10 โรคแทรกซ้อนจากภัยบุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้า คืออะไร          บุหรี่ไฟฟ้า (Electronic Cigarette) เป็นอุปกรณ์สูบบุหรี่ชนิดหนึ่งที่ใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำ ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คือ แบตเตอรี่  ตัวทำให้เกิดควันและความร้อน (Atomizer) และน้ำยา โดยไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติทั่วไป และด้วยการสูบควันของบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดความเข้าใจว่ามีอันตรายต่อร่างกายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา   ควันจากบุหรี่ไฟฟ้า           ควันจากบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคติน เป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติดได้เช่นเดียวกันกับบุหรี่มวน สารนิโคตินนี้ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายน้อยลง ในบุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารมีพิษอื่น ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบของร่างกาย ทำให้เกิดอาการไอ ระคายเคืองปอด เพิ่มความเสี่ยงอาการหอบหืด ควันระเหยของบุหรี่ไฟฟ้ามีขนาดเล็กกว่าบุหรี่มวน  สามารถเข้าไปในปอดส่วนลึกมากกว่า ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็ว อีกทั้งขดลวดโลหะในอุปกรณ์สูบบุหรี่ไฟฟ้าสามารถปล่อยโลหะหนักออกมาได้ การสูบควันในระยะยาวอาจทำให้เกิดความผิดปกติของประสาทสัมผัสรับกลิ่น เมื่อการรับรู้กลิ่นลดลง ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจึงต้องเลือกน้ำยาที่มีรสชาติเข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจยิ่งสร้างความระคายเคือง ทำลายจมูก ปอด และทางเดินหายใจมากยิ่งขึ้น   ภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า            แม้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะไม่ถูกกฎหมายในปัจจุบัน แต่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยนักสูบหันมาใช้แทนบุหรี่แบบดั้งเดิม ด้วยความเชื่อเรื่องความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง นอกจากนี้ยังมีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มจำนวนขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก และเยาวชน ดังนั้นเพื่อหยุดผลกระทบในมิติต่าง ๆ จากบุหรี่ไฟฟ้า จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ไข ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันการบุกโจมตีของอุปกรณ์สูบยาประเภทนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัย พบรายงานโรคแทรกซ้อนจากบุหรี่ไฟฟ้าในระบบทางเดินหายใจ ร้อยละ 49, ระบบหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 13, ช่องปากและฟัน ร้อยละ 18, สมอง ร้อยละ 7,  ตับ ร้อยละ 2.9,  ผิวหนัง ร้อยละ 2.9 และระบบอื่น ๆ ร้อยละ 19            การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดถึง 1.8 เท่า และทำให้ปอดอักเสบ มีความเสี่ยงต่อโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 โรคหอบหืดเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 แถมยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองในเด็กและเยาวชนลดลงและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยยังไม่มีตัวเลขจำนวนของผู้ป่วยหรือเสียชีวิตจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่พบว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคปอดอักเสบจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2562              ทุกวันนี้ ยังคงมีการถกเถียงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าว่า แท้จริงแล้วเป็นตัวช่วยหรือตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับคนอยากเลิกสูบบุหรี่ได้จริงไหม?   บุหรี่ไฟฟ้ากับเยาวชน           บุหรี่ไฟฟ้าเข้าถึงเด็กและเยาวชนได้ง่ายขึ้นโดยผ่านทางโซเชียลมีเดีย “บุหรี่ไฟฟ้า” ในโซเชียลมีเดียมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ผู้จำหน่ายดึงดูดใจเยาวชนให้เข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้นด้วยภาพลักษณ์แปลกใหม่ทันสมัย รูปทรงสวย ขนาดเล็ก สามารถพกซ่อนติดตัวได้ง่าย และแตกต่างจากบุหรี่ทั่วไป มีการให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว ทั้งยังหาซื้อได้ง่าย จึงเข้าถึงเด็ก และเยาวชนมากขึ้นเรื่อยๆ ในเด็กและเยาวชนที่สมองยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ พิษของนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าจะส่งผลให้เด็กที่สูบมีอาการหงุดหงิดง่าย เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ความจำแย่ลง ปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้น และมีภาวะซึมเศร้า   กลิ่นและรสชาติ            บุหรี่ไฟฟ้าบุกจู่โจมกลุ่มนักสูบหน้าใหม่จากกลิ่นและรสชาติถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่บุหรี่ไฟฟ้าสามารถยั่วใจลูกค้าได้ โดยในตลาดบุหรี่ไฟฟ้ามีของเหลวปรุงแต่งรสประมาณ 20,000 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีซึ่งระเหยง่าย อาจเป็นสารเคมีที่ใช้กับอาหารทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีความปลอดภัยเมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกาย แต่อาจจะไม่ปลอดภัยเมื่อเปลี่ยนรูปแบบเป็นควันที่สูบหรือสูดเข้าไป การผสมสารปรุงแต่งรสชาติยังเป็นการอำพรางความไม่พึงประสงค์ของควันบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคติน โลหะหนัก ฟอร์มาลดีไฮด์ ฯลฯ ซึ่งทั้งฉุนและเป็นอันตราย สารปรุงแต่งรสทำให้สัญญาณเตือนภัยทางประสาทสัมผัส และปฏิกิริยาป้องกันของผู้ใช้ลดลง มีผลการวิจัยเผยให้เห็นว่า สารแต่งกลิ่นรสทำปฏิกิริยาผลิตสารระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ การสัมผัสเป็นเวลานานอาจทำให้ไอเรื้อรัง มีการอักเสบในทางเดินหายใจ และปอดถูกทำลายอย่างเฉียบพลัน   การใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่คนหนุ่มสาว เด็ก และเยาวชน ทำให้ต้องมีการจับตาเฝ้าระวัง รวมทั้งมีวิธีการแก้ไขและป้องกัน เพื่อลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ปกป้องเด็ก เยาวชน และคนหนุ่มสาวจากการติดนิโคตินไปตลอดชีวิต รวมทั้งปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะตามมา ทั้งนี้ทุกฝ่ายจะต้องทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน บุคลากรทางด้านสาธารณสุข องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ และรัฐบาล รวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาวะกรดไหลย้อนเข้าหลอดอาหารอย่างไรผิดปกติ ?

ภาวะกรดไหลย้อนเข้าหลอดอาหารอย่างไรผิดปกติ ?  โรคกรดไหลย้อนเข้าหลอดคอ คืออะไร (Gastroesophageal Reflux Disease : GERD)              ภาวะที่กรดในกระเพาะอาหาร  จะถูกหลั่งออกมาเพื่อการย่อยอาหาร  กรดในกระเพาะนั้นไม่มีการไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหารส่วนบน  แต่ในภาวะผิดปกติ  กรกนี้อาจไหลย้อนผ่านกล้ามเนื้อหูรูดส่วนบนของหลอดอาหาร  ซึ่งอาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ  และมีแผล (erosive esophagitis) หรือหลอดอาหารอักเสบโดยไม่เกิดแผล (non-erosive esophagitis)            นอกจากนี้  กรดนี้อาจไหลย้อนผ่านหลอดอาหารเข้าสู่หลอดคอและกล่องเสียง (Laryngopharyngeal reflux : LPR)  เกิดพยาธิสภาพต่าง ๆ เพราะเยื่อบุกล่องเสียง  และหลอดคอบอบบางทนสภาวะกรดได้ไม่ดี  รวมทั้งอาจก่อปัญหาด้านระบบการหายใจและปอด  ปัจจัยหรือพฤติกรรมบางอย่าง  เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการไหลย้อนกลับ  ของกรดหรือน้ำย่อยจากหลอดอาหารภาวะนี้เกิดได้ตลอดเวลา  และไม่ว่ากำลังรับประทานอาหารหรือไม่ก็ตามพบอาการนี้ได้ตั้งแต่ทารกจนถึงผู้ใหญ่   อาการทางคอและหลอดอาหาร ·       รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ ·       กลืนลำบาก  ติดขัด  คล้ายสะดุดสิ่งแปลกปลอมในคอ  หรือกลืนแล้วเจ็บ ·       เจ็บคอ  หรือแสบปาก  หรือเจ็บเรื้อรัง  โดยเฉพาะในตอนเช้า ·       รู้สึกมีเสมหะอยู่ในลำคอ  หรือระคายคอตลอดเวลา ·       เรอบ่อย  คลื่นไส้  คล้ายมีอาหาร  หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก  หรือคอ ·       อาการปวดแสบปวดร้อน  บริเวณหน้าอก  และลิ้นปี่ (Heartburn) บางครั้งร้าวไปถึงบริเวณคอ  และไหล่ ·       รู้สึกจุดแน่นในคอ  หรือหน้าอก  คล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) ·       มีกลิ่นปาก  เสียวฟัน  หรือมีฟันผุ อาการทางกล่องเสียงและปอด ·       เสียงแหบเรื้อรัง  หรือแหบเฉพาะตอนเช้า  มีเสียงผิดไปจากเดิม ·       ไอเรื้อรัง,  ไอ หรือรู้สึกสำลักน้ำลาย  หรือหายใจไม่ออกในเวลากลางคืน  จนอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึก ·       กระแอม  ไอบ่อย ๆ ·       อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่(ถ้ามี)  แย่ลง  หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา ·       เจ็บหน้าอก (non-cardiac chest pain) ·       เป็นโรคปอดอักเสบ  เป็น ๆ หาย ๆ           อาการที่กล่าวข้างต้น  อาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นตลอดให้ปรึกษาแพทย์  หู คอ จมูก  ซึ่งแพทย์จะตรวจทาง  หู  คอ  จมูก  เพื่อดูว่ามีความผิดปกติบริเวณกล่องเสียง  และคอหรือไม่  เพื่อแนะนำการรักษาและปฏิบัติตัวต่อไป ภาวะกรดไหลย้อนรักษาอย่างไร  ขึ้นอยู่กับอาการ  และสุขภาพของแต่ละคน  โดยทั่วไปหลักการรักษามี 3 ประการ 1.      ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  และงดเว้นอาหารบางอย่างเพื่อลดภาวะกรดไหลย้อน 2.      การใช้ยาลดกรดที่ถูกต้อง  มักจำเป็นต้องใช้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ร่วมกับปฏิบัติในข้อ 1. 3.      การผ่าตัดรัดหูรูดกระเพาะอาหาร  จำทำให้รายที่เป็นรุนแรง  และไม่ตอบสนองต่อยา   เทคนิคในการลดภาวะกรดไหลย้อน            การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการรักษา  เพื่อให้อาการหายขาด  และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค  โดยปฏิบัติดังนี้              หลีกเลี่ยงอาหาร  และเครื่องดื่ม  ได้แก่  ชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  อาหารทอด  อาหารรสจัด  อาหารมัน ๆ ช็อคโกแลต  ผักผลไม้บางชนิด  เช่น  ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว  สะระแหน่  หอมหัวใหญ่  ถั่ว  นม  (ดื่มนมพร่องมันเนยได้) ·       ระวังน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป ·       หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา  สูบบุหรี่  โดยเฉพาะช่วงเย็น ·       อย่านอนราบหลังจากเพิ่มรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ โดยเฉพาะใน 3 ชั่วโมงแรก ·       อย่าใส่เสื้อผ้าคับโดยเฉพาะบริเวณรอบเอว ·       หมุนหัวเตียงให้สูง  อย่างน้อย 6 นิ้ว ·       ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  อย่าเครียด ·       ทำจิตใจให้สบาย  แจ่มใส   ช่วงระยะเวลาของการรักษา              ส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องรักษาค่อนข้างต่อเนื่อง  ตั้งแต่ 6 อาทิตย์  ถึง  6 เดือน   บางคนอาการจะหายไปอย่างสิ้นเชิง  ซึ่งอาจหยุดยาได้หลายเดือน  หรือหลายปี   ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนนิสัยหรือสภาพแวดล้อม  พยาธิสภาพของแต่ละบุคคล  และต้องทำความเข้าใจด้วยว่า  โรคนี้อาจหายขาดไปเลย  หรืออาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก   ***ถ้าท่านมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นภาวะกรดไหลย้อนเข้าหลอดคอ  โปรดปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colorectal Cancer)           เป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้น และเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ปี พ.ศ.2542 พบมะเร็งลำไส้ใหญ่บ่อยเป็นอันดับสามในชายไทย (8.8 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน) รองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด เป็นอันดับที่ 5 ในหญิงไทย (7.6 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน) โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป และพบว่าหนึ่งในสามของผู้ป่วยมะเร็งนี้จะมีประวัติมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว ปัจจุบันมีการศึกษาด้านชีวภาพของโรคนี้มากขึ้น ทำให้เข้าใจถึงพยาธิกำเนิดนำไปสู่แนวทางการป้องกันโดยการตรวจคัดกรอง (Screening) ทำให้วินิจฉัยมะเร็งนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่มะเร็งลำไส้ใหญ่จะลุกลาม ส่งผลให้เพิ่มอัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น มีการตรวจหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ได้แก่ การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test : FOBT)           เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลาย จากข้อมูลทางยุโรปและสหรัฐ พบว่าร้อยละ 1-2.6 ของผู้ที่ให้ผลบวกของ FOBT มีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ข้อจำกัดของวิธีนี้คือ ความไวต่ำและมีผลบวกลวงสูง โดยเฉพาะผู้ที่ชอบบริโภคเนื้อแดง หรือผักจำพวกหัวผักกาด กระหล่ำดอก บล็อกโคลี หัวไชเท้า แคนตาลูป ฯลฯ ซึ่งผู้ตรวจควรงดรับประทานอาหารดังกล่าว 3 วัน ก่อนเก็บตัวอย่างอุจจาระ มาตรวจ และอาจต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระมาตรวจซ้ำ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ซึ่งผู้คัดกรอง หลายท่านไม่สะดวกและรู้สึกยากลำบากในการเก็บตัวอย่างมาตรวจนั่นเอง การตรวจลำไส้ใหญ่โดยการสวนแป้งและเอกซเรย์ (Double (air) Contrast Barium Enema : DCBE)           เป็นทางเลือกหนึ่งในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอดีต โดยใช้แป้งแบเรียมสวนเข้าทางทวารหนัก ประสิทธิภาพในการตรวจนี้ไม่ชัดเจน ความไวในการตรวจน้อยกว่าการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ถ้าติ่งเนื้องอกขนาดเล็กกว่า 1 ซม. ข้อจำกัดอีกอย่างคือ ผู้รับการตรวจอาจไม่สามารถทนการตรวจได้ เพราะต้องอัดแป้งเข้าไปประกอบกับต้องกลั้นทวารหนัก พลิกตะแคงไปมาและยังต้องการรังสีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ความชำนาญในการอ่านผลเป็นอย่างดี การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscope)           เป็นวิธีที่มี Cost Effective สูงสุดในปัจจุบัน สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ จึงเป็นที่แนะนำของสมาคมแพทย์ต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากจะเห็นเนื้องอกชัดเจนแล้วยังสามารถนำติ่งเนื้องอกออกได้โดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตามวิธีนี้จัดว่ามีภาวะแทรกซ้อนได้ร้อยละ 0.03-0.72 มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้รับการตรวจต้องอดอาหารและเตรียมลำไส้ใหญ่ให้โล่งว่าง ทั้งยังต้องการแพทย์ผู้ชำนาญในการส่องกล้องตรวจเพื่อความแม่นยำและลดภาวะแทรกซ้อนในการตรวจ การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography)           เป็นการนำ Helical CT ซึ่งมีความละเอียดสูง มาประกอบภาพ 3 มิติของลำไส้ใหญ่ ข้อดีคือ ทำให้เร็วและปลอดภัย เห็นภาพได้ตลอดความยาวลำไส้ใหญ่และมองเห็นผิวนอก ต่อมน้ำเหลืองรอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างคือ ความไวและความจำเพาะไม่มาก ทั้งยังต้องเตรียมและต้องเป่าลมเข้าลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้ยังมีไม่มากและไม่สามารถเบิกจ่ายค่าตรวจจากระบบประกันสุขภาพได้ การรวจหาดีเอนเอ (Fecal DNA Testing)           มีความไวในการคัดกรองหามะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าการตรวจ FOBT ถึง 4 เท่า แต่มีความไว ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ การตรวจนี้อาจเป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็น เครื่องมือในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต                                         ด้วยความปรารถนาดีจาก                                 ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ซอยจุ๊ เนื้อดิบ กับพยาธิตัวตืด

ซอยจุ๊ เนื้อดิบกับพยาธิตัวตืด พยาธิตัวตืด             มีลักษณะตัวแบน สีขาวขุ่น ลำตัวเป็นปล้อง ยาวหลายเมตร มีอายุนานถึง 30 ปี มักจะพบ 2 ชนิด คือ พยาธิตืดวัว (Taenia Saginata) และพยาธิตืดหมู (Taenia Solium) อาศัยอยู่ในกล้ามเนื้อหมู วัว และควาย เข้าสู่ร่างกายผ่านน้ำดื่มหรือที่เจือปนไข่หรือตัวอ่อน รวมทั้งอาหารที่ปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ จากนั้นตัวอ่อนจะฝังตัวเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในลำไส้จนทำให้เกิดโรคได้ โดยมันสามารถเคลื่อนออกจากลำไส้ แล้วสร้างถุงน้ำหุ้มกลายเป็นระยะตัวอ่อนเม็ดสาคูที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง ตา หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ   อาการเมื่อได้รับพยาธิ          • หากอยู่ใน "สมอง/ไขสันหลัง" อาจทำให้มีอาการทางระบบประสาท ชัก รุนแรงถึงตาย          • หากอยู่ใน “ตา” อาจตาบอดได้          • บางรายมีไข้ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องเสีย ขาดสารอาหาร น้ำหนักลดลง เกิดอาการแพ้ ติดเชื้อแบคทีเรีย ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว   ประเภทยาถ่ายพยาธิ           อัลเบนดาโซล (Albendazole) มีฤทธิ์ต่อพยาธิตัวกลมและตัวตืด รวมทั้งพยาธิใบไม้ในตับหลายชนิด ผลข้างเคียง ปวดเวียนศีรษะ ปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือแพ้ยา ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร   การป้องกัน ล้างมือก่อนหรือหลังรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบ หรือหรือสุกๆดิบๆ รวมถึงการล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนบริโภค  เลือกซื้ออาหารที่สดใหม่สะอาด  งดการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีตัวอ่อนพยาธิซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดสาคูปนเปื้อน ไม่กินของที่ตกบนพื้นแล้ว 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

8 วิธี กินทุเรียนให้ปลอดภัย ไม่ทำร้ายสุขภาพ

8 วิธี กินทุเรียนให้ปลอดภัย ไม่ทำร้ายสุขภาพ ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต หากต้องการกินทุเรียนให้ได้รับประโยชน์และคุณค่าทางสารอาหารที่เหมาะสม ไม่ควรกินทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ดขนาดกลาง (หนักประมาณ 80 กรัม) ไม่กินถี่ทุกวัน และลดอาหารกลุ่มข้าว-แป้ง 1 ทัพพี และของหวานในมื้อที่กินทุเรียน แต่ถ้าใครชอบกินทุเรียนมาก หากกินครั้งละประมาณ 2-3 พู หรือ 4-6 เม็ด ร่างกายจะรับพลังงานสูงถึง 520 – 780 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบเท่ากับกินอาหารมื้อหลัก 2 มื้อ ทุเรียนแต่ละพันธุ์เมื่อเปรียบเทียบต่อปริมาณเนื้อทุเรียนหนัก 100 กรัมหรือ 1 ขีด จะให้พลังงานต่างกัน เช่น ทุเรียนก้านยาวให้พลังงาน 181 กิโลแคลอรี ทุเรียนรวง ให้พลังงาน 157 กิโลแคลอรี ทุเรียนหมอนทอง ให้พลังงาน 156 กิโลแคลอรี ทุเรียนชะนี ให้พลังงาน 139 กิโลแคลอรี ทุเรียนกระดุมให้พลังงาน  129 กิโลแคลอรี หรือหากเป็นทุเรียนกวนจะให้พลังงานมากขึ้นไปอีก คือ 340 กิโลแคลอรี นอกจากนี้ จึงควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน                 8 วิธี กินทุเรียนให้ปลอดภัย มีดังนี้ 1. รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรเกินวันละ 1 พู หรือ 2 เม็ด เพราะอาจส่งผลให้เกิดร้อนใน เจ็บคอ น้ำหนักขึ้นได้ 2. รับประทานทุเรียนสด ควรเลือกทุเรียนที่ไม่สุกงอมจนเกินไป เพราะยิ่งสุกมากจะหวานจัด แป้งและน้ำตาลจะเยอะ 3. ควรรับประทานทุเรียนในตอนเช้าหรือกลางวัน เลี่ยงการกินทุเรียนก่อนนอน ใกล้จะนอนแล้วร่างกายของเราก็จะไม่ได้ใช้พลังงานมากเท่าไหร่ หากเรากินทุเรียนซึ่งเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่สูงก็จะยิ่งเป็นการทำให้เกิดไขมันสะสมในร่างกายได้ เนื่องจากร่างกายเผาผลาญพลังงานไม่หมด ดังนั้นเพื่อเป็นการเลี่ยงไม่ให้ร่างกายต้องรับพลังงานมากเกินไปในช่วงเย็น ก็ให้เรากินทุเรียนในช่วงเช้าและกลางวันแทน เพื่อที่ร่างกายจะได้เบิร์นพลังงานออกไปทัน และหากรับประทานทุเรียน ควรลดปริมาณอาหารประเภทแป้ง น้ำตาลในมื้ออื่น ๆ 4. ไม่รับประทานคู่กับอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ข้าวเหนียวราดน้ำกะทิ เพราะจะยิ่งเพิ่มแคลอรี่ 5. ไม่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ หรือน้ำอัดลม เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานสูงเช่นเดียวกัน เมื่อกินทุเรียนร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายจะได้รับพลังงานที่มากเกินไป ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดกระบวนการ เผาผลาญเพื่อกำจัดของเสียเพิ่มมากขึ้น 6. ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ จะช่วยแก้ร้อนในหลังจากกินทุเรียนได้ หรือรับประทานทุเรียนคู่กับมังคุดช่วยลดความร้อนได้ 7. ออกกำลังกาย เมื่อเรารู้ว่าการกินทุเรียนนั้นจะทำให้เราอ้วนได้ง่าย ดังนั้นเมื่อกินเสร็จแล้วก็ควรจะต้องหาเวลาออกกำลังกาย เพื่อเป็นการช่วยให้ร่างกายได้เบิร์นพลังงานออกมา ไม่เหลือเก็บไว้เป็นไขมันสะสม ซึ่งหากทำร่วมกับการกินแบบจำกัดปริมาณ ก็จะช่วยให้เรายังสามารถควบคุมน้ำหนักอยู่ได้ในช่วงหน้าทุเรียนแบบนี้ 8. หากมีโรคประจำตัวควรกินให้น้อยที่สุด คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกิน แนะนำให้กินไม่เกิน 1 เม็ดเล็กต่อวัน หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อน   “สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังเรื่องการกินทุเรียนมากกว่าคนทั่วไป อาจกินได้แต่ต้องกินในปริมาณน้อยกว่าคนปกติและไม่บ่อยเกินไป เพราะการกินทุเรียนปริมาณมากหรือกินทุเรียนบ่อยเกินไป จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้ นอกจากนี้ กรดกำมะถันในทุเรียนจะทำให้เอนไซม์ที่กำจัดสารพิษจากกระบวนการเผาผลาญลดลง หากมีปัญหาสุขภาพหรือโรคประจำตัวอาจทำให้เกิดอาการหน้าแดง ชา วิงเวียนและอาเจียน หากนำส่งโรงพยาบาลไม่ทันอาจเสียชีวิตได้”   ข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 1.น้ำนมแม่        - เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบ สร้างมาโดยเฉพาะสำหรับลูกของคุณ        - ย่อยและดูดซึมง่าย        - ช่วยให้ลูกมีภูมิต้านทานโรค        - ช่วยสร้างเสริมความผูกพันธ์ระหว่างแม่-ลูก 2.ทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่        - ลดปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ และโรคอ้วน        - ไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับ การขับถ่าย หรือการย่อย เช่น ท้องเสีย ท้องผูก ท้องอืด        - มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่สมบูรณ์ 3.ควรจะให้ลูกดูดนมให้เร็วที่สุดครั้งแรก       - น้ำนมช่วงแรกจะเป็นสีเหลือง มีประโยชน์มากในการป้องกันการติดเชื้อ      - ให้ลูกดูดนมบ่อยๆเป็นการกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็วและปริมาณเพิ่มขึ้น พอกับความต้องการ ควรให้ลูกดูดนมทั้ง 2 เต้า ในการให้นมแต่ละครั้ง การอุ้มลูกให้ถูกท่า และการให้ลูกอมหัวนมได้ถูกต้องเป้นสิ่งสำคัญมาก ให้ลูกดูดนมแม่นานที่สุดเท่าที่ลูกต้องการ ให้ลูกดูดนมจากเต้าที่ยังค้างอยู่เสมอ อย่ากังวลถ้ารู้สึกเจ็บหัวนมใน 2-3 วันแรก ในไม่ช้าก็จะหายไปเอง ควรไล่ลมให้ลูกระหว่างการให้นม และหลังให้นมลูกทุกครั้ง     4.ท่าในการให้ลูกดูดนมแม่       - อุ้มลูกให้หันเข้าหาเต้านม       - ให้หัวนมแตะที่ริมฝีปากล่างของลูกเบาๆ เด็กจะอ้าปากกว้างให้ปากเด็กอมทุกส่วนของหัวนม และส่วนที่มีสีน้ำตาลรอบๆหัวนม       - ประคองศีรษะลูกให้ชิดหน้าอกแม่       - ดึงเอาก้นลูกชิดกับแม่ ลูกจะสามารถหายใจได้สะดวกเพราะจมูกของลูกแหงนขึ้น       - ควรจะให้ลูกหยุดดูดนมก่อน แล้วจึงเอาหัวนมออกจากปากลูก       - สอดนิ้วก้อยเข้าไปที่มุมปากลูก จะอ้าปากกว้างก็ดึงหัวนมออก เพื่อป้องกันไม่ให้หัวนมแตก 5.อาหาร      - อาหารหลัก 5 หมู่ อาหารที่ควรงด งดอาหารหมักดอง ยาดองเหล้า ยาขับน้ำคาวปลา งดอาหารที่มีกลิ่นฉุน พวกผักกระถิน ผักกระเฉด ชะอม น้ำพริกต่างๆ 6.ประโยชน์ต่อแม่       - ลดอัตราเสี่ยงต่อการตกเลือด       - ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว       - รูปร่างของแม่กลับสู่สภาพเดิมได้เร็ว       - ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของเต้านม   ประโยชน์ต่อลูก ได้สารอาหารครบถ้วน ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย ย่อยง่าย ดูดซึมง่าย มีภูมิคุ้มกันโรค ลดปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน ทำอย่างไรจึงจะมีน้ำนมเพียงพอ แม่พร้อมและเต็มใจให้ลูกดูดนมทันที ให้ลูกดูดนมบ่อยๆ ถ้าลูกหลับนานเกิน 3 ชั่วโมง ควรปลุกให้ลูกดูดทั้ง 2 เต้า และดูดอย่างถูกวิธี ควรให้ลูกดูดนมจากเต้านมแม่โดยตรง ให้ลูกดูดนมแม่อย่างเดียว ไม่ให้น้ำนมผสมถึงอายุ 4-6 เดือน คุณแม่ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่   ดื่มน้ำมากๆ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และไม่น้อยกว่าตอนตั้งครรภ์ ให้ลูกดูดนมบ่อยๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ในระยะแรก ลูกยิ่งดูดบ่อยน้ำนมจะมามาก ให้ลูกดูดนมทั้ง 2 ข้าง ในแต่ละครั้ง ให้นมผสมแก่ลูกเท่าที่จำเป็น เพราะจะทำให้ลูกดูดนมแม่น้อยลง จำไว้ว่า ถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อม 6-8 ครั้งต่อวัน แสดงว่าลูกได้น้ำนมแม่เพียงพอ   7.การบีบน้ำนมด้วยมือ      - วางนิ้วมือและหัวแม่มือ ดังรูป      - นิ้วมือควรจะวางหลังลานหัวนม ส่วนที่เป็นสีน้ำตาล      - กดลงบนเต้านมเบาๆ รีดไปข้างหน้า แล้วปล่อยมือ ทำอย่างนี้หลายๆครั้ง จนกว่าน้ำนมจะไหล      - บีบน้ำนมใส่ในภาชนะที่สะอาด     - เปลี่ยนบริเวณที่บีบเต้านมไปเรื่อยๆ จนรอบเต้านม     - เก็บน้ำนมลงในขวดที่สะอาด และเก็บไว้ในตู้เย็นได้ 24 ชั่วโมง ถ้าเก็บไว้ในห้องทำน้ำแข็ง เก็บได้นาน 2 สัปดาห์   8.ควรจะให้ลูกดูดนมจากขวดหรือไม่ เวลาออกนอกบ้าน      ในระยะแรกควรจะหลีกเลี่ยงการให้นมผสม ถ้าจำเป็นต้องให้รอจนกว่าลูกจะรู้วิธีการดูดนมจากแม่ก่อน อาจต้องใช้เวลา 2-3 อาทิตย์ ถ้าคุณจำเป็นต้องห่างจากลูก ให้บีบน้ำนมไว้ให้ลูก วิธีนี้จะทำให้เด็กได้มีน้ำนมทาน ควรป้อนด้วยช้อนหรือถ้วยป้อนนม มากกว่าการใช้ขวดนมเพราะลูกอาจสับสนระหว่างนมแม่และจุกนมยาง และไม่ยอมดูดนมแม่อีกได้   หลักสำคัญในการกระตุ้นให้มีน้ำนม ดูดเร็ว ดูดบ่อย ดูดอย่างถูกวิธี สาเหตุที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทารกเกิดความสับสนระหว่างการดูดนมแม่ และการดูดนมจากขวด ป้อนนมผงมากเกินไป (กลัวลูกไม่อิ่ม) ไม่เข้าใจธรรมชาติของทารก และการสร้างนม   ด้วยความปรารถนาดีจากโรงพยาบาลวิภาวดี  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังคลอด

คำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังคลอด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอด หน้าท้อง หลังคลอดใหม่ๆ หน้าท้องจะยังไม่ยุบลงทันที และมีริ้วรอยการแตก เนื่องจากกล้ามเนื้อยืดขยายขณะตั้งครรภ์ การบริหารร่างกายหลังคลอดจะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่หย่อนยานกระชับขึ้น และช่วยละลายไขมันส่วนเกินออกไป สำหรับมารดาที่คลอดธรรมชาติสามารถเริ่มการบริหารตามท่าที่แนะนำได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 หลังคลอด ส่วนมารดาที่คลอดโดยการผ่าตัด สามารถเริ่มการบริหารได้ในสัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 หลังผ่าตัด เมื่ออาการเจ็บแผลทุเลาลงแล้ว เต้านม จะรู้สึกคัดตึงประมาณวันที่ 3-4 หลังคลอดในครรภ์แรก ส่วนครรภ์หลังจะรู้สึกคัดเต้านมเร็วกว่า ประมาณวันที่ 2-3 หลังคลอด มารดาบางรายอาจปวดคัดเต้านมมากจนมีไข้ต่ำๆ หนาวสั่นได้ สามารถให้ลูกดูดนมได้ตามปกติ และรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลบรรเทาอาการปวดได้ อาการปวดมดลูก มารดาหลังคลอดจะมีอาการปวดมดลูกในระยะ 2-3 วันแรก เนื่องจากการหดรัดตัวของมดลูก เพื่อขับน้ำคาวปลา มักมีอาการปวดเป็นพักๆ โดยเฉพาะในขณะที่ลูกดูดนม ในครรภ์หลังจะพบว่ามีอาการปวดมากกว่าครรภ์แรก น้ำคาวปลา ตามปกติจะมีประมาณ 4-6 สัปดาห์หลังคลอด ระยะ 3-4 วันแรก จะมีสีแดงคล้ายเลือดประจำเดือน ปริมาณจะค่อยๆลดลง และมีสีจางเป็นสีเหลืองขุ่นและจะค่อยๆหมดไป ระยะหลังคลอดและให้นมบุตร อาจมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ บางรายอาจขาดประจำเดือนไปหลายเดือนตลอดระยะเวลาที่ให้นมบุตร การดูแลสุขภาพทั่วไป อาหาร มารดาหลังคลอดควรได้รับอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและช่วยให้น้ำนมมีคุณภาพดี อาหารจำพวกนม ไข่ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ควรรับประทานปริมาณเท่ากับขณะตั้งครรภ์ ส่วนข้าว แป้ง น้ำตาล ไขมัน ควรรับประทานพอสมควรไม่มากจนเกินไป อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ของหมักดอง อาหารรสจัด เพราะอาหารเหล่านี้จะขับออกมากับน้ำนม ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายกับทารกได้ การขับถ่าย ระยะหลังคลอดใหม่ๆอาจมีปัญหาท้องผูก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และความรู้สึกกลัวเจ็บแผลบริเวณฝีเย็บ จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยจำพวกผักผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และบริหารร่างกายอย่างถูกต้อง (ตามคำแนะนำเรื่องการบริหารร่างกายหลังคลอด) การทำความสะอาดร่างกาย สามารถอาบน้ำ สระผมได้ตามปกติโดยการตักอาบหรือใช้ฝักบัว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำแบบแช่ (ในอ่าง อาบน้ำหรือแม่น้ำลำคลอง) เนื่องจากในระยะนี้ ปากมดลูกปิดไม่สนิท อาจมีการลุกลามของเชื้อโรคภายในช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูกและทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ สำหรับมารดาที่คลอดด้วยการผ่าตัด ควรใช้วิธีเช็ดตัว ถ้าแพทย์เปลี่ยนผ้าปิดแผลเป็นแบบพลาสเตอร์กันน้ำ สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ควรสังเกตว่าพลาสเตอร์มีการลอกหรือมีน้ำซึมเข้าแผลผ่าตัดหรือไม่ การใช้ผ้ารัดหน้าท้อง ในเวลากลางวันควรใช้ผ้ารัดหน้าท้องไว้ ขณะเดินแผลจะได้ไม่เคลื่อนไหว เพื่อลดอาการเจ็บแผล ส่วนกลางคืนเวลานอนควรถอดซักทำความสะอาดไม่ต้องใช้ผ้ารัดหน้าท้อง แผลฝีเย็บ จะรู้สึกเจ็บตึงใน 3-4 วันแรก อาการเจ็บจะค่อยๆทุเลาลงแผลจะหายสนิทภายใน 7-10 วัน ไม่ต้องตัดไหม หลังการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระทุกครั้งควรทำความสะอาดด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด การทำความสะอาดควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง ไม่ย้อนจากด้านหลังมาด้านหน้า เพราะจะนำเชื้อโรคจากทวารหนักมาสู่แผลบริเวณช่องคลอด การพักผ่อน           มารดาควรพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันควรได้หลับพักผ่อนบ้างขณะทารกหลับ ถ้าไม่หาโอกาสพักผ่อนมารดาจะอ่อนเพลียมากขึ้น การปฏิบัติตัวของมารดาที่เป็นริดสีดวง          ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก อาจประคบด้วยถุงน้ำแข็งเพื่อลดความเจ็บปวด และป้องกันไม่ให้ท้องผูก โดยดื่มน้ำและรับประทานผัก ผลไม้มากๆ หรืออาจใช้เส้นใยอาหารเสริมจากธรรมชาติในโอกาสที่ต้องเดินทาง เพื่อความสะดวกและสะอาดปลอดภัย ถ้าปวดมากอาจใช้ครีม หรือยาเหน็บตามแพทย์สั่ง การปฏิบัติตัวของมารดาขณะท้องผูก         อาจใช้ยาถ่ายตามแพทย์สั่ง (ควรงดให้นมบุตรระหว่างใช้ยาทุกชนิด) หรืออาจให้ดื่มน้ำ รับประทานผัก และผลไม้มากๆ การมีเพศสัมพันธ์        ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในระยะ 4-6 สัปดาห์หลังคลอด เพราะปากมดลูกยังไม่ปิด จะมีโอกาสติเชื้อได้ง่าย การคุมกำเนิด       การคุมกำเนิดมีหลายวิธี เช่น ยาเม็ด ยาฉีด ห่วงอนามัย ถุงยางอนามัย ยาฝังใต้ผิวหนัง การทำหมันหญิงและชาย สามีภรรยาควรจะได้ปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาลที่ทำหน้าที่นี้ เพราะยาคุมกำเนิดจะไม่ใช้กับผู้ป่วยโรคตับ หัวใจ ความดันโลหิตสูง และห่วงอนามัยจะไม่ใช้กับสตรีที่มีการอักเสบของช่องคลอด และโพรงมดลูก ถ้าสามีทำหมันต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นหลังทำหมัน 3 เดือน หรือได้รับการตรวจน้ำเชื้อว่าเป็นหมันแน่นอนแล้ว   อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ มีเลือดออกมากผิดปกติ ทางช่องคลอด ปวดท้องมาก ปวดจนบิด มีไข้ หนาวสั่น อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 38 องศาเซลเซียส ปัสสาวะกะปริบกะปรอย หรือแสบขัด แผลผ่าตัดบวมแดงมีหนอง แผลฝีเย็บบวมแดง มีหนองหรือเลือดไหลออกจากแผลฝีเย็บ น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น มีสีแดงตลอดภายใน 15 วัน หลังคลอด มีก้อนที่เต้านมหรือเต้านมบวมแดง บริหาร 10 ท่วงท่า...รักษารูปร่างสวย       ก่อนเริ่มบริหาร ขอแนะนำให้คุณแม่ที่คลอดเอง เริ่มบริหารร่างกายหลังจากคลอดได้ 2-3 วัน ส่วนคุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัดควรรอจนครบ 1 เดือนก่อนแล้วจึงค่อยเริ่มบริหารจะดีกว่า แต่เริ่มทำช้าก็ได้ผลช้า เพราะฉะนั้นเริ่มเร็วก็สวยเร็วขึ้นด้วย ท่าที่ 1 บริหารหน้าอก ไหล่ หลัง ลำคอ และลดหน้าท้อง      นอนหงายแขนแนบข้างลำตัว ค่อยๆยกศีรษะขึ้นจากพื้นช้าๆจนคางจรดหน้าอก นับหนึ่ง สอง สาม ขณะที่ยกศีรษะขึ้น แขน ขา และลำตัวต้องเหยียดตรงแล้วค่อยๆ วางศีรษะลงช้าๆ ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง หากคุณแม่มีหน้าท้องหย่อนมาก ให้ใช้มือทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่หน้าท้องกดกล้ามเนื้อลงเมื่อยกศีรษะขึ้น กล้ามเนื้อหน้าท้องจะตึง แล้วพยายามใช้มือกดไว้จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งแยกจากกันสองข้างกลับเข้ามาชิดกันได้ดียิ่งขึ้น ท่าที่ 2 บริหารขา ต้นขา  หน้าท้อง และสะโพก      นอนหงายราบแขนแนบข้างลำตัว ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น ทำเป็นมุมฉากให้เข่าทั้งสองชิดกันวางเท้าให้ราบและห่างกันพอสมควร ยกสะโพกขึ้นโดยใช้ไหล่ยันพื้นไว้ ขณะเดียวกันพยายามหนีบกล้ามเนื้อสะโพก จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บหดตัวดีขึ้น ท่าที่ 3 บริหารหน้าท้อง สะโพก อก และช่วยขับน้ำคาวปลา     นอนคว่ำและยกก้นขึ้นมาให้เข่าใกล้หน้าอกมากที่สุด จนเป็นท่าโก้งโค้ง เข่าทั้งสองห่างกันประมาณ 1 ฟุต หน้าอกจะต้องวางแนบกับพื้น พักอยู่ในท่านี้ประมาณ 2 นาที แล้วใช้หมอนรองบริเวณหน้าท้อง 1 ใบ เพื่อลดความเมื่อยล้า และนอนพักในท่านี้ประมาณครึ่งชั่วโมง ท่าที่ 4 บริหารกล้ามเนื้อทั่วตัว     คุกเข่า ต้นขา เข่า และเท้าชิดกับข้อศอก เอาฝ่ามือยันพื้นเหมือนท่าคลานแล้วค่อยๆลดข้อศอกลงวางราบกับพื้น ก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก แขม่วท้อง เกร็งกล้ามเนื้อสะโพกและขา แล้วค่อยๆลดสะโพกลงแตะกับส้นเท้า ถอยหลังออกเล็กน้อย หน้าผากแตะพื้น ตอนนี้แขนจะเหยียดตรง แล้วยกลำตัวขึ้นกลับไปอยู่ในท่าเดิมมดลูกจะกลับคืนสู่ปกติได้เร็วยิ่งขึ้น ท่าที่ 5 บริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด     คือ การขมิบช่องคลอดหรือทวารหนักในขณะที่นอนหรือนั่ง เหมือนกำลังถ่ายปัสสาวะแล้วหดทันที ควรทำครั้งละประมาณ 5-10 นาที หรืออาจขมิบประมาณวันละ 20 ครั้ง ขณะกำลังทำงานบ้านหรือเลี้ยงลูกอยู่ก็ทำได้ทั้งนั้น ท่าที่ 6 บริหารหน้าอก หน้าท้อง และปอด     นอนหงาย เหยียดแขนขา ให้ตรงตามลำตัว สูดลมหายใจให้เต็มที่ช้าๆ นับหนึ่ง สอง สาม และแขม่วท้องไว้สักครู่ พยายามให้บั้นเอวติดพื้นแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พักสักครู่ก่อนแล้วค่อยทำต่อไปประมาณ 10 ครั้ง ท่าที่ 7 บริหารแขน หน้าอก และปอด     นอนหงายเหยียดตรงแขนแนบข้างลำตัว ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นในท่าเหยียดตรงชูขึ้นให้ตั้งฉากกับลำตัวจนมือทั้งสองจับกันได้ หลังจากนั้นค่อยๆ ปล่อยแขนลงช้าๆ จนกลับมาแนบลำตัวตามเดิม ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง ท่าที่ 8 บริหารขา สะโพก และหน้าท้อง    นอนหงายราบกับพื้น วางแขนแนบข้างลำตัว ยกขาขึ้นให้ตั้งฉากกับลำตัว พร้อมทั้งเหยียดขาให้ตรงสักครู่ แล้วลดขาลงที่เดิมช้าๆ ทำสลับกันทีละข้าง ทำประมาณ 10 ครั้ง เมื่อแข็งแรงดีแล้วค่อยลองยกขาพร้อมกันทั้งสองข้าง ท่าที่ 9 บริหารหน้าท้อง ไหล่ หลัง และลำคอ    นอนหงายลำตัวเหยียดตรง แขนวางแนบข้างลำตัว ยกตัวลุกขึ้นนั่งโดยงอเข่าและไม่ใช้แขนช่วยเลย ยกแขนขึ้นให้ขนานกับพื้นราบด้วย จากนั้นค่อยๆ นอนลงทำวันละ 1-2 ครั้ง ในครั้งแรก เมื่อแข็งแรงขึ้นค่อยๆ เพิ่มอีกวันละ 1 ครั้ง และแขนอาจจะเปลี่ยนที่ได้ 3 ท่า คือ วางแขนแนบข้างลำตัว ประสานมือทั้งสองข้างบนหน้าอกและประสานมือไว้ที่ท้ายทอย ท่าที่ 10 บริหารหน้าท้อง สะโพก และ ขา    นอนหงายราบ แขนเหยียดตรง งอเข่าขึ้นให้ชิดหน้าท้องมากที่สุด ให้ส้นเท้าสัมผัสกับก้น แล้วเหยียดขาให้ตรงค่อยๆ วางขาลงในท่าเดิม นับหนึ่ง สอง สาม โดยไม่งอเข่าเลย ทำสลับกันทีละข้าง โดยเริ่มจากทำทีละน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีก 1-2 ครั้งทุกวัน   วัคซีนสำหรับลูกน้อย คนสำคัญสำหรับคุณ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับลูกน้อยของคุณ     ในภาวะปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายของคุณพ่อคุณแม่คนใหม่ย่อมมีมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีบุตร รพ.วิภาวดี จึงขอมีส่วนช่วยในเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเสนอ Package ฉีดวัคซีนสำหรับลูกน้อยคนใหม่ของคุณ เพื่อที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ทราบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้เลย อายุ การฉีดให้วัคซีนแบบที่ 1 (Baby 1) การฉีดให้วัคซีนแบบที่ 2 (Baby 2) การฉีดให้วัคซีนแบบที่ 3 (Baby 3) 1 เดือน ตับอักเสบบี, ยาลดไข้ ตับอักเสบบี, ยาลดไข้ ตับอักเสบบี, ยาลดไข้ 2 เดือน วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB) วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB), ป้องกันไวรัสโรต้า วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB), ไวรัสโรต้า, ป้องกันโรค ipd 4 เดือน วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB) วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB), ป้องกันไวรัสโรต้า วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB), ไวรัสโรต้า, ป้องกันโรค ipd 6 เดือน วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB) ตับอักเสบบี วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB) ตับอักเสบบี วัคซีน 5 โรค (คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, โปลิโอ, HIB) ตับอักเสบบี, ป้องกันโรค ipd 9 เดือน หัด, หัดเยอรมัน, คางทูม หัด, หัดเยอรมัน, คางทูม หัด, หัดเยอรมัน, คางทูม 1 ปี ไข้สมองอักเสบ (2 does) ไข้สมองอักเสบ (2 does) ไข้สมองอักเสบ (2 does) ป้องกันโรค ipd   สอบถามรายละเอียดได้ที่ แผนกกุมารเวช โทร 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 ต่อ 4220-21   ศูนย์หัตถเวช โรงพยาบาลวิภาวดี ขอเสนอบริการ ฟื้นฟูมารดาหลังคลอด 1 คอร์ส/3วัน พร้อมบริการด้านอื่นๆ รายการ -นวดเท้าแช่สมุนไพร -นวดตัว , กดจุด -นวดหน้า -นวดประคบสมุนไพร -นวดน้ำมัน (รีดเส้น) -สุวคนบำบัด (อโรมา) -นวดศีรษะคลายเครียด -อบสมุนไพรสด (ตู้ไม้) -อบสมุนไพรสด (ตู้ผ้า) สอบถามรายละเอียดและนัดหมายได้ที่ : ศูนย์หัตถเวช รพ.วิภาวดี โทร 02-561-1111 ต่อ 2928,2929    

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เทคนิคการนวดเต้านม

เทคนิคการนวดเต้านม นวดเพื่อเพิ่มน้ำนม        การนวดเต้านม เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม โดยการกระตุ้นท่อน้ำนมในต่อมน้ำนม วิธีเตรียมตัว       ง่ายๆก่อนการนวด คือล้างมือให้สะอาดใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเต้านมก่อนประมาณ 1-3 นาที แล้วจึงนวดคลึงเต้านมอย่างนุ่มนวลเพื่อเรียกน้ำนมตามท่าต่างๆ น้ำนมแม่เพิ่มได้ใน 6 ขั้นตอน ผีเสื้อขยับปีก (Butterfly stroke) วางมือที่เต้านมด้านในนิ้วชิดกัน นวดจากเต้าด้านในออกไปด้านนอกในลักษณะหมุนวน หมุนวนปลายนิ้ว (Fingertip circles) ใช้อุ้งมือนึงรองเต้านมส่วนปลายนิ้วทั้ง 4 ของอีกมือวางเหนือลานนม แล้วนวดหมุนไปรอบๆทำซ้ำ 5 รอบ ประกายเพชร (Diamond stroke) ใช้ฝ่ามือวางทาบลงเต้านม จากนั้นบีบมือทั้ง 2 เข้าหากันพร้อมๆกับเลื่อนมือลงไปที่ลานนมทำสลับขึ้นลง กระตุ้นท่อน้ำนม (Acupressure point l) ยกมือข้างซ้ายวางไปด้านหลัง แล้วใช้นิ้วชี้วางบริเวณเหนือลานนมหนึ่งข้อนิ้วแล้วกดนิ้วชี้พร้อมกับวนที่ปลายนิ้วในตำแหน่งเดียวกัน เปิดท่อน้ำนม (Acupressure point ll) ยกมือข้างขวาวางไปด้านหลัง โดยใช้สามนิ้วของมือข้างขวาวางทาบเหนือลานนมแล้วใช้สามนิ้วของมือซ้ายวางทาบต่อจากนิ้วสุดท้ายของมือขวา จะได้ตำแหน่งการวางของนิ้วขี้ข้างซ้าย แล้วจึงกดและหมุนวนลงในตำแหน่งที่วัดได้คลายและกด ทำซ้ำ 5 ครั้ง พร้อมบีบน้ำนม (Final steps) ในขั้นตอนสุดท้ายต้องทำให้ครบทั้ง 4 ท่า โดยทุกขั้นตอนต้องไม่สัมผัสถูกหัวนม 6.1 ใช้อุ้งมือขวาประคองเต้าแล้วใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายกดและหมุนวนไปโดยรอบลานนม 6.2 วางนิ้วมือขวาเต้าขวาแล้วกดนิ้วเข้าหากันพร้อมกับคลึงไปมาอย่างนุ่มนวล 6.3 ใช้เฉพาะนิ้วชี้ วางนาบลงที่ขอบลานนมทั้งสองข้าง กดนิ้วทั้งสองเข้าหากันในลักษณะบีบ-คลายสลับกัน 6.4 วางนิ้วมือขวาเต้าซ้ายแล้วกดนิ้วเข้าหากันในลักษณะบีบ-คลายสลับกัน เพื่อบีบน้ำนมในขั้นสุดท้าย นมแม่ดีที่สุด        “เพราะเป็นสุดยอดอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับทารก ซึ่งคุณแม่บางท่านก็อาจพบปัญหาน้ำนมน้อยจึงต้องใช้วิธี  “นวดเต้านม” เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของท่อน้ำนม ถึงแม้ว่าการนวดเต้านมจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ แต่คุณแม่ให้นมบุตรควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของน้ำนมด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ และครบถ้วน” ข้อห้ามในการนวดเต้านม ผู้ที่เต้านมอักเสบ ติดเชื้อ ปวดบวม แดงร้อน จะทำให้อักเสบเพิ่มขึ้น เป็นโรคผิวหนัง เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจาย มีบาดแผลบริเวณเต้านม คำแนะนำสำหรับมารดา         นมแม่ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดและยังมีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆได้อีกด้วย นมแม่มีความจำเป็นต่อทารกในช่วง 6 เดือนแรก มีมารดาจำนวนมากที่ยังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต่อไปหลังจากพ้น 6 เดือนแรก ควบคู่กับการให้อาหารตามวัย มารดาสามารถขอคำปรึกษาเรื่องการให้นมแม่ได้จากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อนๆหรือญาติที่เคยมีประสบการณ์ การให้นมแม่บ่อยๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้น้ำนมมีปริมาณเพียงพอและสม่ำเสมอ นอกจากนี้การบริโภคอาหารอย่างสมดุลทั้งระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอดยังช่วยให้ปริมาณน้ำนมเพียงพอเช่นเดียวกัน      

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Detox ล้างลำไส้คืออะไร?

วิธีธรรมชาติบำบัด ในการทำความสะอาดและกำจัดของเสียต่าง ๆ ออกจากลำไส้ ด้วยการใช้น้ำอุ่นปริมาณ 25 ลิตร โดยการปล่อยให้น้ำไหลช้า ๆ เข้าไปทางทวารหนักทีละน้อย ๆ ผ่านหลอดสวนที่สอดเข้าทางทวารหนักลึกเพียง 2 นิ้วในขณะเดียวกันผู้ป่วยก็จะถ่ายอุจจาระตามปกติซึ่งปริมาณของน้ำที่ไหลเข้าไปในลำไส้แต่ละครั้งไม่ถึง 1 ลิตร ก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับของเสียผ่านทางทวารหนักและผ่านออกข้าง ๆ หลอดสวนโดยไม่ต้องถอดหลอดสวนออก ทำหมุนเวียนเช่นนี้จะน้ำหมด 25 ลิตร การล้างลำไส้จะไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกาย แต่อาจมีบ้างในบางกรณีที่เป็นผลมาจากการบีบรัดของลำไส้ที่ออกมาในลักษณะของการปวดเบ่ง หรือปวดถ่ายมากกว่า โดยมากแพทย์ที่ทำการรักษาจะมีความชำนาญ ผู้ป่วยไม่ค่อยรู้สึกถึงอาการเจ็บที่อาจเกิดขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกพอใจการรักษาที่เต็มไปด้วยความสะอาดและปลอดภัย บางครั้งระหว่างทำการรักษากล้ามเนื้อลำไส้อาจจะหดเกร็งอย่างทันทีทันใด อันเนื่องมาจากการกระตุ้นของน้ำ เกลือแร่ หรือกาแฟ อาการที่เกิดตามมาอาจจะเป็นอาการตึงที่บริเวณช่องท้อง หรือเกิดลมในช่องท้องอย่างไรก็ดี อาการเหล่านี้จะเป็นไม่ค่อยมากและเป็นอยู่เพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น การสวนล้างลำไส้ ควรต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือไม่นั้น ต้องดูวัตถุประสงค์ของการรักษาของผู้ป่วยหรือไม่นั้น ต้องดูวัตถุประสงค์ของการรักษาของผู้ป่วยก่อน และถ้ามีวัตถุประสงค์เพื่อการรักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวตามปกติและเพื่อให้ร่างกายสดชื่น ก็ควรล้างลำไส้ทุก 1 เดือน จนกว่าอาการท้องผูกจะดีขึ้น พร้อมทั้งต้องดูแลเกี่ยวกับอาหารที่รับประทาน มีการออกกำลังกายเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต มีการสวนลำไส้อย่างสม่ำเสมอส่วนว่าจะบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของแต่ละบุคคลและผลการรักษา ประโยชน์ของการล้างลำไส้ การล้างลำไส้( Detox ) จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กากอาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมดจึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนังของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิและน้ำเมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรค เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อย ๆ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคหรืออาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการสวนล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างบอกจากร่างกาย ซึ่งการล้างลำไส้อาจช่วย ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรีย ที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่าง ๆ จะถูกชะล้างออกไป ซึ่งในระยะยาวร่างกายก็จะไม่เกิดการสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปลำไส้จะสามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อนแอลงและทหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริม กล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสีย ก็อาจเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้ อย่างเป็นจังหวะจะช่วยทำให้การผลักดันของเสีย เช่น กากอาหารและอุจจาะออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ ทำให้ลำไส้มีขนาดปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัวช่วยลดอาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้นทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยาหรือการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เชื้อไวรัส อาร์เอสวี (RSV: Respiratory Syncytial Virus)

เชื้อไวรัส อาร์เอสวี (RSV: Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักเป็นในเด็กเล็ก ๆ อายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งเมื่อติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) ในทางเดินหายใจส่วนล่างแล้ว ผู้ติดเชื้อร้อยละ 70 มักเกิดอาการปอดบวม และหลอดลมฝอยอักเสบ การติดต่อของโรค เกิดได้ทั่วโลกมักระบาดในฤดูหนาวของประเทศแถวตะวันตกในประเทศไทยพบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ระหว่างเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ติดต่อได้ง่ายโดย การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำมูก เสมหะ น้ำลายของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสนี้ผ่านทางตาจมูกและทางการหายใจ โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) สามารถกระจายเชื้อให้ลอยปะปนอยู่ในอากาศภายในรัศมี 3 ฟุต ผ่านทางการไอหรือจาม การติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นได้หลายครั้ง เนื่องจากไวรัสตัวนี้มีหลายพันธุ์ อาการของโรค ระยะฟักตัวประมาณ 5 วัน ในช่วง 2-4 วันแรก อาการป่วยจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา คือ ไข้ต่ำ ๆ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกใส เด็กบางคนอาจเกิดกล่องเสียงอักเสบ เมื่อการดำเนินโรคของทางเดินหายใจส่วนล่างมีมากขึ้น ก็ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ(ไข้ ไอ หอบ) โดยเด็กจะมีไข้สูง ไอมากขึ้น ร่วมกับมีเสมหะ บางรายไอมากจนอาเจียน หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจแรงจนหน้าอกโป่ง หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheezing) แบบหลอดลมฝอยอักเสบ ซึมลง ตัวเขียว ดื่มนมหรือรับประทานอาหารได้น้อย แต่ในรายที่อาการหนัก มีโอกาสเสียชีวิตได้ เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว การพยากรณ์โรค ยังไม่ทราบกลไกในการเกิดที่ชัดเจน อาการของโรคเกิดจากร่างกายสร้างแอนติบอดีชนิดไวจีอี ( IgE ) ต่อเชื้ออาร์เอสวี ( RSV ) ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหมือนโรคภูมิแพ้ ในระบบทางเดินหายใจมีการหลั่งสารออกมา ซึ่งมีผลทำให้หายใจเสียงวี้ด (wheezing) ตามมาได้ อาการจากการติดเชื้อเกิดจากการกระตุ้นปฏิกิริยา ไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่พบบ่อยที่สุด อักเสบต่อเนื่องในระบบการหายใจ ผลก็คือ ทำให้มีอาการเหล่านี้ แบบเรื้อรังและต่อเนื่อง เด็กที่ติดเชื้อไวรัส อาร์เอสวี ( RSV ) มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืดมากกว่าคนปกติถึง 10 เท่า เมื่อโตขึ้น เด็กที่เป็นแล้วมีอาการแบบหลอดลมฝอยอักเสบรักษาหายแล้วก็กลับมาเป็นซ้ำอีก อาจทำให้เด็กมีภาวะเกิดภูมิไวเกินที่หลอดลม แค่ติดเชื้อหวัดธรรมดาก็อาจกระตุ้นให้อาการหอบ มีเสมหะและไอมากกลับมาได้ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่รุนแรง กลุ่มทารกที่คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย หรือภูมิต้านทานต่ำ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคไม่ดี เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจเรื้อรัง รวมทั้งเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี การรักษา ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV) โดยตรง มีแต่การรักษาแบบประคับประคองตามอาการได้แก่ การให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม บางรายต้องให้ออกซิเจน ถ้าเสมหะมาก อาจต้องทำการเคาะปอด และดูดเสมหะออก ยาต้านการอักเสบลิวโคไตรอีน ในรูปแบบยารับประทานที่ไม่มีสารสเตียรอยด์ จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและหายใจหอบเหนื่อยลดลง การป้องกันโรค ยังไม่มีวัคซีน หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด ไม่ให้เด็กเล่นคลุกคลีกับเด็กที่เป็นหวัด เด็กที่อยู่ในห้องแอร์ หรือในที่อากาศเย็นให้สวมเสื้อผ้าหนา ๆ ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ล้างมือให้เด็กบ่อย ๆ การล้างมือจะช่วยกำจัดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้กว่าร้อยละ 80 หากมีเด็กป่วยในบ้านหรือที่ศูนย์เด็กเล็ก สถานที่รับเลี้ยงเด็กเล็ก ให้แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ไม่ให้คลุกคลีกันและแยกเครื่องใช้เด็กที่ป่วยออกต่างหาก การป้องกันเด็กป่วยจากโรคทางเดินหายใจทุกชนิดโดยแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเด็กจะได้รับภูมิต้านทานจากแม่ผ่านทางนม เด็กก็จะไม่ป่วยง่าย โดย พญ.ปราณี  สิตะโปสะ  กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม