ออกจากกันคือ ความผิดปกติของข้อกระเบนเหน็บที่มีการอักเสบซึ่งเห็นได้ด้วยภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์หรือไม่ ในโรคข้อสันหลังอักเสบที่ไม่เห็นด้วยเอ็กซ์เรย์ก็จะไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติของข้อกระเบนเหน็บได้ด้วยภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ แต่จะสามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจเอ็มอาร์ไอ ทั้งนี้เมื่อติดตามการรักษาผู้ป่วยโรคข้อสันหลังอักเสบที่ไม่เห็นด้วยเอ็กซ์เรย์ไประยะหนึ่ง ก็จะมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่พัฒนาต่อกลายเป็นโรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด             ประวัติและอาการที่ชี้นำว่าอาจเป็นโรคในกลุ่มนี้คือ อาการปวดหลังที่น่าจะเกิดจากการอักเสบไม่ใช่อาการปวดหลังที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือจากความเสื่อม ลักษณะที่ชี้นำว่าอาการปวดหลังนั้นน่าจะเกิดจากการอักเสบ เช่น เริ่มมีอาการปวดในผู้ที่อายุน้อยกว่า 45 ปี เริ่มมีอาการปวดอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่เริ่มปวดอย่างฉับพลันทันที ระยะเวลาที่ปวดเรื้อรังอย่างน้อย 3 เดือน ปวดในเวลากลางคืน มีอาการฝืดตึงหลังจากตื่นนอนนานอย่างน้อย 30 นาที อาการดีขึ้นเมื่อได้ลุกขยับหลัง อาการปวดดีขึ้นเมื่อได้ออกกำลังกายหรือรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ อาการไม่ดีขึ้นด้วยการพัก นอกจากอาการที่หลังโดยตรงแล้วอาจมีประวัติและอาการอื่นๆที่ช่วยชี้นำว่าอาจเป็นโรคกลุ่มนี้ เช่น มีประวัติเคยเป็นม่านตาอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ข้อระยางค์อักเสบ นิ้วมือหรือนิ้วเท้าบวมอักเสบคล้ายไส้กรอก เอ็นร้อยหวายอักเสบหรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคข้อสันหลังอักเสบติดยึดหรือโรคสะเก็ดเงิน เป็นต้น หากมีประวัติและอาการหลายข้อที่ชี้ว่าสาเหตุอาจมาจากกลุ่มโรคข้อสันหลังอักเสบควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม แต่หากมีอาการปวดหลังที่ไม่มีลักษณะชี้นำว่าเป็นอาการปวดหลังจากการอักเสบควรปรึกษาศัลยแพทย์กระดูกและข้อ   กลุ่มโรคที่มีข้อระยางค์อักเสบเป็นหลัก (peripheral spondyloarthritis)             ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบในกลุ่มนี้อาจมีอาการข้ออักเสบ จุดเกาะเอ็นอักเสบ หรือนิ้วอักเสบบวมมีลักษณะคล้ายไส้กรอก ข้ออักเสบ ข้อที่อาจมีการอักเสบ เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือ หรือข้อนิ้วเท้า จำนวนข้อที่มีการอักเสบมักจะไม่มาก อักเสบครั้งละหนึ่งถึงสี่ข้อ หรือหากมีข้ออักเสบหลายข้อก็มักจะมีแนวโน้มเป็นแบบไม่สมมาตร เช่น ข้อมือขวาอักเสบข้อมือข้างซ้ายก็จะไม่อักเสบ ข้อเท้าซ้ายอักเสบข้อเท้าข้างขวาก็จะไม่อักเสบ ข้อนิ้วชี้มือขวาอักเสบข้อนิ้วชี้มือซ้ายก็จะไม่อักเสบ เป็นต้น จุดเกาะเอ็นอักเสบ จุดเกาะเอ็นคือบริเวณที่เส้นเอ็นมาเกาะกับกระดูก ตัวอย่างจุดเกาะเส้นเอ็นที่มักจะมีการอักเสบ เช่น จุดเกาะของเอ็นร้อยหวายที่กระดูกส้นเท้า จุดเกาะของเอ็นฝ่าเท้าที่กระดูกส้นเท้า จุดเกาะเอ็นที่บริเวณข้อศอก และจุดเกาะเอ็นที่บริเวณข้อเข่า เป็นต้น ผู้ป่วยในกลุ่มโรคข้อสันหลังและข้อระยางค์อักเสบมักจะมีปัญหาจุดเกาะเอ็นอักเสบร่วมด้วย นิ้วอักเสบบวมคล้ายไส้กรอก ลักษณะดังกล่าวเกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นเอ็นหรือเนื้อเยื่อบริเวณรอบเส้นเอ็น เกิดได้กับนิ้วมือหรือนิ้วเท้า อาจเกิดกับนิ้วเดียวหรือหลายนิ้วก็ได้             ทั้งนี้ในผู้ป่วยกลุ่มโรคที่มีข้อระยางค์อักเสบเป็นหลักนี้อาจมีอาการปวดหลังเช่นเดียวกับผู้ป่วยในกลุ่มโรคที่มีข้อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นหลักได้เช่นกัน แต่อาการปวดหลังไม่ใช่อาการหลักของผู้ป่วยในกลุ่มนี้   อาการนอกหลังและนอกข้อของข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส             ผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่มนี้อาจมีอาการอื่นๆนอกจากปัญหาข้อสันหลังและข้อระยางค์อักเสบซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคกลุ่มนี้โดยตรง ได้แก่ โรคม่านตาอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease) และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่นๆร่วม เช่น โรคซึมเศร้า โรคไฟโบรไมอาลเจีย โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น             โรคม่านตาอักเสบเป็นอาการนอกข้อที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีผื่นสะเก็ดหนาสีเงินหรือสีขาว พื้นหนาสีแดง และอาจมีความผิดปกติที่เล็บร่วมด้วย โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังเป็นโรคแพ้ภูมิตนเองที่ลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว ถ่ายเป็นเลือด   การวินิจฉัยโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส             โรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติสส่วนใหญ่จะถูกวินิจฉัยโดยอายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่มเพราะต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับโรคสปอนไดโลอาร์ไทรติสและโรคที่มีอาการใกล้เคียงกันซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งหมด แพทย์จะใช้ข้อมูลทั้งจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย ผลการตรวจเลือด และผลการตรวจภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์หรือเอ็มอาร์ไอ แล้วประมวลว่าอาการต่างๆน่าจะอธิบายจากโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติสหรือไม่ การวินิจฉัยไม่สามารถทำได้ด้วยการให้คะแนนว่าครบตามเกณฑ์หรือไม่             ไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการใดที่จะสามารถยืนยันได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติสแน่นอน แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจเลือดที่อาจช่วยสนับสนุน (หรือคัดค้าน) การวินิจฉัยโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส  เช่น ยีน HLA-B27 และ ค่าการอักเสบ CRP และ ESR แพทย์อาจส่งตรวจเลือดเพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคอื่น เช่น rheumatoid factor, anti-CCP หรือ ANA เป็นต้น             ผู้ป่วยในกลุ่มโรคที่มีข้อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นหลักจะพบความผิดปกติของข้อกระเบนเหน็บ (ข้อต่อระหว่างกระดูกกระเบนเหน็บกับกระดูกปีกสะโพก) จากการตรวจด้วยเอ็กซ์เรย์หรือเอ็มอาร์ไอ ทั้งนี้การแปลผลความผิดปกติที่พบในภาพเอ็กซ์เรย์หรือเอ็มอาร์ไอค่อนข้างยาก แพทย์แต่ละท่านอาจให้ความเห็นที่แตกต่างกันได้ ความผิดปกติในเอ็มอาร์ไอบางอย่างที่ชี้นำว่าอาจจะเป็นโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติสอาจพบได้แม้ในคนปกติ ดังนั้นการแปลผลจึงจำเป็นต้องประเมินร่วมกับประวัติ การตรวจร่างกายและผลการตรวจเลือดร่วมด้วยเสมอ   การรักษาโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส             การรักษาโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติสแต่ละชนิดมีแนวทางการรักษาที่คล้ายกันแต่มีรายละเอียดปลีกย่อยของการรักษาที่แตกต่างกันตามลักษณะอาการและความรุนแรงของโรค   การออกกำลังกาย             การออกกำลังกายมีความสำคัญมากในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส ชนิดการออกกำลังกายที่แนะนำในผู้ป่วยได้แก่ การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อลำตัว การออกกำลังกายชนิดแอโรบิกเพื่อพัฒนาศักยภาพของปอดและหัวใจ การออกกำลังกายที่มีการขยายทรวงอกเพื่อพัฒนาการหายใจ การออกกำลังกายเพื่อพัฒนาพิสัยข้อสันหลังและข้อระยางค์ การออกกำลังกายชนิดยืดเหยียด รายละเอียดวิธีการออกกำลังกายสามารถปรึกษานักกายภาพบำบัดหรือปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล             ท่าทางในกิจวัตรประจำวันมีความสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคข้อสันหลังอักเสบติดยึดเนื่องจากผู้ป่วยจะมีแนวโน้มเกิดข้อสันหลังติดในท่าก้ม ข้อสะโพกติดในท่างอ คอติดในท่าก้ม ซึ่งท่าดังกล่าวเป็นท่าที่ผู้ป่วยซึ่งทำงานสำนักงานต้องนั่งใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงจะส่งผลให้หลังและข้อสะโพกติดยึดได้โดยง่าย จำเป็นที่ผู้ป่วยต้องจัดท่าและอุปกรณ์สำนักงานให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และควรมีการขยับยืดเหยียดร่างกายเป็นระยะ ท่าทางการนอนก็มีความสำคัญ หมอนที่ผู้ป่วยโรคข้อสันหลังอักเสบติดยึดใช้ควรเป็นหมอนที่ค่อนข้างแบนเพราะการนอนหมอนสูงจะทำให้คอของผู้ป่วยมีโอกาสติดในท่าก้มได้             กีฬาที่ผู้ป่วยโรคข้อสันหลังอักเสบติดยึดควรหลีกเลี่ยงคือกีฬาที่มีการกระทบกระแทกรุนแรง เช่น ต่อยมวย เตะฟุตบอล รักบี้ เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงการนวดแผนไทยในท่าที่มีการดัดกระดูกสันหลังหรือกระดูกคอ  รวมทั้งการรักษาด้วยวิธีไคโรแพรคติก เพราะกิจกรรมต่างๆดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดกระดูกสันหลังหักและกดทับไขสันหลังได้   การรักษาด้วยยา ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เป็นยาที่มักจะใช้เป็นอันดับแรกในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติสเพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์กว่ายาจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่จึงจะตัดสินได้ว่าตอบสนองต่อการรักษาหรือไม่ การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ เช่น การฉีดยาเข้าข้อ หรือรอบเส้นเอ็น อาจได้ประโยชน์เพื่อลดการอักเสบเฉพาะจุด จึงเป็นประโยชน์ในกรณีที่ผู้ป่วยมีตำแหน่งที่มีการอักเสบไม่กี่จุด ยาซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine) และเมโธเทรกเซท (methotrexate) อาจได้ประโยชน์ในการควบคุมการอักเสบของข้อระยางค์ ยาในกลุ่มยาชีววัตถุต้านรูมาติกและยาสังเคราะห์มุ่งเป้าต้านรูมาติก เช่น infliximab, etanercept, adalimumab, golimumab, secukinumab, ixekizumab, และ tofacitinib ยาในกลุ่มนี้อาจพิจารณาใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาในลำดับต้นๆ #กลุ่มโรคข้อกระดูกสันหลังและข้อระยางค์อักเสบ #กลุ่มโรคที่มีข้อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นหลัก (axial spondyloarthritis) #กลุ่มโรคที่มีข้อระยางค์อักเสบเป็นหลัก (peripheral spondyloarthritis) #การรักษาโรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ปวดข้อ

            อาการปวดบริเวณข้อเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ นอกจากอาการปวดแล้วอาจมีอาการอย่างอื่นด้วย เช่น อาการบวม แดง ร้อน อาจมีอาการฝืดข้อหลังตื่นนอนหรือหลังจากอยู่ในอิริยาบทท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ข้ออาจขยับได้ลดลง หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ผื่น อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง น้ำหนักลด เจ็บคอ ท้องเสีย ปัสสาวะแสบขัด ตาอักเสบ แผลร้อนในที่ปาก ผมร่วง เป็นต้น ประวัติต่างๆเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยต้นเหตุของข้ออักเสบได้ สาเหตุของอาการปวดข้อ             สาเหตุของอาการปวดข้อเกิดได้ทั้งจากความผิดปกติที่โครงสร้างในข้อหรือรอบข้อก็ได้ หรืออาจเป็นการปวดร้าวมาจากที่อื่น โครงสร้างบริเวณข้อ ได้แก่ เยื่อหุ้มข้อ กระดูก กระดูกอ่อน เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และนวมไขมัน อาการปวดข้ออาจมีสาเหตุจากปัญหาที่โครงสร้างอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างบริเวณข้อนั้น แพทย์ผู้ดูแลจะพยายามวิเคราะห์หาสาเหตุว่าอาการปวดข้อนั้นเกิดจากปัญหาที่โครงสร้างใดและเกิดจากโรคอะไร การรู้สาเหตุของอาการปวดข้อมีความสำคัญมากเพราะแต่ละโรคมีพยากรณ์โรคที่แตกต่างกัน บางโรคสามารถหายได้เอง บางโรคไม่อันตรายและตอบสนองต่อการรักษาได้ดี บางโรคเรื้อรังแต่ไม่อันตราย บางโรคต้องเริ่มรักษาเร็วเพราะมีผลต่อความผิดปกติในระยะยาว บางโรคต้องรีบรักษาทันทีเพราะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ ตัวอย่างสาเหตุอาการปวดข้อ เช่น สาเหตุจากนอกข้อ เช่น เส้นเอ็นอักเสบ กล้ามเนื้อบริเวณข้อปวดตึง โรคไฟโบรไมอาลเจีย ความผิดปกติของระบบประสาท อาการปวดร้าวมาจากนอกข้อ เป็นต้น สาเหตุจากในข้อ แบ่งเป็น ข้อไม่มีการอักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อม การบาดเจ็บของโครงสร้างข้อ เป็นต้น ข้อมีการอักเสบ เช่น โรคเกาต์ โรคซีพีพีดี (โรคเกาต์เทียม) โรครูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี โรคข้ออักเสบสปอนไดโลอาร์ไทรติส โรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อ เป็นต้น การวินิจฉัยโรค             แพทย์จะอาศัยการซักประวัติ ได้แก่ ประวัติอุบัติเหตุ ประวัติครอบครัว ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการรักษาเดิม ประวัติอาการนำก่อนอาการปวดข้อ ระยะเวลาการปวดข้อ ลักษณะการดำเนินโรคของอาการปวดข้อ ปัจจัยที่ทำให้มีอาการมากขึ้นหรืออาการทุเลาลง และประวัติอาการที่อวัยวะอื่นๆนอกจากที่ข้อ เป็นต้น ร่วมกับการตรวจร่างกายบริเวณข้อที่ปวดเพื่อแยกแยะว่าเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างใดในข้อ ผู้ป่วยอาจไม่ได้ปวดเพียงข้อเดียวแต่อาจปวดหลายข้อ โดยพิจารณาลักษณะรูปแบบของอาการปวดข้อ เช่น ปวดข้อเดียว ปวดสองถึงสามข้อ ปวดหลายข้อแบบไม่สมมาตร ปวดหลายข้อแบบสมมาตร รวมถึงการตรวจร่างกายในอวัยวะอื่นๆนอกข้อ เช่น วัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจผิวหนังที่ต่างๆเพื่อหาผื่น ดูเล็บ ดูหนังศีรษะ ดูในช่องปาก คลำหาก้อน คลำต่อมน้ำเหลือง ตรวจปอด ตรวจหัวใจ เป็นต้น บ่อยครั้งที่ร่องรอยความผิดปกตินอกเหนือจากบริเวณข้อสามารถบ่งชี้ต้นเหตุของโรคได้ ข้อมูลการซักประวัติและการตรวจร่างกายมีความสำคัญมากเพราะจะช่วยให้แพทย์จะสามารถตีกรอบโรคที่สงสัยได้ แพทย์อาจสามารถให้การวินิจฉัยสาเหตุได้เลย หรืออาจจำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานสนับสนุน (หรือคัดค้าน) ในโรคที่สงสัย เช่น ทำการตรวจเลือด ตรวจนำ้ไขข้อ หรือตรวจด้วยภาพ             ตัวอย่างการตรวจเลือดที่ช่วยในการวินิจฉัยโดยตรง เช่น หากสงสัยโรครูมาตอยด์ แพทย์จะส่งตรวจรูมาตอยด์แฟกเตอร์และแอนติซีซีพี หากสงสัยโรคเอสแอลอี แพทย์จะส่งตรวจเอเอ็นเอและอาจพิจารณาส่งตรวจแอนติบอดีจำเพาะ และแพทย์อาจส่งตรวจเลือดบางอย่างเพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการวินิจฉัยและการรักษา เช่น ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เอ็นไซม์ตับ การทำงานของไต ค่าการอักเสบ เป็นต้น             การเจาะข้อเพื่อตรวจนำ้ไขข้อมีความสำคัญอย่างมากในการวินิจฉัยบางโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มาด้วยอาการข้ออักเสบเฉียบพลันจำนวนหนึ่งถึงสองข้อ เพราะช่วยในการวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบติดเชื้อ โรคเกาต์และโรคซีพีพีดี เป็นต้น             การตรวจด้วยภาพ ได้แก่ การตรวจเอ็กซ์เรย์ การตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจเอ็มอาร์ไอ และการตรวจเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจเอ็กซ์เรย์เป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว ค่าใช้จ่ายน้อยแต่สามารถเห็นได้ดีเฉพาะส่วนที่เป็นกระดูก ช่วยในการประเมินการกร่อนทำลายของข้อ ความแคบของช่องข้อ การงอกขึ้นของเนื้อกระดูกบริเวณข้อ แคลเซี่ยมที่พอกอยู่ที่บริเวณข้อ หรือความเสียหายในเนื้อกระดูก ซึ่งความผิดปกติต่างๆอาจเปลี่ยนแปลงช้า ใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีจึงจะพบความผิดปกติในภาพเอ็กซ์เรย์ แต่ก็มีความสำคัญในการติดตามความเปลี่ยนแปลง การตรวจด้วยอัลตราซาวด์เป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่มาก ค่าใช้จ่ายไม่สูง สามารถประเมินความผิดปกติได้ดีทั้งเนื้อเยื่อรอบโครงสร้างข้อ ข้อ และผิวกระดูก แต่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติในส่วนที่ลึกกว่าผิวกระดูกได้จึงมักจะจำเป็นต้องประเมินคู่กับภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ และข้อจำกัดที่สำคัญของการทำอัลตราซาวด์คือเป็นการตรวจที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้ตรวจสูง การตรวจด้วยเอ็มอาร์ไอมีประโยชน์มากเพราะพบความผิดปกติได้รวดเร็ว ประเมินโครงสร้างทั้งส่วนตื้นและส่วนลึกได้ดี เห็นภาพรวมทั่วทั้งบริเวณที่ส่งตรวจ แต่มีข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลาในการตรวจค่อนข้างนาน และไม่เหมาะกับผู้ที่กลัวที่แคบ การตรวจด้วยเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์มีข้อดีคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเท่าเอ็มอาร์ไอ ใช้เวลาในการตรวจไม่นาน แต่ประเมินได้ดีเฉพาะบริเวณส่วนที่เป็นกระดูกหรือบริเวณที่มีแคลเซี่ยมพอกอยู่ ทั้งนี้การตรวจด้วยภาพทุกวิธีมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องประเมินคู่กับอาการทางคลินิกเพราะอาจตรวจพบความผิดปกติที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ได้เป็นต้นเหตุของอาการปวดข้อนั้นได้ แนวทางการรักษา             แนวทางการรักษาจะขึ้นกับสาเหตุของอาการปวดข้อ ตัวอย่างแนวทางในการรักษา เช่น ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวด ยาทรามาดอลเพื่อบรรเทาอาการปวดที่ค่อนข้างมาก ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน นาพร็อกเซน อีโทริค็อกซิบ) เพื่อบรรเทาปวดและลดการอักเสบ การทำกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการปวด แก้ปัญหาการติดยึดของข้อและเส้นเอ็น และฟื้นฟูพัฒนากล้ามเนื้อ การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อเพื่อลดการอักเสบในข้อที่มีการอักเสบ ยาปฏิชีวนะในโรคข้ออักเสบติดเชื้อ ยาปรับภูมิคุ้มกันหรือกดภูมิคุ้มกัน (เช่น ไฮดร็อกซีคลอโรควิน สเตียรอยด์ เม็ทโทเทร็กเซท) เพื่อรักษาโรคในกลุ่มแพ้ภูมิตนเอง เป็นต้น #ปวดข้อ #สาเหตุของอาการปวดข้อ #การวินิจฉัยโรค #แนวทางการรักษา #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihotpital  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรครูมาตอยด์

โรครูมาตอยด์คืออะไร?                 สาเหตุที่ทำให้ข้อมีการอักเสบมีมากมายหลายโรค โรครูมาตอยด์เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้เกิดข้ออักเสบได้ ข้อที่มีการอักเสบจะมีอาการปวด บวม หรือฝืดตึง โดยโรครูมาตอยด์เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไปทำร้ายข้อของตนเอง โรครูมาตอยด์เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมโรคให้สงบ และต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเพื่อป้องกันไม่ให้โรคกลับมากำเริบอีก   อาการของโรครูมาตอยด์                 อาการสำคัญของโรครูมาตอยด์คืออาการปวด บวม ฝืดตึงของข้อ โดยมักจะเกิดกับข้อเล็กเป็นหลัก เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า อาจมีข้อใหญ่อักเสบร่วมด้วย เช่น ข้อเข่า ข้อศอก ข้อไหล่ ทั้งนี้ข้อส่วนใหญ่ของร่างกายอาจมีการอักเสบที่เกิดจากโรครูมาตอยด์ได้ยกเว้นข้อสันหลังส่วนเอวและส่วนอก โรครูมาตอยด์มักจะเกิดอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีการดำเนินโรคที่เรื้อรัง ข้อที่อักเสบมักจะอักเสบพร้อมๆกันจำนวนหลายข้อ และส่วนใหญ่เกิดในข้อที่ตรงกันในด้านตรงข้ามด้วย เช่น มีการอักเสบของข้อมือทั้ง 2 ข้าง ข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง เป็นต้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการฝืดตึงของข้อหลังตื่นนอนโดยอาการฝืดตึงของข้อจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง                 เมื่อโรคมีการดำเนินต่อ ข้อที่มีการอักเสบจะถูกทำลายตามระยะเวลาที่ผ่านไป ส่งผลให้ข้อค่อยๆเคลื่อนและผิดรูป ส่วนของข้อที่ถูกทำลายและผิดรูปไปแล้วจะเป็นอย่างถาวร ดังนั้นหากแพทย์วินิจฉัยผู้ป่วยว่าเป็นโรครูมาตอยด์และแนะนำให้เริ่มการรักษาเพื่อควบคุมโรคแล้ว ผู้ป่วยควรเริ่มรับการรักษาเลย                 อาการอื่นนอกจากปัญหาที่ข้อซึ่งสัมพันธ์กับการกำเริบของโรครูมาตอยด์โดยตรง เช่น ก้อนรูมาตอยด์ที่ผิวหนัง ผื่นหลอดเลือดอักเสบ ตาขาวอักเสบ และการเป็นโรครูมาตอยด์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคพังผืดในปอด โรคกระดูกพรุน ไขมันในเลือดสูง และโรคซึมเศร้าอีกด้วย   การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์                 การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์อาศัยผลของการซักประวัติและการตรวจร่างกายที่เข้าได้กับโรครูมาตอยด์ ร่วมกับการตรวจเลือดเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยโรครูมาตอยด์และคัดค้านโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกับโรครูมาตอยด์ ผลการตรวจเลือดที่สนับสนุนการวินิจฉัยโรครูมาตอยด์ได้แก่ การตรวจพบปัจจัยรูมาตอยด์ (rheumatoid factor) หรือ anti-CCP แต่การตรวจพบก็ไม่ได้ยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นรูมาตอยด์อย่างแน่นอนเพราะแม้จะพบได้น้อยแต่ก็อาจพบในโรคอื่นได้เช่นกัน ทางกลับกันในผู้ป่วยรูมาตอยด์บางรายอาจตรวจไม่พบปัจจัยรูมาตอยด์ และ anti-CCP ได้ การตรวจลำดับถัดไปที่แพทย์มักจะส่งตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัยคือการตรวจเอ็กซ์เรย์ แต่หากผู้ป่วยมาพบแพทย์ค่อนข้างเร็ว การตรวจด้วยภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์อาจไม่พบความผิดปกติของกระดูกและข้อได้ หากผู้ป่วยมีอาการปวดและฝืดตึงข้อแต่ไม่มีอาการข้อบวมชัดเจนและภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ปกติ กรณีที่แพทย์สงสัยว่ามีการอักเสบของข้อหรือไม่ แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจอัลตราซาวด์ข้อหรือเอ็มอาร์ไอข้อเพิ่มเติม   การรักษาโรครูมาตอยด์                 ในปัจจุบันมียาเป็นจำนวนมากที่ใช้ในการรักษาโรครูมาตอยด์ อาจแบ่งเป็นกลุ่มของยาที่ช่วยบรรเทาการอักเสบ และกลุ่มของยาที่ช่วยปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค (ทำให้โรคสงบ ป้องกันการทำลายข้อและข้อผิดรูป) กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ibuprofen, naproxen, indomethacin, meloxicam, celecoxib, etoricoxib เป็นต้น เป็นยาที่บรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบของข้อแต่ไม่ช่วยในการปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค ยาสเตียรอยด์ เช่น prednisolone, dexamethasone ยาสเตียรอยด์อาจใช้ในช่วงแรกของการรักษาร่วมกับยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคเพื่อควบคุมการอักเสบของข้อระหว่างรอการออกฤทธิ์ของยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค กลุ่มยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน ได้แก่ hydroxychloroquine, chloroquine, methotrexate, sulfasalazine, leflunomide, azathioprine, cyclosporine ยาในกลุ่มนี้เป็นยาหลักที่ช่วยควบคุมโรคในระยะยาว แพทย์อาจจำเป็นต้องใช้ยามากกว่า 1 ชนิดเพื่อช่วยควบคุมโรค ผลข้างเคียงของยาขึ้นกับชนิดของยา ยาบางชนิดต้องติดตามผลข้างเคียงด้วยการเจาะเลือดตรวจ บางชนิดต้องตรวจตาโดยจักษุแพทย์เป็นระยะ บางชนิดต้องตรวจปัสสาวะ ยาชีววัตถุต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค ได้แก่ infliximab, etanercept, adalimumab, golimumab, rituximab, tocilizumab, abatacept ยาในกลุ่มนี้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีมากแต่ราคาสูง บริหารยาโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือเข้าหลอดเลือด มีผลกดภูมิคุ้มกันมากกว่ายาในกลุ่มยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่มจึงอาจเลือกใช้เฉพาะในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน ยาสังเคราะห์มุ่งเป้าต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค ได้แก่ tofacitinib และ baricitinib ยาในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพดีมากแต่ราคาสูง บริหารยาด้วยการรับประทาน กดภูมิคุ้มกันมากกว่ายาในกลุ่มยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน จึงอาจถูกเลือกใช้เฉพาะในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ที่ไม่ตอบสนองต่อยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคมาตรฐาน                   ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ส่วนใหญ่จะได้รับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรครูมาตอยด์ (อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม หรือ รูมาโตโลจิสต์) ทั้งนี้การที่แพทย์จะเลือกใช้ยาใดและปริมาณยาเท่าใดในการช่วยควบคุมโรคจะพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ความรุนแรงของโรค อายุและโรคร่วมของผู้ป่วย ผลข้างเคียงของยา วิธีการบริหารยา และราคายา เป็นต้น ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์จึงอาจได้รับยาควบคุมโรคที่แตกต่างกันห้ามนำยาของตนเองให้ผู้อื่นรับประทานโดยเด็ดขาด แพทย์จะทำการติดตามการรักษาเพื่อประเมินผลการรักษาและผลข้างเคียงของยาเป็นระยะ ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเองโดยไม่ติดตามการรักษาเพราะอาจเป็นอันตรายได้ ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพราะการขาดยามีผลต่อการกำเริบโรคและหากโรคกลับมากำเริบมากอาจควบคุมโรคได้ยากขึ้น   การดูแลตนเอง                 ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ควรมีวิถีชีวิตที่กระตือรือร้นและมีการบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าการเริ่มขยับร่างกายจะมีอาการปวดฝืดตึงอยู่บ้างแต่หากไม่ขยับเคลื่อนไหว ข้อก็จะยิ่งฝืดตึงมากขึ้น อีกทั้งหากไม่ได้บริหารร่างกายเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อและศักยภาพการทำงานของข้อก็จะลดน้อยลง ผู้ป่วยอาจมีความกังวลว่าการออกกําลังกายจะกระตุ้นให้ข้ออักเสบกำเริบ แต่จากหลักฐานการศึกษาในปัจจุบันสนับสนุนให้ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความกระตือรือร้นในการทํากิจกรรมต่างๆและออกกําลังกายเพื่อพัฒนาสมรรถภาพร่างกายและฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับการใช้ข้ออย่างเหมาะสมเพื่อลดโอกาสบาดเจ็บของข้อและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการทําให้ข้อผิดรูป  เช่น งานหัตถการ การตัดแต่งกิ่งไม้ การถอนหญ้า การบิดผ้า การเปิดฝาขวดแบบเกลียว และการหิ้วของหนักๆด้วยนิ้วมือ แต่ยังคงสามารถมีกิจกรรมด้วยการปรับการใช้ข้อ เช่น การบีบผ้าให้หมาดและตากให้แห้งแทนการบิดผ้า ใช้อุปกรณ์ช่วยในการเปิดฝาขวด การหิ้วของหนักด้วยการคล้องที่แขนหรือใช้วิธีอุ้มของแทน เป็นต้น คําแนะนําสําหรับการออกกําลังกายคล้ายกับคําแนะนําสําหรับประชากรทั่วไป คือมีการออกกำลังกายเบาๆเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกายและการยืดเหยียดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้งและอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ควรเริ่มอย่างเบาๆก่อน หากไม่มีอาการปวดข้อหรือกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายจึงค่อยๆปรับเพิ่มความหนักของการออกกำลังกายตามลำดับ มีข้อควรพิจารณาเป็นพิเศษในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์คือ ควรมีการปรับความหนักเบาของแผนการออกกําลังกายตามการกําเริบของโรคอย่างเหมาะสม ในช่วงที่ข้ออักเสบมาก การออกกําลังกายที่เหมาะสมคือ การออกกําลังกายชนิดคงพิสัยข้อ และชนิดการเพิ่มความแข็งแรงเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เมื่ออาการอักเสบของข้อทุเลาลงแล้วจึงเริ่มออกกำลังกายชนิดแอโรบิก การออกกําลังชนิดเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การออกกําลังชนิดเพิ่ม/คงพิสัยข้อ การออกกำลังกายของมือ และผู้ป่วยควรวางแผนความหนักของการออกกําลังกายอย่างเหมาะสมในผู้ที่มีโรคหัวใจร่วมด้วย ควรระมัดระวังการเกิดกระดูกหักในผู้ที่มีโรคกระดูกพรุนร่วม และผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมควรระมัดระวังแรงกระทําต่อข้อเทียมที่มากเกินไป หากมีข้อสงสัยหรือมีอาการผิดปกติหลังการออกกำลังกาย ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลหรือนักกายภาพบำบัด                 การดูแลตนเองอย่างอื่นที่มีผลต่อการกำเริบโรค ได้แก่ ควรงดสูบบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่มีผลต่อการควบคุมโรครูมาตอยด์ ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเนื่องจากในผู้ที่มีน้ำหนักเกินจะมีผลให้มีข้ออักเสบมากกว่าผู้ที่นำ้หนักปกติ ควรดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากฟันผุและเหงือกอักเสบมีผลต่อโรครูมาตอยด์ #การรักษาโรคซีพีพีดี #อาการของโรครูมาตอยด์ #การวินิจฉัยโรครูมาตอยด์ #การรักษาโรครูมาตอยด์ #การดูแลตนเอง #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคซีพีพีดี (CPPD disease)

โรคซีพีพีดี (CPPD disease)                 โรคซีพีพีดี (calcium pyrophosphate deposition; CPPD) หรือโรคเกาต์เทียม คือ โรคที่เกิดจากผลึกซีพีพี (calcium pyrophosphate; CPP crystal) กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ผลึกซีพีพีเป็นผลึกที่มีแคลเซียมและไพโรฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบ เกาะฝังอยู่ในบริเวณข้อ เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยรองจากโรคเกาต์ ในบางคนอาจไม่ทำให้เกิดอาการใดๆ แต่บางคนก็อาจทำให้เกิดข้ออักเสบอย่างเฉียบพลัน และในบางคนก็อาจทำให้เกิดการอักเสบของข้อเรื้อรังได้ รูปแบบอาการแสดงของโรคซีพีพีดี                 การที่โรคซีพีพีดีแสดงลักษณะอาการได้หลากหลาย อีกทั้งโรคซีพีพีดียังเกิดกับข้อได้ในหลายตำแหน่ง โรคซีพีพีดีจึงเป็นโรคที่มีลักษณะอาการคล้ายอาการของโรคข้ออื่นๆอีกหลายโรค อาการแสดงต่างๆของโรคซีพีพีดี ได้แก่ ข้ออักเสบเฉียบพลันลักษณะคล้ายโรคเกาต์ รูปแบบนี้เป็นลักษณะที่แพทย์ส่วนใหญ่รู้จักเพราะเป็นลักษณะที่มีการรายงานเป็นแบบแรกๆและเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อย ทำให้โรคซีพีพีดี เคยถูกรู้จักในชื่อโรคเกาต์เทียม (pseudogout) การอักเสบของข้อจะเกิดอย่างเฉียบพลัน มีอาการปวด บวม แดง ร้อน ที่บริเวณข้อ และมีการอักเสบต่อเนื่องเป็นวันถึงสัปดาห์ ข้อเข่าคือข้อที่มีการอักเสบได้บ่อยที่สุด ข้ออื่นๆที่อาจมีการอักเสบ เช่น ข้อเท้า ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ข้อสะโพก เป็นต้น แต่ข้อที่พบการอักเสบได้น้อย คือ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้าเป็นตำแหน่งของข้ออักเสบที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเกาต์ ตำแหน่งของข้ออักเสบนี้จึงเป็นหนึ่งในลักษณะที่ช่วยแยกโรคทั้งสองออกจากกันได้ ทั้งนี้เมื่อข้อนั้นหายอักเสบแล้วก็อาจมีการอักเสบขึ้นอีกในข้อเดิมที่เคยอักเสบหรือข้ออื่นที่ยังไม่เคยอักเสบก็ได้ จึงมีลักษณะข้ออักเสบเป็นๆหายๆคล้ายโรคเกาต์ แต่เนื่องจากโรคซีพีพีดียังมีรูปแบบการแสดงของโรคในแบบอื่นอีกซึ่งไม่ได้คล้ายกับโรคเกาต์ ชื่อโรคเกาต์เทียมจึงไม่ครอบคลุมลักษณะอาการในแบบอื่นๆ ในผู้ที่ไม่มีอาการใดแต่ตรวจพบความผิดปกติที่เข้ากับโรคซีพีพีดีในภาพถ่ายรังสี ข้ออักเสบเรื้อรังในหลายข้อ รูปแบบนี้มีลักษณะคล้ายอาการแสดงของโรครูมาตอยด์ จึงอาจถูกเรียกว่าโรครูมาตอยด์เทียม ทำให้เกิดข้ออักเสบเป็นๆหายๆในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม (ซึ่งโรคข้อเสื่อมส่วนใหญ่จะไม่มีการอักเสบร่วมด้วย) หรือทำให้เกิดข้อเสื่อมในตำแหน่งของข้อที่ไม่ได้เสื่อมตามธรรมชาติ เช่น ข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ หรือข้อไหล่ เป็นต้น ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณคอ ทำให้มีอาการคล้ายลักษณะของผู้ป่วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และยังมีลักษณะคล้ายโรคอื่นๆอีกมากมาย เช่น ลักษณะคล้ายอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด คล้ายการติดเชื้อในข้อ คล้ายโรคข้อที่เกิดจากโรคระบบประสาท เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคซีพีพีดี                 ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคซีพีพีดีจะอยู่ในวัยสูงอายุ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ประวัติการบาดเจ็บที่ข้อ พันธุกรรม โรคพาราไทรอยด์สูง โรคฮีโมโครมาโตซิส ภาวะแมกนีเซียมต่ำ เป็นต้น การวินิจฉัยโรคซีพีพีดี                 แพทย์จะสามารถวินิจฉัยและวินิจฉัยแยกโรคซีพีพีดีจากประวัติและการตรวจร่างกายที่มีลักษณะเข้ากันกับโรค ประกอบกับผลการตรวจน้ำไขข้อและภาพถ่ายรังสีหรือผลการอัลตราซาวด์ข้อ                 การตรวจพบผลึกซีพีพีในน้ำไขข้อ แพทย์จะทำการเจาะข้อแล้วนำน้ำไขข้อที่ได้มาตรวจวิเคราะห์เพื่อหาผลึกซีพีพีด้วยกล้องจุลทรรศน์หรือกล้องจุลทรรศน์แสงโพลาไรซ์ การตรวจน้ำไขข้อนอกจากเพื่อหาหลักฐานการวินิจฉัยโรคซีพีพีดีโดยตรงแล้วยังเป็นการตัดข้อสงสัยในโรคอื่น เช่น โรคเกาต์หรือโรคข้ออักเสบติดเชื้อด้วย                 การตรวจพบลักษณะของการฝังตัวของผลึกซีพีพีในกระดูกอ่อนด้วยภาพถ่ายรังสีเรียกว่าคอนโดรแคลซิโนซิส (chondrocalcinosis) นอกจากการตรวจด้วยการภาพถ่ายรังสีแล้วมีการตรวจด้วยวิธีการอัลตราซาวด์ข้อซึ่งมีความไวในการตรวจหาคอนโดรแคลซิโนซิสมากกว่าการตรวจจากภาพถ่ายรังสี และสามารถชี้นำการเจาะข้อในข้อที่เจาะได้ยากเพื่อนำน้ำไขข้อมาตรวจได้ การรักษาโรคซีพีพีดี                 ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่สามารถขจัดผลึกซีพีพีที่ฝังอยู่ในกระดูกอ่อนได้ แต่การปวดอักเสบของข้อซึ่งเกิดจากผลึกซีพีพีสามารถดีขึ้นได้ด้วยการรักษาต่างๆ ได้แก่ การเจาะข้อและการฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ ในกรณีที่มีข้ออักเสบหนึ่งถึงสองข้อ แพทย์อาจพิจารณาเลือกวิธีการเจาะข้อเพื่อลดปริมาณน้ำไขข้อและจำนวนผลึกในข้อที่มีการอักเสบเพื่อลดแรงดันในช่องข้อและบรรเทาอาการปวดข้อ นอกจากนั้นยังอาจฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในข้อซึ่งเป็นการช่วยลดการอักเสบของข้อที่มีประสิทธิภาพดี การรับประทานยาต้านการอักเสบ มักจะเป็นวิธีที่แพทย์เลือกใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อที่มีการอักเสบเป็นข้อที่เจาะได้ยาก หรือมีการอักเสบจำนวนหลายข้อ กลุ่มยาเหล่านี้ ได้แก่ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) โคลชิซิน (colchicine) หรือสเตียรอยด์ นอกจากใช้เพื่อระงับข้ออักเสบเฉียบพลันแล้วอาจใช้ในขนาดต่ำเพื่อป้องกันข้ออักเสบกำเริบในกรณีที่ผู้ป่วยมีข้ออักเสบกำเริบบ่อยหรือเรื้อรัง การรับประทานยาปรับภูมิคุ้มกันหรือกดภูมิคุ้มกัน หากแพทย์ไม่สามารถควบคุมโรคได้ด้วยวิธีการต่างๆข้างต้น แพทย์อาจจำเป็นต้องใช้ยาปรับภูมิคุ้มกันหรือกดภูมิคุ้มกัน เช่น ไฮดรอกซีโคลโรควิน (hydroxychloroquine) หรือเมโธเทรกเซท (methotrexate เป็นต้น เพื่อช่วยควบคุมโรค     #โรคซีพีพีดี (CPPD disease) #รูปแบบอาการแสดงของโรคซีพีพีดี  #ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคซีพีพีดี #การวินิจฉัยโรคซีพีพีดี #การรักษาโรคซีพีพีดี #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihotpital

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคเกาต์

โรคเกาต์                   โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งซึ่งมีต้นเหตุจากผลึกกรดยูริก ส่วนใหญ่โรคเกาต์จะเกิดขึ้นหลังจากมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ (มากกว่า 6.8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงจะต้องพัฒนาเป็นโรคเกาต์เสมอไป ทั้งนี้กรดยูริกในเลือดที่สูงจะส่งผลให้เกิดการสะสมของผลึกกรดยูริกในเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกายและนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ข้ออักเสบ ก้อนเกาต์หรือก้อนโทฟัส นิ่วที่ไต และประสิทธิภาพการทำงานของไตที่ลดลง                 ระดับกรดยูริกในเลือดและการเกิดโรคเกาต์สัมพันธ์กับยีน (gene) การรับประทานอาหาร และโรคร่วม ยีนจะมีผลต่อการสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับกรดยูริกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งขับกรดยูริกออกทางไตซึ่งเป็นกระบวนการควบคุมระดับกรดยูริกในร่างกายที่สำคัญที่สุด การรับประทานอาหารมีผลต่อระดับกรดยูริกในเลือดเพียงบางส่วนเท่านั้น   ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์                 โรคเกาต์มักจะเริ่มเกิดในผู้ใหญ่ พบในเด็กได้น้อยมาก โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่จะพบได้ในผู้หญิงในสัดส่วนมากขึ้นหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ทั้งนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงและนำไปสู่โรคเกาต์ ได้แก่ ความอ้วน โรคไตเรื้อรัง กรรมพันธุ์ การรับประทานยาบางอย่างที่ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูง เช่น ยาไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ยาไพราซินาไมด์ เป็นต้น การรับประทานอาหารบางชนิดมากเกินไปเป็นระยะเวลานาน เช่น เหล้าเบียร์ เนื้อแดง และน้ำหวาน ก็ส่งผลให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงได้เช่นกัน   ลักษณะอาการของโรคเกาต์                 อาการข้ออักเสบกำเริบเป็นอาการปวดอักเสบของข้ออย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ข้อมีลักษณะบวมแดงและกดเจ็บ โดยอาการปวดอักเสบมักจะมากขึ้นอย่างฉับพลันจากที่เป็นปกติถึงจุดที่ปวดอักเสบมากที่สุดภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง และมักจะหายอักเสบภายในไม่กี่วันจนถึง 2 สัปดาห์แม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษา หลังจากนั้นโรคเกาต์ก็จะเข้าสู่ช่วงระยะหายอักเสบ แล้วก็มักจะกลับมาอักเสบอีกเป็นช่วงๆ โดยในช่วงแรกมักจะมีข้ออักเสบครั้งละหนึ่งข้อ เช่น ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อกลางเท้า ในช่วงแรกการอักเสบกำเริบแต่ละครั้งอาจทิ้งช่วงห่างเป็นปีได้ หากโรคไม่ได้รับการรักษาระยะห่างของช่วงที่ไม่มีการอักเสบจะหดสั้นเข้า ข้ออักเสบจะถี่ขึ้น กลายเป็นกำเริบปีละหลายครั้ง จำนวนข้อที่อักเสบในแต่ละครั้งก็อาจเพิ่มจำนวนจากกำเริบครั้งละหนึ่งข้อเป็นกำเริบครั้งละหลายข้อ ข้อที่ไม่เคยมีการอักเสบก็จะมีการอักเสบ ข้อที่มักจะไม่มีการอักเสบในช่วงแรก เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ หรือ ข้อศอก เป็นต้น ก็อาจจะมีการอักเสบขึ้นได้ ระยะเวลาช่วงที่ข้อมีการอักเสบจนหายอักเสบก็จะนานขึ้น หายยากขึ้น อีกทั้งพัฒนาต่อจนมีก้อนโทฟัสเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น โคนนิ้วหัวแม่เท้า ตาตุ่ม ศอก หรือใบหู เป็นต้น ก้อนโทฟัสอาจโตขึ้นจนมีการทำลายกระดูก ทำให้เกิดข้อผิดรูปได้ โดยทั่วไปก้อนโทฟัสมักจะไม่มีอาการปวดอักเสบ แต่ทั้งนี้ก้อนโทฟัสก็อาจมีการอักเสบได้เช่นกัน   การวินิจฉัยโรคเกาต์                 สาเหตุของข้ออักเสบนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายโรค แพทย์จะสงสัยว่าผู้ที่มีข้ออักเสบนั้นมีสาเหตุจากโรคเกาต์เมื่อมีประวัติและผลการตรวจร่างกายที่เข้าได้กับลักษณะของโรคเกาต์ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยแพทย์จะหาหลักฐานเพื่อสนับสนุน (หรือคัดค้าน) ข้อสงสัยดังกล่าว ด้วยการตรวจหาผลึกกรดยูริกจากน้ำไขข้อ ซึ่งการตรวจพบผลึกกรดยูริกโดยกล้องจุลทรรศน์หรือกล้องจุลทรรศน์แสงโพลาไรซ์ถือเป็นการยืนยันการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด ทั้งนี้หากไม่สามารถทำได้ อาจใช้หลักฐานอื่นประกอบ เช่น จากการตรวจพบลักษณะภาพที่เข้าได้กับการตกตะกอนของกรดยูริกในเนื่อเยื่อต่างๆด้วยอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด dual energy หรืออาจใช้ประวัติและการตรวจร่างกายที่เข้าได้กับโรคเกาต์เป็นอย่างมากโดยไม่มีโรคอื่นที่อธิบายอาการของผู้ป่วยได้ดีกว่าโรคเกาต์ ร่วมกับการตรวจพบระดับกรดยูริกในเลือดที่สูง ทั้งนี้การตรวจประเมินระดับกรดยูริกอาจจำเป็นต้องตรวจห่างจากช่วงเวลาที่มีการอักเสบของข้อ เนื่องจากช่วงที่มีข้ออักเสบนั้นกรดยูริกอาจอยู่ในระดับค่าปกติได้   การรักษาโรคเกาต์ช่วงที่มีการอักเสบ                 ช่วงที่ผู้ป่วยมีข้ออักเสบนั้นการรักษาหลักคือการระงับการอักเสบ ลดอาการปวดบวม และทำให้หายอักเสบเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ยาที่ใช้ในการรักษาช่วงนี้จึงใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ ยาที่แพทย์เลือกจะขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น โรคร่วมของผู้ป่วย ความรุนแรงของการอักเสบ เคล็ดลับคือควรได้รับยาระงับการอักเสบเร็วที่สุดจะทำให้ข้ออักเสบที่กำเริบนั้นหายได้เร็ว ในกรณีที่ผู้ป่วยเคยมีประวัติโรคเกาต์อยู่แล้ว แพทย์อาจให้ยาระงับการอักเสบไว้กับผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้เร็วหากมีอาการกำเริบ นอกจากยาแล้วการดูแลอื่นๆก็อาจช่วยทุเลาการอักเสบและลดโอกาสการอักเสบที่มากขึ้นได้ เช่น การประคบเย็น และข้อที่กำลังมีการอักเสบควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือการใช้ข้อมาก   ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์                 ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น naproxen, ibuprofen, indomethacin, celecoxib และ etoricoxib เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้เมื่อใช้ในขนาดสูงจะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ดีมาก แต่ถ้าใช้ยาในขนาดกลางจะมีฤทธิ์เฉพาะบรรเทาปวด การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มีข้อควรระวังในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ มีแผลในกระเพาะอาหาร มีความเสี่ยงในการเลือดออก เช่น กำลังรับประทานยา warfarin   โคลชิซิน                 โคลชิซิน (colchicine) เป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบในช่วงที่มีข้ออักเสบเกาต์โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงของแผลในกระเพาะอาหาร ไม่มีผลต่อไต แต่พิจารณาลดขนาดยาในผู้ป่วยโรคไต ข้อจำกัดคือโคลชิซินมีประสิทธิภาพในการระงับการอักเสบได้สูงเฉพาะเมื่อรับประทานยาภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการกำเริบครั้งนั้นๆ และมีผลข้างเคียงขึ้นกับขนาดของยาในผู้ป่วยแต่ละบุคคล ได้แก่ ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้อง ทั้งนี้วิธีการรับประทานยาในปัจจุบันมีขนาดตำ่กว่าในอดีตเพื่อลดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารซึ่งเกิดได้บ่อยในการรับประทานยาขนาดสูง   สเตียรอยด์                 สเตียรอยด์เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีในการระงับการอักเสบของข้อ ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ prednisolone, methylprednisolone, dexamethasone และ triamcinolone อาจให้ได้ในรูปแบบรับประทาน ฉีดยาเข้ากล้าม หรือหลอดเลือดดำ ยากลุ่มนี้ไม่มีผลต่อไตหรือการเกิดเลือดออกง่ายแต่มีผลกดภูมิคุ้มกันและระดับนำ้ตาลในเลือดขึ้นชั่วคราว แพทย์จึงมักจะพิจารณาใช้เฉพาะบางกรณี เช่น ข้ออักเสบรุนแรง ข้ออักเสบหลายข้อ ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองหรือไม่สามารถรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือโคลชิซินได้ ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคไต หรือ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการเลือดออก แต่ก็จะหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อซึ่งยังไม่สามารถควบคุมได้หรือกรณีผู้ป่วยเบาหวานที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี นอกจากนั้นแพทย์อาจเลือกวิธีการฉีดยาเข้าข้อเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีและลดผลข้างเคียงของสเตียรอยด์ต่อร่างกายในระบบอื่นๆ แต่มีข้อจำกัดที่จะได้ผลเฉพาะข้อที่ฉีดจึงมักจะพิจารณาใช้เฉพาะกรณีข้ออักเสบไม่กี่ข้อ   การรักษาโรคเกาต์เพื่อป้องกันการกำเริบ                 ยาที่นิยมใช้เพื่อป้องกันโรคกำเริบหรือลดโอกาสกำเริบคือโคลชิซินในขนาดต่ำ เช่น รับประทาน 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง โดยมีการปรับยาตามประสิทธิภาพการทำงานของไต ทั้งนี้ผู้ป่วยควรได้รับยาป้องกันข้ออักเสบกำเริบในช่วงแรกของการได้รับยาลดกรดยูริกเนื่องจากข้ออักเสบอาจยังเกิดบ่อยในช่วง 3 - 6 เดือนแรกของการปรับยาลดกรดยูริกแม้ว่าระดับกรดยูริกจะอยู่ในระดับเป้าหมายแล้วก็ตาม แต่ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานยา โคลชิซินป้องกันข้ออักเสบเกาต์ต่อเนื่องในระยะยาวโดยไม่ได้รับประทานยาลดกรดยูริกร่วมด้วยเนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ป่วยสะสมกรดยูริกในเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้นมากจนเป็นก้อนโทฟัสโดยไม่มีอาการข้ออักเสบเตือนได้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือยาสเตียรอยด์ในขนาดต่ำอาจถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการกำเริบได้เช่นเดียวกันแต่สงวนไว้เฉพาะกรณีผู้ป่วยที่มีข้อห้ามหรือใช้โคลชิซินไม่ได้ผล   การรักษาโรคเกาต์ด้วยยาลดกรดยูริกในระยะยาว                 การลดระดับกรดยูริกจะช่วยป้องกันข้ออักเสบกำเริบของโรคเกาต์ ป้องกันการเกิดโทฟัส ลดขนาดก้อนโทฟัสที่เกิดขึ้นแล้ว ป้องกันการทำลายข้อและความผิดรูปของข้ออันเนื่องมาจากโรคเกาต์ และอาจชะลอความเสื่อมของไตหรือการเกิดนิ่วที่ไตจากระดับกรดยูริกในเลือดที่สูงในผู้ป่วยโรคเกาต์ โดยเป้าหมายของระดับกรดยูริกในเลือดคือ น้อยกว่า 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรืออาจปรับเป้าหมายให้เข้มงวดขึ้นอีกเป็น น้อยกว่า 5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ป่วยโรคเกาต์ที่รุนแรงหรือมีก้อนโทฟัสแล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคเกาต์ทุกคนจะต้องรับประทานยาลดกรดยูริก หากข้ออักเสบแต่ละครั้งห่างกันมาก เช่น ช่วงเวลาไม่กำเริบหลายปีต่อการกำเริบ 1 ครั้ง ผู้ป่วยก็อาจเลือกยังไม่รับประทานยาลดกรดยูริกแต่ใช้วิธีการรักษาด้วยการระงับการอักเสบข้อเป็นครั้งๆไปได้ แต่หากมีข้ออักเสบบ่อย การกำเริบแต่ละครั้งรุนแรงและต่อเนื่อง มีก้อนโทฟัสแล้ว หรือมีโรคไตร่วมด้วย แพทย์มักจะแนะนำให้รับประทานยาลดกรดยูริกในระยะยาว                 ยาลดกรดยูริกในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลดการสร้างกรดยูริก กลุ่มเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ และกลุ่มสลายกรดยูริก การรับประทานยาลดกรดยูริกจำเป็นต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หรือตลอดชีวิต โดยเมื่อผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับกรดยูริกได้ตามเป้าหมายอย่างน้อย 6 เดือน ผู้ป่วยจะสามารถสังเกตเห็นได้ว่าความถี่ในการกำเริบลดน้อยลงอย่างชัดเจน และจะลดน้อยลงจนไม่มีการอักเสบอีกเลย จึงอาจกล่าวได้ว่าโรคเกาต์เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ถึงแม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในระยะยาวก็ตาม   กลุ่มยาลดการสร้างกรดยูริก                 ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ อัลโลพิวรินอล (allopurinol) และ เฟบูโซสแตต (febuxostat) ยากลุ่มนี้จะไปยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างกรดยูริก มีประสิทธิภาพลดกรดยูริกได้ดีมากทั้งคู่ อัลโลพิวรินอลมักจะเป็นยาตัวแรกที่แพทย์พิจารณาสั่งจ่ายเพื่อลดระดับกรดยูริกในผู้ป่วยโรคเกาต์ แต่ด้วยปัญหาผลข้างเคียง คือ ผื่นแพ้ยา ซึ่งในคนเชื้อชาติไทยหรือจีนมียีนแพ้ยาอัลโลพิวรินอล (HLA-B*5801) ได้บ่อย ในผู้ป่วยที่มีศักยภาพการทำงานของไตลดลงระดับปานกลางขึ้นไปก็มีความเสี่ยงแพ้ยาอัลโลพิวรินอลเพิ่มขึ้น แพทย์จึงจะเริ่มยาอัลโลพิวลินอลในขนาดต่ำก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในการแพ้ยาที่รุนแรงแล้วค่อยๆเพิ่มยาขึ้นตามลำดับจนกว่าจะควบคุมระดับกรดยูริกได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้แพทย์อาจส่งตรวจหายีนแพ้ยานี้ในผู้ป่วยเชื้อชาติไทยหรือจีนที่มีการทำงานของไตลดลงเพื่อประเมินความเสี่ยงของการแพ้ยาก่อนการเริ่มยา ส่วนเฟบูโซสแตตมีความเสี่ยงในการเกิดผื่นแพ้ยาน้อยกว่าอัลโลพิวรินอลแต่มีราคาที่สูงกว่าและระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจร่วมด้วย นอกจากนี้ระหว่างการรับประทานอัลโลพิวรินอลหรือเฟบูโซสแตต แพทย์จะมีการส่งตรวจเลือดเพื่อติดตามเอนไซม์ตับเป็นระยะ   กลุ่มยาเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ                 ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ โพรเบเนซิด (probenecid), ซัลฟินไพราโซน (sulfinpyrazone) และ เบนซ์โบรมาโรน (benzbromarone) ยากลุ่มนี้เพิ่มการขับกรดยูริกจากไตออกมากับน้ำปัสสาวะ การรับประทานยาในกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องดื่มน้ำให้มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะจากการตกตะกอนของกรดยูริก โพรเบเนซิดและซัลฟินไพราโซนมีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่มีศักยภาพการทำงานของไตลดลงเพราะประสิทธิภาพของยาในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าวจะลดลง ในขณะที่เบนซ์โบรมาโรนแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าโพรเบเนซิดและซัลฟินไพราโซนอีกทั้งยังสามารถใช้ในผู้ป่วยที่มีศักยถาพการทำงานของไตลดลงระดับปานกลางได้ แต่เบนซ์โบรมาโรนมีรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อตับ ถึงแม้ว่าจะพบได้น้อยมากแต่ก็จำเป็นต้องตรวจติดตามเอนไซม์ตับเป็นระยะๆ                                 นอกจากยาลดกรดยูริกโดยตรงแล้วยังมียาอีกหลายชนิดที่ส่งผลต่อการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ เช่น โลซาร์ทาน และ ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ซึ่งเป็นยาลดความดันทั้งคู่ แต่โลซาร์ทานมีผลข้างเคียงเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะจึงช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้เล็กน้อย ขณะที่ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์มีผลข้างเคียงลดการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะจึงส่งผลเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด ผู้ป่วยจึงควรแจ้งยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมดให้แพทย์ผู้ดูแลทราบด้วย   การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร                 ชนิดของอาหารอาจมีผลต่อการอักเสบกำเริบในผู้ป่วยโรคเกาต์ที่ยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยาลดกรดยูริกอยู่บ้าง โดยชนิดของอาหารที่แนะนำให้จำกัดปริมาณการรับประทาน ได้แก่ เหล้าเบียร์ เนื้อแดง และน้ำหวาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นชนิดอาหารที่แตกต่างจากความเข้าใจเดิมอยู่บ้าง ในผู้ป่วยโรคเกาต์ส่วนใหญ่การควบคุมอาหารแค่บางชนิดไม่เพียงพอต่อการลดระดับกรดยูริกให้ถึงระดับเป้าหมายเพราะช่วยลดระดับกรดยูริกได้ไม่มาก ทั้งนี้ถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักเกินการปรับพฤติกรรมการรับประทานมีเป้าหมายสำคัญที่สุดคือการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม หากลดน้ำหนักได้ดีจะทำให้ลดระดับกรดยูริกได้มากและยังมีผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆอีกด้วย #โรคเกาต์  #โรงพยาบาลวิภาวดี #Vibhavadihospital #การรักษาโรคเกาต์ด้วยยาลดกรดยูริกในระยะยาว #การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร #กลุ่มยาเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ                    

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

แคลเซี่ยม และวิตามินดี กับการบำรุงกระดูก

กระดูก ทำหน้าที่เป็นโครงร่างให้ร่างกาย อวัยวะภายใน และเป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เพื่อการขยับเคลื่อนไหว ร่วมถึงเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดแดงจากไขกระดูก และเป็นที่เก็บสะสมแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซี่ยม เพื่อใช้ในระบบต่างๆ เช่น การทำงานของกล้ามเนื้อ เส้นประสาท และให้ความแข็งแรงแก่เนื้อกระดูก แคลเซี่ยม เป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยร้อยละ 99 สะสมที่กระดูกและฟัน และอีก 1% กระจายอยู่ในส่วนต่างๆของร่างกาย โดยมีกลไกควบคุมสมดุลให้ระดับแคลเซี่ยมในเลือดอยู่ในค่าปกติ 8.5 – 10.5 mg/dL การบำรุงรักษากระดูกให้แข็งแรงไม่ให้เกิดภาวะกระดูกพรุน จึงต้องได้รับแคลเซี่ยมจากอาหารที่เพียงพอ เพื่อรักษาระดับแคลเซี่ยมในเลือดไม่ให้ต่ำลงจากค่าปกติ จนร่างกายต้องดึงแคลเซี่ยมจากกระดูกออกมาใช้ รวมถึงมีระดับ วิตามินดีที่เพียงพอเพื่อช่วยการดูดซึมแคลเซี่ยมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด กระดูกและข้อไม่เหมือนกัน กระดูก เป็นอวัยวะที่มีความแข็ง แต่มีเส้นเลือดจำนวนมากในเนื้อกระดูก มีเซลล์ที่ทำหน้าที่สลายเนื้อกระดูก(Osteoclast) และสร้างเนื้อกระดูก(Osteoblast) ขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา เพื่อสร้างเนื้อกระดูกให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยกระดูกประกอบด้วยส่วนที่เป็นเนื้อเยื้อเกี่ยวพันจากโปรตีน มีความยืดหยุ่น ได้แก่ คอลลาเจน(Collagen type1) และส่วนที่เป็นผลึกแคลเซี่ยมฟอสเฟส(Hydroxyappatite crystal) ให้ความแข็งของเนื้อกระดูก ข้อ หรือกระดูกอ่อนผิวข้อ เป็นอวัยวะที่พื้นผิวมัน ลื่น และมีความยืดหยุ่น เพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างผิวข้อและกระจายแรงที่กระทำต่อข้อต่อ ไม่มีเส้นเลือดเข้ามาเลี้ยง ทำให้การซ่อมแซมไม่ดีเท่ากระดูก โดยกระดูกอ่อนผิวข้อประกอบด้วยเนื้อเยื้อเกี่ยวพันจากโปรตีน ได้แก่ คอลลาเจน(Collagen type2) แต่ไม่มีการตกผลึกแคลเซี่ยมฟอสเฟสเหมือนกระดูก การบำรุงกระดูกหรือข้อต่อ จึงไม่เหมือนกัน โดยกระดูกจะให้ความสำคัญกับแคลเซี่ยมเป็นหลัก แต่ในขณะที่การบำรุงข้อต่อ จะเน้นที่การซ่อมแซมเนื้อเยื้อเกี่ยวพันหรือกระดูกอ่อนผิวข้อ ดังนั้นการทานแคลเซี่ยมเสริมจะช่วยบำรุงความแข็งแรงของกระดูก แต่ไม่ช่วยบำรุงข้อต่อ       ปริมาณแคลเซี่ยมที่ต้องได้รับในแต่ละวัน                 ร่างกายได้รับแคลเซี่ยมจากการรับประทานอาหารเท่านั้น และปริมาณแคลเซี่ยมที่ต้องได้รับในแต่ละวันจะแตกต่างตามช่วงอายุ ในผู้ใหญ่ หรือคนสูงอายุควรได้รับแคลเซี่ยม ประมาณ 1,000 – 1,200 mg. ต่อวัน เพื่อคงสภาพความแข็งแรงของเนื้อกระดูก                 อาหารที่มีปริมาณแคลเซี่ยมสูง ได้แก่ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมวัน 1 แก้ว(กล่อง) มีปริมาณแคลเซี่ยม ประมาณ 250 – 300 mg. ในคนสูงอายุ หรือต้องการควบคุมไขมัน สามารถดื่มนมไขมันต่ำแทน โดยไม่ทำให้ปริมาณแคลเซี่ยมลดลง ผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ เช่น โยเกิร์ต 1 ถ้วย ชีส 1 แผ่น มีปริมาณแคลเซี่ยมประมาณ 200 – 300 mg. นอกจากนั้น อาหารที่มีปริมาณแคลเซี่ยมสูง ได้แก่ปลา หรือ สัตว์ที่ทานได้ทั้งก้างหรือกระดูก และผักใบเขียวบางชนิด เช่น บล็อคโคลี่ คะน้า ตำลึง รวมถึงเต้าหู้ขาว  ดังนั้นควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้วต่อวันเพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซี่มเพียงพอในหนึ่งวัน ความสำคัญของวิตามินดี                   การรักษาระดับแคลเซี่ยมในร่างกายให้ปกติ นอกจากได้รับแคลเซี่ยมที่เพียงพอ ต้องอาศัยวิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยมกลับเข้ากระแสเลือดที่หลอดไต(Renal tubule)โดยระดับวิตามินดีในกระแสเลือดที่เหมาะสม(25OHD) ประมาณ 30 – 50 ng/ml. ร่างการได้รับวิตามินดีจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังโดยรังสี UVB จากแสงแดด และจากอาหาร ร่างกายได้รับวิตามินดีจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังเป็นหลัก ประมาณร้อยละ 80 – 90 โดยต้องได้รับแสงแดดที่แรง และระยะเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะช่วง 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 2 โมง ต้องใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที โดยไม่ทาครีมกันแดด แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่แดดอ่อน อาจต้องใช้เวลา 40 – 60 นาที เพื่อจะได้รับปริมาณวิตามินดีเพียงพอในหนึ่งวัน นอกจากการสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดด ร่างกายยังได้รับวิตามินดีจากอาหารที่รับประทาน     โดยปริมาณวิตามินดีที่แนะนำในหนึ่งวันประมาณ 600 – 800 IU.  อาหารที่มีปริมาณวิตามินดีสูง ได้แก่ น้ำมันตับปลา 1 ช้อนชา มีปริมาณวิตามินดี 400 – 1,000 IU. ปลาแซลม่อน 100 gm. มีปริมาณวิตามินดี 300 – 600 IU. ปลาทูน่า ปลาซาดีน ปลาแมคเคอเรล 100 gm. หรือปลากระป๋อง 1 กระป๋อง มีปริมาณวิตามินดี 200 – 300 IU. และในผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิดที่มีการเสริมวิตามินเข้าไป เช่น นม นมถัวเหลือง น้ำผลไม้ เป็นต้น  การใช้แคลเซี่ยม และวิตามินดีเสริม             การได้รับแคลเซี่ยมและวิตามินดีที่เพียงพอจากธรรมชาติ ทั้งจากอาหาร และการสังเคราะห์จากแสงแดด ดีที่สุด และไม่จำเป็นต้องรับแคลเซี่ยมและวิตามินดีเสริม แต่ในคนที่มีภาวะกระดูกพรุน หรือคนที่มีโอกาสขาดแคลเซี่ยมหรือวิตามินดี เช่น คนสูงอายุที่ทานได้น้อย หรือไม่โดนแสงแดด จำเป็นต้องได้รับแคลเซี่ยม และวิตามินดีเสริม การเลือกใช้แคลเซี่ยมเสริม ปริมาณแคลเซี่ยม ดูที่ปริมาณแคลเซี่ยมที่ได้รับจริงหลังจากแตกตัวหรือ Elemental calcium ที่ระบุบนผลิตภัณฑ์ โดยคิดจากปริมาณแคลเซี่ยมที่ขาดไปจากอาหารที่รับประทาน เช่น ร่างกายต้องได้รับแคลเซี่ยม 1000 mg. ต่อวัน แต่ได้รับจากอาหารประมาณ 400 mg. ต้องได้รับแคลเซี่ยมเสริมประมาณ 600 mg. เป็นต้น โดยไม่แนะนำให้ปริมาณแคลเซี่ยมมากกว่า 1,500 mg. ต่อวัน เนื่องจากไม่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากปริมาณที่แนะนำ และอาจมีผลเสียจากปริมาณที่มากเกินไป ชนิดของแคลเซี่ยม มีหลายชนิด เช่น แคลเซี่ยมคาร์บอเนต แคลเซี่ยมซิเตรท แคลเซี่ยมแอลทริโอเนต โดยแตกต่างที่การแตกตัว การดูดซึม วิธีการใช้ และราคา ตามคำแนะนำมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ให้ใช้แคลเซี่ยมคาร์บอเนตก่อน เนื่องจากราคาถูก Elemental calcium มากที่สุด หาซื้อง่าย แต่มีข้อเสียสำคัญคือต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัว จึงต้องทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ไม่แนะนำทานตอนท้องว่าง และหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดกรดในกระเพราะอาหาร และมีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยได้แก่ ท้องอืด ท้องผูก ไม่สบายท้อง ซึ่งลดผลข้างเคียงโดยแบ่งครึ่งเม็ดยา รับประทานวันละ 2 เวลา  หรือเปลี่ยนเป็นแคลเซี่ยมแบบละลายน้ำหรือใช้แคลเซี่ยมชนิดอื่นแทน วิธีใช้แคลเซี่ยมเสริม จะแตกกต่างตามชนิดของแคลเซี่ยมที่รับประทาน เช่น แคลเซี่ยมคาร์บอเนต ต้องทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที ห้ามทานตอนท้องว่าง แคลเซี่ยมซิเตรท แคลเซี่ยมแอลทริโอเนต  สามารถรับประทานตอนไหนก็ได้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัว ควรแบ่งรับประทานแคลเซี่ยมเสริม 2 มื้อ และไม่ควรเกิน 600 mg. ต่อมื้อ และรับประทานวิตามินดีเสริมร่วมด้วย เพื่อให้ช่วยการดูดซึมแคลเซี่ยมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้มากที่สุด การเลือกใช้วิตามินดีเสริม                 วิตามินดีเสริม มีหลายประเภท โดยวิตามินดีเสริมที่แนะนำ ได้แก่ วิตามินดี 2 และวิตามินดี 3  โดยวิตามินดีเสริมทั้ง 2 ชนิดเป็นวิตามินดี ที่ยังไม่ออกฤทธิ์(Inactive vitamin D) ต้องผ่านการเปลี่ยนเป็นโครงสร้างโดยตับ และ ไต ได้เป็นวิตามินดีที่ออกฤทธิ์(Acitve vitamin D) แต่ในคนที่มีภาวะโรคตับและไต อาจต้องเปลี่ยนเป็นอนุพันธ์วิตามินดีเสริม(Active vitamin D supplement)แทน                 ปริมาณที่แนะนำ วิตามินดี 2 (Vitamin D2) 20,000 IU./สัปดาห์ วิตามินดี 3 (Vitamin D3) 800 – 2,000 IU./วัน ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์แคลเซี่ยมเสริมหลายชนิด มีการเติมวิตามินดีเสริมเข้าไปด้วย ซึ่งสามารถเลือกรับประทานวิตามินดีเสริมได้ทั้งแบบ วิตามินดี ชนิดเดียว หรือ แบบผสมกับแคลเซี่ยมได้ ในปริมาณที่ต้องการ แต่ไม่แนะนำ ให้รับประทานวิตามินรวม(Multivitamin) เพื่อให้ได้รับวิตามินดีที่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้ได้รับวิตามินชนิดอื่นในปริมาณที่สูงเกินไป การบำรุงรักษากระดูกให้แข็งแรง นอกจากการได้รับแคลเซี่ยม และวิตามินดีเพียงพอ ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และได้รับโปรตีนจากอาหารที่เพียงพอ ร่วมกับการออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งงดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ดื่มกาแฟมากเกินไป และการตรวจมวลกระดูกเพื่อประเมินความแข็งแรงของกระดูกตามข้อบ่งชี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระดูกพรุน   นายแพทย์พงศา มีมณี ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลวิภาวดี  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. รู้ทัน ป้องกันมะเร็งเต้านม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. รู้ทัน ป้องกันมะเร็งเต้านม รู้ทัน ป้องกันมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งเต้านมถือเป็นปัญหาสาธารณสุขของโลกที่ทำให้สูญเสียชีวิตของประชากรและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก พบมากเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในหญิงไทยรองจากโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมเกิดจากเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี มีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เหมือนมะเร็งทั่วไป มะเร็งเต้านมพื้นฐานจริงๆ ก็ไม่ต่างจากมะเร็งทั่วไป ก็คือเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ เรื่องของยีน ซึ่งในคนที่มียีนที่เป็นมะเร็งเต้านมก็อาจจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าคนอื่น ลักษณะของกรรมพันธุ์ ประวัติของคนในครอบครัว หรือไม่ก็มีญาติเป็น ซึ่งญาติที่ดูว่าเราจะมีความเสี่ยง ในปัจจุบันเราสามารถที่จะตรวจสอบยีนได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีใครทำ   มะเร็งเต้านม สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) ที่มีมากเกินไป เช่น มีประจำเดือนเร็ว หรือหมดประจำเดือนช้า คนที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนมาก็จะมีความเสี่ยงเรื่องมะเร็งเต้านม หรือกินฮอร์โมนเสริมบางอย่าง เช่น กินยาคุมมา 10 หรือ 20 ปี หรือมีประวัติทำเด็กหลอดแก้ว ใช้ฮอร์โมนมากๆ ก็จะเสี่ยงมากขึ้น หรือการใช้ฮอร์โมนในวัยทอง หมดประจำเดือนไปแล้ว แต่เราก็ยังใช้ฮอร์โมนอยู่ ก็ อีกอย่างหนึ่งก็คือหญิงสาวที่ไม่มีลูก ไม่เคยตั้งครรภ์ ก็เหมือนกับว่าร่างกายได้รับเอสโตรเจน รอบเดือน ได้รับตลอดตั้งแต่อายุสิบกว่า ถึงห้าสิบ ไม่เคยหยุด ฮอร์โมนก็ออกมาจากรังไข่ของเราเอง ซึ่งการตั้งครรภ์จะทำให้มีการพักของฮอร์โมน เพราะฉะนั้น คนที่เคยตั้งครรภ์ คนที่เคยให้นมลูก ก็จะลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ โดยเฉพาะมีลูกในอายุที่ไม่มากนัก เช่น ก่อน 35 ปี แต่ถ้ามีตอนอายุมากๆ ก็ไม่ต่างกัน สาเหตุอื่นๆ เช่น โดนรังสี เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งป้องกันได้ไม่มากนัก อย่างเคยฉายแสงที่เต้านมมาก่อน  หรือฉายแสงที่อื่นแต่โดนเต้านมด้วย เช่น ฉายปอด ก็อาจจะมีความเสี่ยงมากขึ้นนิดหนึ่ง นอกจากนี้ อาจจะมีเรื่องของการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็อาจจะเป็นได้   การตรวจมะเร็งเต้านม ส่วนใหญ่ก็จะเน้นตรวจ 2 อย่าง คือ ตรวจด้วยมือ และตรวจด้วยเครื่อง ซึ่งตรวจด้วยมือจริงๆ คนอาจจะเข้าใจผิดว่า ตรวจด้วยเครื่องอย่างเดียวพอ ซึ่งจริงๆ แล้วการคลำโดยศัลยแพทย์ หรือโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะได้ประโยชน์ เพราะใช้เครื่องอย่างเดียว บางทีในคนที่เต้านมเล็กๆ ซึ่งมันเป็นเครื่องหนีบ เหมือนทำกล้วยปิ้ง ซึ่งในคนที่เต้านมเล็กๆ นมจะไม่ค่อยเข้าเครื่อง เข้าแต่ตรงหัวนม จะหวังพึ่งเครื่องมากในคนที่เต้านมเล็กๆ ก็จะไม่ค่อยได้ผล การใช้มือช่วยด้วย คลำที่ขอบ คือตัวมะเร็งจะมีลักษณะของมัน เช่น มันแข็ง มันติด เป็นก้อนบุ๋ม ซึ่งการใช้มือตรวจก็จะช่วยในการแยกแยะพวกนี้ เครื่องก็เป็นองค์ประกอบไว้ดู หรือไว้เพื่อยืนยันการวินิจฉัย สำหรับเครื่องเราก็จะมีแมมโมแกรมเป็นมาตรฐาน การอัลตราซาวด์ แมมโมแกรมก็จะดูหินปูน ส่วนอัลตาซาวด์ก็จะดูลักษณะว่าวัดเซนติเมตรได้ แล้วก็ดูว่าถุงน้ำหรือเป็นก้อนเนื้อ ใช้คู่กันก็จะได้ประโยชน์สูงสุด   ในเรื่องหินปูนนั้น จะพบว่าหินปูนในส่วนของมะเร็งจะไม่เหมือนหินปูนที่เสื่อมทั่วไป สมมติถ้าเรามีซีสหรือมีถุงน้ำในเต้านม อายุมากๆ มันก็เสื่อมมีหินปูนได้ แต่หินปูนพวกนี้จะมีลักษณะกลม ห่างๆ กัน ไม่จับเป็นกลุ่ม ลักษณะดูดี ดูสวย แต่ถ้าเป็นมะเร็งเต้านม เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีเยอะ เซลล์เสื่อมเร็ว เพราะฉะนั้นหินปูนก็จะมีรูปร่างแปลกๆ มีการกระจายออกมาเป็นสาย มีตั้งแต่เล็กๆ รูปร่างไม่เหมือนกัน บิดเบี้ยว และจับกลุ่มเป็นก้อน อย่างนี้เราก็จะสงสัยว่าเป็นมะเร็ง ซึ่งปัจจุบันมีการทำ MRI จะเห็นภาพชัดกว่า แต่เราก็ไม่ได้ทำเป็นมาตรฐานที่ทุกคนต้องทำแต่ MRI จะใช้ในรายที่เคยผ่าเต้านมมาก่อน แล้วก็มีก้อนแข็งๆ ซึ่งจะไว้แยกว่าเป็นแผลเป็นหรือเป็นเนื้องอกใหม่ แบบนี้ MRI จะแยกได้ดี เพราะดูเรื่องของหลอดเลือดได้ ขณะที่  แมมโมแกรมจะดูไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้ทำในทุกราย ทำเฉพาะในรายที่สงสัยจริงๆ เพราะค่าใช้จ่ายจะสูง ถึงจะเห็นทุกอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยคุ้มถ้าต้องทำทุกปี สำหรับคนที่ตรวจแล้วปกติ แต่ถ้าตรวจเจอแล้วจึงทำเพื่อดูให้ชัดเจนได้   ตามมาตรฐานทั่วไป สำหรับคนที่ไม่ได้มีความเสี่ยง เมื่ออายุ 35 แนะนำให้ตรวจแมมโมแกรมทุกปี เพราะโรคพวกนี้ไม่ได้มีสูตรตายตัวของการโตของเนื้องอก แต่ที่สังเกตกันก็คือ เนื้อไม่ดีจะโตประมาณเดือนละ 1 มิลลิเมตร ถ้าเราไม่เจอหรือเจอเล็กๆ แล้วโตขึ้นเป็น 12 มิลลิเมตร มันก็อาจเป็นเนื้อร้ายได้ แต่ถ้าเราทำทุกปี เราก็จะพบว่ายังอยู่ในระยะต้น ถ้าระยะ 1 เราเอาก้อนไม่เกิน 2 เซนติเมตร ถ้าเราทำ 2-3 ปีครั้ง เกิดปีนี้ไม่เจอ ใน 3 ปีค่อยๆ โตขึ้นมา จะเลยระยะ 1 ได้ เพราะฉะนั้นทำทุกปีก็น่าจะดีกว่า ซึ่งก็ไม่ได้มากอะไร เหมือนตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด  แต่ในรายที่สงสัย บางครั้งแพทย์ก็อาจจะนัดถี่ขึ้น เช่น อัลตราซาวด์ซ้ำในช่วง 6 เดือนระหว่างนั้น เพื่อดูว่าเม็ดที่เราสงสัยโตขึ้นไหม ซึ่งถ้าไม่โตเราก็อาจจะไม่ต้องมาทำทุก 6 เดือน ก็กลับไปทำทุกปีเหมือนเดิมก็ได้   ส่วนขั้นตอนการรักษานั้น คล้ายกับการรักษาโรคมะเร็งอื่นๆ อย่างแรกคือเราต้องเอาเซลล์นั้นออกไปก่อน ซึ่งการเอาออกก็ไม่ได้หมายถึงการเอาเต้านมออกทั้งเต้า คือหมายถึงเอามะเร็งออก ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายวิธีมาก แต่วิธีมาตรฐานก็ยังคงเป็นแบบเดิมก็คือว่า เราต้องรู้ผลชิ้นเนื้อก่อน ไม่ว่าจะใช้เข็มเจาะ ดูดหรือตัดชิ้นเล็กๆ มาตรวจ ซึ่งถ้าเป็นมะเร็งจริงๆ มันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น ขึ้นอยู่กับอายุ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อน ซึ่งถ้ายังเป็นไม่มาก เป็นน้อยๆ เป็นอยู่ห่างๆ และเต้านมยังดูดีอยู่ บางทีเราอาจจะไม่ต้องเอาเต้านมออกก็ได้ สามารถผ่าเอาแต่ตัวมะเร็งออกให้เกลี้ยง ร่วมกับการเช็คต่อมน้ำเหลือง และฉายแสงเต้านมที่เหลือ แต่วิธีมาตรฐานคือ ถ้าเราไม่ได้สนใจมากนักหรือมะเร็งก้อนใหญ่หรือไม่อยากฉายแสง การเอาเต้านมออกก็ยังเป็นวิธีที่มาตรฐาน แต่บางคนก็ไม่อยากเสียเต้านม หรือปัจจุบันเราก็มีการศัลยกรรมที่เสริมสวยเต้านมขึ้นมา อาจจะใช้เนื้อเยื่อตัวเอง หรือใช้ถุงซิลิโคนเข้ามาช่วย ก็สามารถทำได้ ก็ต้องดูเป็นรายๆ ไป แต่ยังไงก็ต้องเอาเซลล์มะเร็งออกไปก่อน ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเซลล์มะเร็งแล้วว่า จะใช้เคมีบำบัดร่วมด้วย แล้วก็เรื่องของการใช้ฮอร์โมน ขึ้นอยู่กับชิ้นเนื้อที่ไม่เหมือนกัน แต่หลักการก็คือ อันไหนใช้ได้และมีประโยชน์ต้องทำหมด ไม่ว่าจะเป็นมากหรือเป็นน้อยก็ตาม   สำหรับคนที่ตรวจเจอมะเร็งเต้านมเพียง 1 ข้าง และรักษาตามขั้นตอนแล้ว ต้องเช็คแมมโมแกรมเหมือนกัน เพราะว่ามีโอกาสเป็นซ้ำขึ้นมาได้ ก็เหมือนคนที่เคยเป็นก็อาจจะเป็นอีกได้ แต่ว่าถ้าเป็นก้อนเล็กๆ เซลล์คงตายไปตั้งแต่เคมีบำบัดแล้ว แต่เราก็ต้องเช็คอีกข้าง เพราะมีโอกาสเป็น 20-30% เหมือนกัน ต้องเช็คแมมโมแกรมทุกปีเหมือนเดิม ข้างเดิมเราก็ดูแลไป อาจจะเอกซเรย์ ทำอัลตราซาวด์ซ้ำ เหมือนตรวจมะเร็งทั่วไป ติดตามไปเรื่อยๆ   ระยะเวลาหลังจากผ่าตัด และทำเคมีบำบัด ส่วนใหญ่ทั้งหมดจะจบภายใน 6 เดือน เริ่มผ่าตัดเสร็จแล้ว ถ้าไม่ดีจริงๆ ต้องให้เคมีบำบัด บางคนก็ให้ทุก 3 อาทิตย์ 6 ครั้ง หลังจากนั้นก็ดูชิ้นเนื้อว่ามีตัวรับฮอร์โมนไหม ถ้ามี ก็เป็นเรื่องของฮอร์โมนที่เป็นยาเม็ด อีก 5 ปี หรือบางคนมีเรื่องของยีนก็จะมีตัวที่เกี่ยวกับ gene turn tool ที่เป็นตัวยีนอยู่บนเนื้องอก อันนี้อาจจะมีการฉีดยาเดือนละครั้ง 1 ปี ก็แล้วแต่ชนิดของเนื้องอก แต่ทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเรื่องหลัง หลักๆ แล้วก็อยากจะให้เน้นเรื่องการตรวจเช็คประจำปี เพราะการพบในระยะแรกๆ จะสำคัญที่สุด เพราะการรักษาอาจมีเปลี่ยนทุกปี เดี๋ยวก็จะมียาใหม่มาเรื่อยๆ มีเคมีบำบัดตัวใหม่ๆ มีฮอร์โมนตัวใหม่ๆ รวมถึงตารางการรักษาก็ยังเปลี่ยนเรื่อยๆ   ต้องบอกก่อนว่า มะเร็งเต้านมอยู่ข้างนอก สามารถตัดออกไปได้ ทำให้เราตรวจง่าย เห็นชัด เมื่อเทียบกับมะเร็งตับ มะเร็งปอด ซึ่งอยู่ข้างในและไม่ค่อยมีอาการ ถ้ามีบางทีก็ลุกลามไประยะสุดท้าย มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ถ้าคุณผู้หญิงใส่ใจ คลำๆ ละเอียดๆ เดือนละครั้ง เห็นอะไรแปลกๆ รีบมาโรงพยาบาล จะสามารถทำนายโรคได้หลายๆ อย่าง ในระยะแรกๆ จะไม่เหมือนมะเร็งปากมดลูก และอีกส่วนหนึ่งก็คือ มะเร็งเต้านมการลุกลามมันก็จะเข้าต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ มักจะเป็นทางของตัวมะเร็งเอง นั่นคือเวลาผ่า ก็จะผ่ามะเร็งเต้านมก่อน แล้วก็จะดูต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ว่าลุกลามไหม ไม่เหมือนมะเร็งตับ มะเร็งปอด พวกนั้นจะมีหลอดเลือดเยอะ  การลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียงทำได้ง่ายมาก เช่น มะเร็งปอดอยู่ใกล้ขั้วต่อมน้ำเหลือง ใกล้ขั้วเส้นเลือดใหญ่ ใกล้หัวใจ เวลามันลามก็จะติดตรงนั้น แล้วก็จะลุกลามเร็วมาก มะเร็งเต้านมถ้าตรวจเจอในระยะแรกๆ แทบจะบอกได้เลยว่า หาย 100%   ด้วยเหตุนี้ จึงควรหมั่นตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการคลำเต้านมทุกเดือน ตอนอาบน้ำ หรือไม่ก็นอนคลำ โดยใช้มือฝั่งตรงข้ามคลำ เช่น จะตรวจเต้านมซ้ายก็ใช้มือขวา ยกแขนข้างที่จะตรวจขึ้นเหนือหัว เวลาคลำก็อย่าใช้มือขยำ ใช้สามนิ้วทำแบนๆ แล้วก็กดที่เต้านม ซึ่งจะเจอซี่โครง ถ้าเจอซี่โครงก็แสดงว่าไม่มีอะไรขวาง ถ้ามีก้อนหรือมีอะไร ก็จะรู้สึกเองว่าเหมือนมีลูกแก้วขวางระหว่างมือกับซี่โครง แต่อย่าขยำ ถ้าขยำจะเป็นเนื้อนม ซึ่งบอกอะไรไม่ได้ เพราะคนเราก็จะมีเนื้อนมอยู่ตลอดอยู่แล้ว ก้อนอันนั้นอาจจะเป็นเนื้อนมก็ได้ ถ้าคลำแล้วเจออะไรแปลกๆ ก็ปรึกษาแพทย์ ควรเริ่มคลำตั้งแต่อายุ 20 กว่าก็ได้ ซึ่งก้อนส่วนใหญ่จะเป็นถุงน้ำ เนื้องอกธรรมดา เหล่านี้ก็จะไม่มีความแข็ง กลิ้งไปกลิ้งมา มีโตๆ ยุบๆ ได้ นี่คือลักษณะของเนื้อปกติ หรือเนื้อดี แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายก็จะโตอย่างเดียว ไม่มียุบ แล้วก็แข็ง ขอบจะไม่ค่อยชัด จะติดๆ ไม่ค่อยกลิ้ง พวกนี้จะเป็นระยะเริ่มแรก แต่ถ้าเป็นท้ายๆ หนักเข้าก็จะเริ่มมีรอยบุ๋ม และแข็งไม่เคลื่อนที่ไปตามเต้านม สรุป หากพบว่าผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉันแต่เนิ่นๆ การรักษาจึงจะได้ผลดี โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์ 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Human Papilloma Virus (HPVs) คืออะไร?

Human Papilloma Virus (HPVs) คืออะไร? Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดหูด ชนิดต่างๆ มีสายพันธ์มากกว่า 100 ชนิด แต่ละสายพันธ์จะก่อให้เกิดโรคได้ต่างชนิดกัน กว่า 40 ชนิดที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ที่รู้จักกันกันดี คือ หูดหงอนไก่ บางกลุ่มของการติดเชื้อ HPV ที่อวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณปากมดลูก และสามารถนำไปสู่การเกิดมะเร็งที่ปากมดลูก การติดเชื้อหูดหงอนไก่และ HPV มักจะเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยก็เป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย สายพันธ์ที่เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนักที่รู้จักกันดีคือ สายพันธ์ เบอร์ 6,11,16 และ 18 สายพันธ์ เบอร์ 6 และ 11 เป็นสายพันธ์ที่ไม่รุนแรงก่อให้เกิดมะเร็งได้ต่ำ (Low-risk) แต่ถ้าเป็นสายพันธ์เบอร์ 16 และ 18 นั้นเป็นสายพันธ์ที่รุนแรงที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้สูง (High-risk) สำหรับการติดเชื้อ HPV บริเวณผิวหนังหรือส่วนอื่นๆ ในร่างกายมักจะเกิดจากสายพันธ์เบอร์ 5 และ 8 ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่ต่างจากที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์ ติดเชื้อ HPV ได้อย่างไร     การติดเชื้อ HPV มักจะเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease, STD) ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าอย่างน้อย 75% ของวัยเจริญพันธ์มีการติดเชื้อ HPV ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่ามากกว่า 6 ล้านคนมีการติดเชื้อทุกๆ ปี และ ประมาณ 50% ของการติดเชื้อนั้นผู้ติดเชื้อมีอายุระหว่าง 15 – 25 ปี ไม่ว่าจะติดเชื้อ HPV สายพันธ์ ใดก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นหรือไม่มีอาการแสดง ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าติดเชื้อ HPV หรือไม่สามารถบ่งบอกได้จากการตรวจ DNA บางรายที่มีการตรวจพบว่าติดเชื้อ คือผลตรวจเป็นบวก และระยะต่อมาเมื่อผ่านไปเป็นเดือนหรือปี ผลตรวจเปลี่ยนเป็นลบ ที่เรียกว่าเป็นระยะเงียบ (latent period) คือมีการติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งผู้ป่วยสามารถติดเชื้อซ้ำได้ ผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการตรวจกันแพร่หลายทำให้สามารถตรวจหาเชื้อและได้รับการรักษาเบื้องต้น เป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ส่วนในประเทศที่กำลังพัฒนาการตรวจหาในระยะเริ่มแรกมีน้อยเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ จึงทำให้การเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มาจากการติดเชื้อ HPV จำนวนมาก ซึ่งมีผู้หญิงราวๆ 500,000 คนในแต่ละปีทั่วโลกเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก อาการสำคัญ    ในหลายๆ คนการติดเชื้อนั้นไม่ก่อให้เกิดอาการแสดง แต่บางครั้งอาจมีอาการคัน แสบร้อน หรือตึง ซึ่งแตกต่างกันตามที่ๆ เกิด สำหรับผู้หญิงที่มีการติดเชื้อภายในช่องคลอดบางครั้งจะมีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีสารคัดหลั่งออกทางช่องคลอด น้อยรายที่จะมีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ โดยหูดได้ปิดกั้นท่อทางเดินปัสสาวะ การวินิจฉัยการติดเชื้อ HPV      เชื้อ HPV บางครั้งสามารถตรวจพบได้จากการตรวจ Pap Smear เนื่องจากเชื้อ HPV สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อ แต่การตรวจ Pap Smear นั้นไม่สามารถที่จะวินิจฉัยโรคได้แน่นอนยกเว้นการตรวจชนิดพิเศษคือการตรวจ DNA ของ HPV เมื่อใดที่ตรวจพบผลผิดปกติของ Pap Smear แพทย์มักจะให้มีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูกไปตรวจ เป็นต้น การวินิจฉัย        โรคหูด(หรือหงอนไก่)ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ง่ายพบผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 500,000 ราย ต่อปี ซึ่งแพทย์สามารถตรวจพบและรักษาได้โดยไม่ต้องทำการตรวจเพิ่มเติมในกรณีที่มองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งลักษณะของหูดมักจะปรากฎให้เห็นในลักษณะตุ่มเล็กๆ ขรุขระ มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มากกว่า 90% ที่หูดบริเวณอวัยวะสืบพันธ์เกิดจากสายพันธ์ HPV 6 และ HPV 11 ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่ไม่รุนแรง การรักษา HPV     ไม่มีการรักษาใดที่จะสามารถกำจัด การติดเชื้อ HPV ได้หมดสิ้น เพียงแต่ที่ทำได้คือการตัดส่วนที่เกิดการติดเชื้อไวรัสออกไป แต่การตัดชิ้นเนื้อออกไปนั้นไม่สามารถที่จะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้ อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถกลับเป็นซ้ำได้อีก การรักษาที่สามารถทำได้โดยที่ผู้ป่วยใช้น้ำยาหรือครีม 0.5% podofilox (Condylox) ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง 3-4 วัน การรักษาส่วนใหญ่จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง 34- สัปดาห์ หรือจนกระทั่งหาย podofilox สามารถใช้ทาวันเว้นวันต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หรือบางครั้งอาจใช้ imiquimod (Aldara) ทาบริเวณที่เป็น3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยทาในช่วงก่อนนอน หลังจากนั้น 6-10 ชั่วโมง ล้างออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด การใช้ imiquimod สามารถใช้ได้ต่อเนื่องนาน 16 สัปดาห์หรือจนกระทั่งหาย สำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถทำการรักษาโดยใช้ น้ำยา Podophyllin resin ที่มีความเข้มข้น 10-25% จี้บริเวณที่เป็น และล้างออกหลังจากนั้นประมาณ 2-3ชั่วโมง และจะทำการรักษาซ้ำอีกทุกสัปดาห์จนกระทั่งหาย อีกวิธีหรือ การใช้ น้ำยา Tricholoroacetic acid (TCA) หรือ Bichloracetic acid (BCA) จี้ทุกสัปดาห์ หรือการฉีด 5-Flurouracil epinephrine gel บริเวณที่เป็น หรือสามารถใช้ Interferon alpha ฉีดบริเวณที่เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์ การรักษาอีกวิธีคือการทำ Cryotherapy (การจี้ด้วยความเย็นจัด) ทุกๆ 1-2 สัปดาห์ การตัดหูด หรือ การใช้เลเซอร์ ซึ่งการตัดหรือการใช้เลเซอร์นั้นจำเป็นต้องได้รับการใช้ยาระงับความรู้สึก ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณที่เป็น การเปลี่ยนแปลงบริเวณปากมดลูก   ผู้หญิงที่มีได้รับการตรวจและพบว่ามีเปลี่ยนแปลงบริเวณปากมดลูก ไม่ว่าจะเป็นชนิดปานกลางหรือรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อมิให้เซลล์เปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อร้าย ในลักษณะแบบนี้การรักษามักจะเกี่ยวข้องกับการตัดส่วนที่เป็นออก  Conization เป็นวิธีการรักษาโดยการตัดปากมดลูกออกโดยใช้มีดหรือเลเซอร์ วิธีการอื่นที่เป็นรู้จักคือ LEEP นั่นคือการใช้ลวดผ่านกระแสไฟฟ้าผ่านเอาชิ้นเนื้อที่ผิดปกติทิ้ง  Cryotherapy หรือ การใช้เลเซอร์ก็สามารถใช้เพื่อทำลายเนื้อที่ผิดปกติได้ ขณะนี้มีการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนที่ป้องกันไวรัสหูดหงอนไก่และมะเร็งที่ปากมดลูก เป็นวัคซีนที่ป้องกัน HPV สายพันธ์ 6,11,16 และ 118 วัคซีนชนิดนี้ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับการใช้ในผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 9-26 ปี สำหรับวัคซีนชนิดอื่นที่ป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธ์ 16 และ 18 ที่เป็นสายพันธ์รุนแรงนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง การติดเชื้อสามารถติดต่อได้โดยตรงจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่เชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่พบหรือไม่แพร่กระจายทางสารคัดหลั่ง เลือดหรือการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ การใช้ถุงยางอนามัยดูจะสามารถลดความเสี่ยงการได้รับเชื้อได้แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ยาฆ่าเชื้ออสุจิและยาคุมกำเนิดนั้นไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ การป้องกันตนเองจากการมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ HPV แต่คนที่ป้องกันตนเองจากการมีเพศสัมพันธ์ ก็ยังจะสามารถติดเชื้อ HPV ได้เช่นกัน ซึ่งรู้จักกันดีคือหูดที่บริเวณผิวหนังเช่น มือ ปาก บางงานวิจัยพบว่า HPV สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้จากการคลอดปกติ ควรทำอย่างไรเมื่อได้รับเชื้อ   ผู้ที่ได้รับเชื้อและคู่นอนควรที่จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ได้เป็นผู้แพร่กระจายเชื้อ ซึ่งควรจะเข้าใจว่าการที่ไม่ได้มีหูดให้เห็นนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถแพร่เชื้อได้ และ ควรเข้าใจว่าการใช้ถุงยางอนามัยนั้นก็ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายโรคได้ 100 % สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือเมื่อผู้หญิงตรวจพบว่ามีการติดเชื้อหรือเป็น โรคควรที่จะได้รับการตรวจ Pap Smear อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก และ เพื่อคัดกรองความผิดปกติจากมะเร็งปากมดลูก เช่นเดียวกับเพศชายที่ควรจะได้รับการแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งที่ทวารหนัก ถึงแม้ว่าจะไม่มีการคัดกรองและตรวจสอบมะเร็งที่ทวารหนักในระยะเริ่มต้นก็ตาม โดย นพ.ธีรศักดิ์  ธำรงธีระกุล

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การผ่าตัดลดน้ำหนักดีหรือไม่

การผ่าตัดลดน้ำหนักดีหรือไม่   ความอ้วนไม่ได้เป็นเพียงแค่ลักษณะของบุคลิกภาพ แต่ปัจจุบันเราจัดภาวะนี้เป็นโรคเรื้อรังอย่างนึง เนื่องจากพบว่าภาวะโรคอ้วนทำให้มีการอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นภายในร่างกายรวมถึงภาวะภูมิคุ้มกันที่บกพร่องกว่าคนปกติอันจะนำไปสู่ความผิดปกติทางเมตาโบลิกต่างๆเช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งหลายชนิดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลกคือการใช้ดัชนีมวลกาย (น้ำหนักเป็นกิโลกรัม หาร ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง) ที่มากกว่า 30 kg/m2 โดยแบ่งเป็น โรคอ้วนระดับที่ 1 มีดัชนีมวลกาย 30-34.9 kg/m2 โรคอ้วนระดับที่ 2 มีดัชนีมวลกาย 35-39.9 kg/m2 โรคอ้วนระดับที่ 3 มีดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 40 kg/m2  เป็นต้นไป อุบัติการณ์ในประเทศไทยพบมีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคอ้วนสูงขึ้นอย่างมาก ในปีพ.ศ.2552 พบโรคอ้วนระดับที่ 1 กับระดับที่ 2 รวมกันคิดเป็นร้อยละ 35% ซึ่งด้วยวิถีชีวิตและอาหารการกินของคนยุคนี้ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังพบว่าสรีระของคนเอเชียกับชาติตะวันตกมีความแตกต่างกันในเรื่องของการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย โดยชาวเอเชียมักมีไขมันสะสมอยู่ในอวัยวะภายในมากกว่าที่จะเห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกซึ่งมีโอกาสนำไปสู่ความผิดปกติทางเมตาบอลิกที่มากกว่า องค์กรต่างๆจึงมักแนะนำให้ลดดัชนีมวลกายลงสำหรับเกณฑ์การรักษาภาวะโรคอ้วนในคนเอเชีย ปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนถือเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก กล่าวคือทําให้น้ำหนักผู้ป่วยลดลงอย่างรวดเร็ว สามารถควบคุมน้ำหนักในระยะยาว และยังสามารถทําให้โรคร่วมต่างๆ เช่น เบาหวาน นอนกรน หายหรือควบคุมได้ดีขึ้น การผ่าตัดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน 1. การผ่าตัดแบบสลีฟ ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะให้มีขนาดเล็กลงเหลือเพียงประมาณ 20% ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และปรับฮอร์โมนให้ลดความอยากอาหาร ผู้ป่วยจึงไม่ทรมานจากความหิวโหย ข้อดี เป็นการผ่าตัดที่ลดนำหนักได้มากและเร็วกว่าวิธีไม่ผ่าตัดต่างๆ เช่น ยา บอลลูน ห่วงรัดกระเพาะ และสามารถควบคุมน้ำหนักได้ในระยะยาว ทั้งนี้ต้องขึ้นกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อน ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ข้อเสีย ไม่สามารถทำกับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยปรับขนาดกระเพาะด้วยการใส่ห่วงมาก่อน 2. การผ่าตัดแบบบายพาส ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะให้เป็นกระเปาะขนาดเล็กนำไปต่อกับลำไส้เล็ก และนำลำไส้เล็กส่วนปลายตัดอีกข้างไปต่อกับลำไส้เล็กส่วนปลายกว่าเพื่อลดระยะในการดูดซึมสารอาหาร เพราะฉะนั้นนอกจากจะทำให้ทานอาหารได้น้อยแล้วยังลดการดูดซึมสารอาหารด้วย ข้อดี สามารถเกิดผลลัพธ์ในเรื่องน้ำหนักที่ลดรวมถึงการควบคุมน้ำหนักในระยะยาวได้มากกว่าการผ่าตัดแบบสลีฟ ข้อเสีย พบปัญหาในการดูดซึมสารอาหารได้ในบางราย จำเป็นต้องทานยาตลอดชีวิตเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร เป็นการผ่าตัดที่ยาก ซับซ้อน อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ริดสีดวงทวารคืออะไร

ริดสีดวงทวารคืออะไร             ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาการผิดปกติที่บริเวณทวารหนักทุกอย่างคือริดสีดวงทวาร แต่จริงๆแล้วความผิดปกติบริเวณนี้มีหลายสาเหตุเช่น แผลปริปากทวาร ติ่งเนื้อ หูดหงอนไก่ ผื่นแพ้ หรือแม้แต่มะเร็งปากทวาร แต่แน่นอนว่าอุบัติการณ์ของโรคริดสีดวงทวารสามารถพบได้บ่อยที่สุด เพราะจากรายงานทางการแพทย์พบว่าสามารถพบได้สูงถึงประมาณ 10-50% ของประชากร นั่นคือเกือบครึ่งหนึ่งของคนเราอาจมีปัญหาจากริดสีดวงอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตของเรา             ในความเป็นจริง ริดสีดวงคือกลุ่มเนื้อเยื่อที่มีหลอดเลือดดำส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ยึดติดอยู่ภายในรูทวาร เนื้อเยื่อนี้พบได้ในคนปกติทุกคนโดยมีหน้าที่ช่วยในเรื่องการกลั้นอุจจาระประมาณ 10-15% แต่เมื่อหลอดเลือดนี้มีการโป่งพองและยื่นออกมาจะสามารถทำให้เกิดอาการเลือดออก เป็นก้อนยื่นหรือปวดได้ ก็จะเรียกภาวะนี้ว่าโรคริดสีดวงทวาร             ริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็นริดสีดวงทวารภายในและริดสีดวงทวารภายนอก โดยริดสีดวงทวารภายในยังแบ่งความรุนแรงได้เป็น 4 ระดับขึ้นกับการยื่นออกนอกรูทวารและการกลับเข้า   การป้องกัน             ปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่สำคัญของโรคริดสีดวงทวารเกิดจากแรงเบ่งจากภายในที่ทำให้หลอดเลือดโป่งพองหรือจากการนั่งนานๆโดยเฉพาะเมื่อนั่งถ่ายบ่อยหรือนาน ซึ่งทำให้ริดสีดวงยื่นออกมาง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันคือต้องดูแลเรื่องการรับประทานอาหารและการขับถ่ายอุจจาระให้ดี รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มที่ออกง่าย ไม่ต้องเบ่งเยอะ อาหารที่แนะนำคือผักผลไม้ต่างๆ ร่วมกับการดื่มน้ำมากๆอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องเสีย เพราะทำให้ต้องถ่ายอุจจาระบ่อยซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างนึงที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ปรุงสุก อาหารรสจัดต่างๆ หลีกเลี่ยงการนั่งถ่ายอุจจาระนานๆ ไม่ควรไปนั่งรอให้ปวด แต่ควรเข้าห้องน้ำเมื่อปวดถ่าย หลังถ่ายเสร็จควรรีบลุกออกจากห้องน้ำทันที ไม่ควรนั่งอ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการนั่งยอง โดยเฉพาะการถ่ายอุจจาระควรเลือกส้วมที่เป็นโถนั่ง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ กรณีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ   การดูแลเบื้องต้นกรณีมีอาการจากริดสีดวงทวาร กรณีมีก้อนยื่นออกจากทวาร แนะนำหลังถ่ายอุจจาระเสร็จให้ใช้น้ำฉีดชำระทำความสะอาดจากนั้นใช้นิ้วดันก้อนกลับเข้าไปด้วยความนิ่มนวล อาจใช้สบู่อ่อนหรือเจลหล่อลื่นช่วยให้สามารถดันกลับเข้าได้ง่ายขึ้น ไม่ควรปล่อยให้ก้อนคาอยู่ที่รูทวารนานๆเพราะอาจทำให้มีอาการบวม อักเสบและปวดตามมาได้ กรณีเลือดออกจากริดสีดวงทวาร มักเป็นเลือดสดหยดตามหลังการถ่ายอุจจาระ มักจะสามารถหยุดได้เอง หากเลือดไม่หยุด หรือลักษณะของเลือดปนกับอุจจาระ หรือมีมูกเลือดปนควรต้องรีบพบแพทย์ กรณีมีอาการปวด อาจซื้อยาแก้ปวดทานได้ในเบื้องต้น ร่วมกับการแช่น้ำอุ่นประมาณ 40 องศาเซลเซียส แช่ครั้งละประมาณ 15 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดอาการปวดได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าชะล่าใจคิดว่าอาการต่างๆเป็นเพียงริดสีดวงทวารเพราะบางครั้งความผิดปกตินั้นอาจเป็นความผิดปกติอื่น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อายุเยอะอาจต้องระวังเรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย จึงแนะนำว่าควรพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ   การรักษา             ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง รวมถึงลักษณะอาการหลักของผู้ป่วย ซึ่งหากเป็นไม่เยอะอาจเพียงแค่ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารและการขับถ่ายอุจจาระให้ดีอาการก็สามารถดีขึ้นเอง หรือแพทย์อาจให้ยาร่วมด้วยเพื่อให้อาการหายเร็วขึ้น หากอาการมากขึ้นหรืออาการไม่ดีขึ้นจากการทานยาสามารถรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการฉีดสารให้ฝ่อหรือใช้วิธีการรัดยาง เป็นต้น             กรณีที่อาการเป็นมาก อาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดริดสีดวงซึ่งถือเป็นการรักษามาตรฐานในปัจจุบัน เพียงแต่วิธีการนี้มักทำให้มีอาการปวดหลังผ่าตัดค่อนข้างมากและนาน ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับมาทำงานได้ ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ทำให้การรักษาริดสีดวงทวารสามารถทำได้โดยคนไข้ไม่ต้องนอนรพ. ไม่มีแผลผ่าตัดใหญ่ เจ็บน้อยมากและหายเจ็บเร็ว สามารถกลับมาทำงานได้หลังการรักษาเพียงสองวัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. ปวดหัว อันตรายอย่างไร

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. ปวดหัว อันตรายอย่างไร ปวดหัว อันตรายอย่างไร ปวดศีรษะ เป็นอาการที่มีสัดส่วนมากที่สุดที่คนไข้จะเดินเข้ามาในแผนกอายุรกรรมสมอง และระบบประสาท สาเหตุอาจจะเกิดจากการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเร่งรีบ อาจมีความเครียดและอดนอน แต่อาการปวดศีรษะไม่ได้เกิดจากแค่ความเครียดหรืออดนอนก็ได้ อาจจะเป็นอาการนำของโรคอันตราย พิการหรือเสียชีวิตก็ได้   อาการปวดศีรษะเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนมากจะพบในวัยทำงาน วัยกลางคนจนกระทั่งไปถึงผู้สูงอายุ และแต่ละช่วงอายุสัดส่วนของโอกาสน่าจะเป็นโรคต่างๆ ก็แตกต่างกัน เช่น ในวัยทำงานอาจจะเจอโรคที่ไม่อันตราย วัยสูงอายุขึ้นไปจะเจอโรคอันตรายมากกว่า โดยแบ่งกลุ่มตามอาการโรคปวดศีรษะเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ กลุ่มอันตราย และกลุ่มไม่อันตราย   ในกลุ่มที่ไม่อันตราย เช่น โรคไมเกรน ปวดหัวเทนชั่น (*ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็ง / Tension type headache) หรือบางทีเราอาจจะเรียกง่ายๆ ว่า กล้ามเนื้อยึดตึง อีกอันหนึ่งก็เป็นคลัสเตอร์ (Cluster Headache) อาจจะคุ้นหูน้อยหน่อย แต่ก็สามารถเจอได้มากขึ้น ซึ่งจัดเป็นกลุ่มโรคปวดศีรษะไม่อันตราย ที่เราเจอบ่อยๆ กลุ่มอันตราย เช่น ก้อนในสมอง เลือดออกในสมอง หลอดเลือดสมองตีบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบก็ได้ หรือบางทีมีงูสวัดตามเส้นประสาทของสมองก็ได้ เหล่านี้จัดเป็นกลุ่มอันตราย   ส่วนอาการปวดในกลุ่มที่ไม่อันตราย ตัวอย่างเช่น ไมเกรน ก็จะมีรูปแบบเฉพาะจริงๆ กลุ่มนี้ทั้งกลุ่มลักษณะทั่วไปจะมีอาการปวดหัวเป็นๆ หายๆ คือจะต้องมีช่วงที่หายสนิทเกิดขึ้น แต่ละโรคก็จะมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน เช่น ไมเกรนไม่ควรเกิน 3 วัน ปวดหัว Tension อาจจะปวดได้เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ แล้วก็เป็นใหม่ ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ส่วนคลัสเตอร์ครั้งละไม่เกิน 3 ชั่วโมง แต่ใน 1 วัน อาจจะมาได้ 2-3 รอบ แล้วก็มาเป็นชุดๆ ตามชื่อว่า Cluster ไมเกรนลักษณะจะปวดข้างเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่สามารถปวดสลับข้างกันได้ ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง ตำแหน่งที่ไมเกรนมักจะปวดจะมีได้ตั้งแต่เบ้าตา หน้าผาก ขมับ ท้ายทอย โดยปวดเป็นซีก อาจจะมีปวดตุบๆ ร่วมด้วย ปวดค่อนข้างมาก และมีอาการร่วมคือคลื่นไส้ อาเจียน หรืออยากจะอยู่นิ่งๆในที่เงียบๆ มืดๆ เพราะว่า ไวต่อแสง,เสียง การกระเทือน บางครั้งตัวกระตุ้นอาจเกิดจากอาการร้อนหรือแดดร้อนก็ได้ ส่วนอาการปวดหัว Tension ส่วนมากจะเกิดจากความเครียด อดนอน ลักษณะคล้ายๆ มีอะไรมารัดรอบๆ ศีรษะไว้ จะปวดได้ทั้งวัน แต่ส่วนมากจะเป็นช่วงเวลาทำงาน ส่วน (Cluster) จะปวดข้างเดียวไปตลอดชีวิต เช่น เราเคยปวดด้านซ้าย ก็จะปวดด้านซ้ายไปตลอด ตำแหน่งจะค่อนมาทางเบ้าตา แต่สิ่งสำคัญก็คือจะมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติร่วมด้วย เช่น ปวดข้างซ้าย ก็จะมีหนังตาซ้ายบวม น้ำมูกน้ำตาไหลข้างเดียวกัน แต่อาการพวกนี้จะหายไปพร้อมกับอาการปวดหัว ไม่เกิน 3 ชั่วโมง   การรักษาก็แตกต่างกัน ถ้าเป็นไมเกรน จะมียาแก้ปวดของไมเกรน เช่น กลุ่มทริปแทน (triptan) หรือกลุ่มเออกอท (*ยาที่มีส่วนผสมของเออโกทามีน /ergotamine) แต่เออกอทไม่ค่อยใช้แล้ว เพราะผลข้างเคียงด้านการหดหลอดเลือดมากเกินไป ทำให้หลอดเลือดตามส่วนของร่างกายตีบได้ เราจะหลีกไปใช้ยาแก้ปวดทั่วๆ ไปแทน กับยาป้องกันไมเกรนสำหรับกรณีที่คนไข้ปวดบ่อยจนเกินไป เช่น 1 เดือนเกิน 2-3 ครั้ง และที่สำคัญกลุ่มโรคพวกนี้ศึกษากันไปเรื่อยๆ เราจะทราบว่ามีตัวกระตุ้นที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นดีที่สุดก็คือจะต้องศึกษาหรือสังเกตอาการจากตัวกระตุ้นว่า ตัวกระตุ้นเป็นตัวไหน ก็ใช้วิธีหลีกเลี่ยง    ถ้าเริ่มๆ จะปวด การทานพาราเซตามอลก็อาจจะหาย อยู่ที่ทานเร็ว หายเร็ว สำหรับไมเกรนเอง บางคนที่มีออร่า คืออาการนำก่อนที่จะมีจะปวดหัว  ตาพร่ามัว ตาลาย ภาพเบลอ ถ้ารีบทานยาตั้งแต่ออร่า อาการปวดศีรษะจะหายเร็ว ส่วน Tension เราก็ไปลดปัจจัยกระตุ้น เช่น ลดความเครียด นอนให้พอ แล้วก็หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ยาแก้ปวดก็ค่อนข้างช่วย และยาลดความเครียดก็จะช่วยได้ ยาแก้ปวด ถ้าหายแล้วก็หยุดทาน เพราะส่วนมากยาแก้ปวดพวกนี้ เป็นกลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) มีฤทธิ์กัดกระเพาะอยู่แล้ว ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรทานเกิน 5 วัน ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ไม่เกิน 15 วันต่อเดือน ส่วนปวดแบบ (Cluster) พบได้มากขึ้น แต่ไม่ได้บ่อยมาก ปวดศีรษะชนิดนี้ตอบสนองต่อการได้ออกซิเจน แต่เราไม่ค่อยสะดวกให้คนไข้ได้ ออกซิเจนได้ตลอด คนไข้อยู่บ้านก็ไม่มีออกซิเจน เราก็อาจจะใช้ยาคล้ายกับของไมเกรนช่วยพอได้ แล้วใช้ยาป้องกันแบบ (Cluster)  ระยะเวลาการได้ออกซิเจนก็ประมาณ 15 นาที   สำหรับปวดหัวกลุ่มอันตรายสามารถสังเกตได้คือ 1.อาการปวดหัวนั้นค่อนข้างเร็วและแรง เช่น ภายใน 1 นาที จากไม่ปวดเลยกลายเป็นปวดมากเหมือนหัวจะระเบิด แบบนี้มองว่าอันตรายไว้ก่อน เช่น อาจจะมีเลือดออกในสมองได้ 2.สำหรับคนที่ไม่เคยปวดศีรษะเลย อยู่ๆ ก็ปวด หลังอายุ 50 ปี ก็จัดว่าอันตราย เพราะกลุ่มโรคที่ไม่อันตราย อย่างไมเกรน เทนชั่น คลัสเตอร์ ส่วนมากจะมีอาการปวดอยู่บ้างในอายุก่อน 50 ปี 3.สำหรับคนที่เคยปวดอยู่บ้างแล้ว เป็นรูปแบบซ้ำๆ เดิม แล้วอยู่ๆ รูปแบนั้นได้เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี เช่น ความรุนแรงมากขึ้น ตำแหน่งที่ปวดเปลี่ยนไป  หรือระยะเวลานานขึ้น หรือบางทีหลับๆ อยู่แล้วถูกปลุกจากความปวด ให้ต้องตื่นขึ้นมา เหล่านี้เป็นรูปแบบที่เปลี่ยนไปค่อนข้างอันตราย 4.ถ้ามีอาการร่วมทางระบบประสาท เช่น อยู่ดีๆ อ่อนแรง เห็นภาพซ้อน หูอื้อ พูดไม่ชัด เดินเซ หรือคอแข็ง จัดว่าอันตรายไว้ก่อน 5.สำหรับคนผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคประจำตัวประเภทภูมิคุ้มกันต่ำ ก็อาจจะต้องสงสัยปวดศีรษะอันตรายไว้ก่อน เช่น บางคนเป็น SLE ทานยากดภูมิอยู่ แล้วปวดหัวขึ้นมา ก็ต้องสงสัยไว้ก่อน ว่าอาจจะมีติดเชื้อแทรกซ้อนได้ เหล่านี้เป็นวิธีสังเกตของกลุ่มอันตราย โรคก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ก้อน หลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หากปวดแล้วนอนไม่ได้ ให้สงสัยว่าอันตรายไว้ก่อน เพราะกลุ่มที่ไม่อันตรายส่วนมากการนอนจัดเป็นปัจจัยปกป้อง ทำให้อาการปวดดีขึ้นด้วยซ้ำ   ตำแหน่งของอาการปวดต่างๆ ส่วนมากแพทย์จะถามปวดตรงไหนบ้าง ลักษณะเป็นอย่างไร การดำเนินโรคเป็นอย่างไร ตำแหน่งที่ปวดช่วยอย่างไร เช่น เบ้าตา ต้องดูว่าปวดที่เบ้าตาไหน ถ้าปวดที่เบ้าตาอย่างเดียวก็อาจจะเป็นโรคต้อหินก็ได้ หรือบางทีจะเป็นคลัสเตอร์ก็ได้ หรือจะเป็นไมเกรนก็ได้ หน้าผาก ขมับ ท้ายทอย กลางกระหม่อม ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่คนไข้อาจจะต้องสังเกตแล้วบอกแพทย์ให้ได้ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย แต่บางโรคก็ปวดทั้งศีรษะหรือปวดเฉพาะจุด แต่ถ้าคนไข้สังเกตได้ การวินิจฉัยโรคก็จะง่ายขึ้น ถ้ามีอาการบ่งไปทางอันตราย ก็จะสแกนสมอง เพื่อยืนยันว่ามีอะไรผิดปกติในสมองหรือเปล่า หรือกรณีที่ลักษณะแบบฉบับคล้ายกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น มีไข้ ปวดหัวทั่วๆ ไป คลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็คอแข็ง อันนี้อาจจะสงสัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก็อาจจะต้องเจาะตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อนำ ไปวิเคราะห์อีกที สมมติว่า สงสัยไปทางเลือดออก อาจจะเลือกเป็น CT สมอง ซึ่งจะเห็นชัดกว่า แต่ถ้าต้องการเก็บรายละเอียด เช่น สงสัยไปทางพวกก้อน เนื่องงอกในสมองหรือสมองขาดเลือด เราก็อาจจะเลือกเป็น MRI เพราะเราสามารถดู MRA คือดูหลอดเลือดแดงได้ด้วย หรือถ้าสงสัยหลอดเลือดดำตีบตัน ก็ทำให้เกิดการปวดหัวได้ เราก็จะตรวจ MRV หรือ magnetic resonance venography พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าสงสัยแค่เลือดออกเราก็ทำแค่ CT สมอง ถ้าต้องการดูรายละเอียดของโรคปวดหัวอื่นๆ ร่วมด้วย ก็จะเลือกเป็น MRI แล้วก็ดู MRA หรือ MRV ไปด้วย   ลักษณะของการดำเนินโรค แบ่งออกเป็น 3 แบบ ง่ายๆ 1.ตุบๆ คล้ายๆ ตุบ ตุบ ตุบ เป็นตามจังหวะหัวใจเต้น บ่งไปโรคอะไรบ้าง เช่น โรคหลอดเลือด ไมเกรนก็ได้ 2.แหลมๆ จี๊ดๆ แทงๆ อันนี้อาจมีโอกาสเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ 3.บีบรัดตึงๆ แบบเอาอะไรมาบีบไว้ที่ศีรษะ อันนี้บอกได้ค่อนข้างยาก เป็นได้ตั้งแต่กล้ามเนื้อยึดตึงธรรมดา ไปจนถึงก้อนเนื้อในสมองก็ปวดแบบนี้     ส่วนระยะเวลาดำเนินโรค ก็สำคัญเหมือนกัน กลุ่มโรคที่ไม่อันตรายส่วนมาก การดำเนินโรคก็จะเป็นๆ หายๆ และมีช่วงหายสนิทเกิดขึ้น ระยะเวลาของแต่ละโรคก็จะไม่เหมือนกัน เช่น ไมเกรน อาจจะปวดไม่เกิน 3 วันต่อครั้ง แล้วก็หาย แล้วก็ปวดใหม่ คลัสเตอร์ก็อาจจะไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อครั้ง แต่วันหนึ่งเป็นได้หลายรอบ ส่วนเทนชั่นก็อาจจะเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์กว่าจะหาย ส่วนโรคกลุ่มอันตรายส่วนมาก ปวดแล้วจะไม่ค่อยหาย อาจจะทานยาพาราเซตามอลแล้วอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่หายสนิท แล้วถ้าอาการพวกที่เป็นก้อน จะค่อยๆ ปวดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นพวกเลือดออกก็อย่างที่บอกไว้ จะมีลักษณะพิเศษ คือ เร็วแรง แล้วก็คงที่ หรือมากขึ้นแต่อาจจะไม่หาย หลังจากกินยาลดปวด สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยในการวินิจฉัย คนไข้อาจจะต้องสังเกตว่า ทำอะไรแล้วดีขึ้น หรือทำอะไรแล้วแย่ลง เช่น สำหรับไมเกรน ถ้านอนพักแล้วอาจจะดีขึ้น บางคนอาเจียนแล้วก็ดีขึ้น อันนี้ก็มีโอกาสเป็นไมเกรนมากกว่า เพราะว่ามันเป็นกระบวนการดำเนินของโรค พออาเจียนมันค่อนข้างจะใกล้จบรอบไมเกรนแล้ว หรือถ้านอนพัก การนอนที่ดี จะช่วยให้ไมเกรนหมดรอบเร็วขึ้น   การนอนที่ดี อาจจะนอนพักผ่อนให้ชั่วโมงพอ อย่างน้อยต้อง 7 ชั่วโมง และคุณภาพการนอนต้องดี คือไม่มีอะไรรบกวน คุณภาพการนอนที่ไม่ดี เช่น นอนกรน ก็จะทำให้ปวดหัว เป็นไมเกรนถี่ขึ้นบ่อยขึ้น อีกอันหนึ่งก็คือคนไข้ต้องสังเกตว่าทำอะไรแล้วแย่ลงด้วยหรือเปล่า เช่น บางทีไอ จาม หรือเบ่ง แล้วแย่ลง ต้องสงสัยกลุ่มโรคความดันในสมองเพิ่มขึ้น อาการร่วมก็สำคัญ เช่น ถ้าสังเกตแล้วมีไข้ คอแข็ง ปวดหัวทั่วๆ ก็อาจจะสงสัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบ   หลายๆ คน มีอาการปวดบริเวณท้ายทอย ในส่วนนี้สามารถเป็นได้หลายโรค ไมเกรนบางทีก็ปวดท้ายทอยได้ กล้ามเนื้อยึดตึงก็ปวดท้ายทอยได้ โรคของกระดูกคอเสื่อมก็ปวดท้ายทอยได้ หรือแม้แต่โรคของก้อนเนื้องอกในสมอง ก็ปวดท้ายทอยได้ นอกจากตำแหน่งเราก็ใช้อาการร่วมอื่นๆ เช่น ลักษณะการดำเนินโรค ทำอะไรแล้วดีขึ้น แย่ลง แล้วก็ตรวจร่างกาย   นอกจากนี้ การให้หมอนวด นวดตรงคอ ต้องระวังดีๆ จริงๆ เวลาเราปวดกล้ามเนื้อหรือกระดูกคอ การนวดโดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อช่วยได้ ช่วยให้ดีขึ้นได้ แต่บางวิธีไม่ถูกต้อง เช่น มีการบิดคอ อันนี้จะทำให้เกิดหลอดเลือดฉีกขาด ซึ่งค่อนข้างอันตราย   โรคปวดหัวที่ไม่อันตรายบางโรค เช่น ไมเกรน เมื่ออายุมากขึ้นอาจจะเบาบางลง อาจจะด้วยเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ส่วนมากไม่หายไปจากชีวิตเราเท่าไหร่ เมื่อไหร่มีตัวกระตุ้น โรคพวกนี้ก็พร้อมที่จะกลับมา อย่างไมเกรน เราอาจทานอาหารต้องห้ามบางอย่าง เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ ชีส ผงชูรสเยอะๆ หรือพวกไนเตรตที่อยู่ในไส้กรอก กุนเชียง หรืออาจจะนอนพักผ่อนไม่พอ มันก็เตือนเราว่าต้องนอนให้พอ หรือเราอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนเกินไป เขาก็เตือนเรา คล้ายๆ อย่างนั้นมากกว่า ต้องหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอย่างที่เราทราบกัน แล้วก็อาจจะต้องใช้ยาแก้ปวดเฉพาะเวลาปวด ถ้าเกิดทราบว่าไมเกรนกำลังจะกำเริบ ให้รีบทานยาเร็วๆ เพราะรีบทานเร็วก็จะหายเร็ว ก็จะใช้ยาแก้ปวดน้อยลง แล้วก็ต้องดูว่าความถี่ของไมเกรนมาบ่อยแค่ไหน ถ้าบ่อยเกินไปเราก็ต้องใช้ยาป้องกันหรือยาควบคุม คือทานทุกกันเพื่อป้องกันให้เขามายากขึ้น ความถี่น้อยลง ความรุนแรงแต่ละครั้งก็จะน้อยลง   บางคนอาจจะไม่อยากทานยา กลุ่มบางประเภท เช่น กล้ามเนื้อยึด อันนี้เหมาะที่จะทำกายภาพ เพราะนอกเหนือจากการใช้ยา การยืดกล้ามเนื้อก็ช่วยได้พอสมควร บางทีการทำกายภาพยืดกล้ามเนื้อทำให้เราผ่อนคลายได้ด้วย ก็ทำให้กลุ่มพวกปวดหัวกล้ามเนื้อยึดตึงหรือเทนชั่นดีขึ้นได้           การดูแลตัวเองเบื้องต้นสิ่งที่อยากจะเน้น คือ ทบทวนอาการปวดหัวของตัวเองว่า เข้ากับโรคอันตรายหรือไม่ เพราะว่าอาจจะเป็นอาการนำก่อนที่จะเป็นโรคทางสมองก็ได้ ถ้าเรารีบรักษาเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้ นพ.พงศกร ตนายะพงศ์ อายุรแพทย์ระบบประสาทวิทยา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. การจัดฟันแบบ Invisalign

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. การจัดฟันแบบ Invisalign  การจัดฟันแบบ Invisalign การจัดฟันเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหาฟันเก ฟันซ้อน ฟันห่าง ฟันเหยินได้ และปัจจุบันก็เป็นที่นิยมทำกันมาก การจัดฟัน ทำโดยการติดเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกดลงไปที่ฟัน ทำให้ฟันเกิดการเคลื่อนย้ายไปในทิศทางที่ต้องการและค่อยๆ ขยับเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องการสบกันระหว่างฟันบนกับฟันล่างด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและสุขภาพของช่องปากและฟันนอกจากนี้ การจัดฟันยังช่วยเพิ่มความสวยงามของฟัน ทำให้พูดหรือยิ้มได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น การมีฟันเก ฟันห่าง ฟันที่เรียงซ้อนกัน หรือฟันที่สบกันไม่พอดี อาจจะส่งผลให้มีปัญหาเกี่ยวกับขากรรไกรที่ส่งผลต่อการเคี้ยวอาหาร ทำให้ประสิทธิภาพในการเคี้ยวอาหารลดลง และยังเป็นอุปสรรคต่อการทำความสะอาด ส่งผลต่อสุขภาพของเหงือกและฟันตามมา ซึ่งสาเหตุของฟันที่สบกันไม่พอดีนี้อาจมาจากนิสัยบางอย่าง เช่น การชอบดูดนิ้วตอนเด็ก การถอนฟันแท้ในช่วงก่อนโตเป็นผู้ใหญ่ หรือเกิดจากพันธุกรรม ดังนั้น การจัดฟันจึงมีผลดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะเมื่อฟันเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ การทำความสะอาดจะง่ายขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุ และโรคเหงือก นอกจากนี้ ฟันที่สบกันสนิทจะทำให้เคี้ยวอาหารได้อย่างละเอียด ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับการพูดที่เกิดจากการสบของฟัน   ประเภทของการจัดฟัน แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ การจัดฟันแบบใช้เหล็กดัด กับการจัดฟันโดยไม่ใช้เหล็กดัด แต่จะใช้เป็นพลาสติกใสๆ ครอบไปที่ตัวฟันแทน โดยที่เราจะเปลี่ยนชิ้นพลาสติกนี้ไปเรื่อยๆ ฟันก็จะขยับไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องมีเหล็กดัดติดอยู่ที่ฟันของเรา การจัดฟันแบบนี้เรียกว่า การจัดฟันแบบใส Invisalign   ในส่วนของข้อจำกัด ของการจัดฟันแบบใส Invisalign นั้น แทบจะไม่มีข้อจำกัดเลย แต่จะมีข้อดี คือคนที่ใช้ Invisalign ไม่ต้องมีเหล็กติดอยู่ที่ตัวฟัน เพราะฉะนั้นจะไม่รู้สึกรำคาญ เวลาจะทานอาหารก็ถอดออกมาเก็บ แล้วก็ใช้ฟันปกติเคี้ยวอาหาร เวลาจะแปรงฟันก็ถอดเครื่องมือออกมา แล้วก็แปรงฟันตามปกติ ส่วนระยะเวลาในการจัดมักจะจัดเสร็จเร็วกว่าการจัดฟันแบบธรรมดา แต่จะมาพบทันตแพทย์ไม่บ่อยเท่าการจัดฟันแบบธรรมดา            การดัดฟันแบบ Invisalign เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะดูแลง่ายกว่าการดัดฟันแบบเหล็ก เหมาะกับคนทั่วไปและคนที่กลัวเจ็บ รำคาญ ระคายเคือง และบางอาชีพห้ามใส่เหล็กดัดฟัน เช่น พิธีกร แอร์โฮสเตสในบางสายการบินใส่ หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าดาราปัจจุบันจำนวนมากเลยดัดฟันด้วยวิธีนี้ การจัดฟันแบบนี้มีราคาจะค่อนข้างสูงกว่าธรรมดาประมาณ 1 เท่าตัว เนื่องจากเป็นอุปกรณ์นี้ต้องสิ่งผลิตมาเฉพาะบุคคลจากต่างประเทศ โดยผลิตตามการออกแบบของทันตแพทย์แต่ละท่าน การใส่ Invisalign ปกติต้องใส่ตลอดเวลา ยกเว้นเวลารับประทานอาหาร กับเวลาแปรงฟัน ตอนนอนเราก็ใส่ แต่ช่วงเวลาไหนที่ไม่สามารถใส่ได้เราก็ถอดได้ เช่น เล่นกีฬาก็ไม่ควรใส่ หรือดาราออกกล้องถ่ายอยู่ ช่วงนั้นก็ถอดออกได้ แต่ถ้าเวลาปกติใส่ให้มากที่สุด ระยะเวลาการรักษาก็แล้วแต่ละคน    โดยทั่วไปประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี   โดย ทพ.ณพงษ์ พัวพรพงษ์ ทันตแพทย์ สาขาจัดฟัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม