เทคโนโลยีการรักษา

Bladder Scan เครื่องวัดปริมาณปัสสาวะ ด้วยคลื่นความถี่สูง 3 มิติ

Bladder Scan เครื่องวัดปริมาณปัสสาวะ ด้วยคลื่นความถี่สูง 3 มิติ

ตรวจวัดปริมาณปัสสาวะด้วยเทคโนโลยี 3D Ultrasound: Bladder Scan Urine Meter ที่แม่นยำ ปลอดภัย ไม่ต้องสอดสายสวน ที่โรงพยาบาลวิภาวดี เราเข้าใจดีว่าความแม่นยำในการวินิจฉัยและความปลอดภัยของผู้ป่วยคือหัวใจสำคัญของการรักษาที่มีคุณภาพ เราจึงนำเทคโนโลยี Bladder Scan Urine Meter with 3D High Frequency Waves หรือ เครื่องวัดปริมาณปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแบบ 3 มิติ มาใช้เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถประเมินปริมาณปัสสาวะคงค้างได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และไม่ต้องพึ่งการสวนปัสสาวะแบบดั้งเดิม เทคโนโลยี Bladder Scan คืออะไร? Bladder Scan เป็นอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (High-Frequency Ultrasound) แบบ 3 มิติเพื่อสร้างภาพของกระเพาะปัสสาวะจากภายนอกโดยไม่ต้องสอดใส่สายสวนหรือทำหัตถการที่รุกราน เครื่องสามารถแสดงปริมาณปัสสาวะคงค้างในกระเพาะปัสสาวะได้ภายในเวลาไม่กี่นาที และมีความแม่นยำสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะค้าง หรือสงสัยภาวะทางเดินปัสสาวะผิดปกติ เครื่องวัดปริมาณ Bladder Scan            Bladder Scan เป็นเครื่องตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างอยู่หลังการปัสสาวะ โดยใช้อุปกรณ์อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ตรวจบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเดิมการวัดปริมาณปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะจะต้องใช้การสอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปโดยตรงที่ท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการระคายเคืองและต้องรบกวนความเป็นส่วนตัวของคนไข้ได้ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการตรวจวัดและไม่จำเป็นต้องใส่สายเข้าไปในท่อปัสสาวะ ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บและลดการระคายเคืองจากการใส่สายสวนปัสสาวะด้วยการตรวจ Bladder Scan เพื่อดูปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างอยู่หลังจากปัสสาวะแล้ว การตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้าง มีความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาในการปัสสาวะ อาทิเช่น ภาวะต่อมลูกหมากโต, ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ภาวะกระเพาะบีบตัวไวเกิน ขั้นตอนการทำ ดื่มน้ำปริมาณ 500 – 1,000 CC จากบ้าน (โดยปริมาณปรับลดได้ขึ้นอยู่กับระยะทางจากบ้านมารพ.) กลั้นปัสสาวะเล็กน้อยประมาณ 30 นาที จนรู้สึกปวดมากและค่อยปัสสาวะ โดยปัสสาวะลงในขวดตวงปัสสาวะที่เตรียมไว้ให้ ทำการตรวจด้วยเครื่อง Bladder Scan เพื่อวัดปริมาณปัสสาวะคงค้างในกระเพาะปัสสาวะ พบแพทย์ เพื่อฟังผลและทำการรักษาต่อไป การตรวจอัลตราซาวด์ด้วย Bladder Scan ช่วยในการวินิจฉัยอาการของท่านได้ เช่น ปัสสาวะแสบขัด เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ปัสสาวะสีผิวปกติ เช่น ปัสสาวะขุ่น, ปัสสาวะมีตะกอน หรือมีเลือดปน เพื่อตรวจติดตามโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ อาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด ผู้ที่มีอาการปวดหลัง หรือ ปวดเอวเรื้อรัง เหมาะสำหรับผู้ป่วยกลุ่มใด? ผู้สูงอายุที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือปัสสาวะไม่สุด ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ต้องประเมินการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยทางระบบประสาท เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตหรือทางเดินปัสสาวะอุดตัน ผู้ที่ต้องการประเมินภาวะปัสสาวะคั่งโดยไม่ต้องสวนสายสวนปัสสาวะ จุดเด่นของเทคโนโลยี Bladder Scan 3 มิติ ✅ ไม่รุกราน ไม่ต้องใส่สายสวน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ✅ แม่นยำสูง ด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูงแบบ 3 มิติ ✅ ตรวจง่าย ใช้เวลาไม่นาน เพียงไม่กี่นาที ไม่ต้องอดน้ำ ไม่ต้องเตรียมตัวพิเศษ ✅ ปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง ✅ ใช้ในการวางแผนการรักษา เช่น การตัดสินใจใส่สายสวน การให้ยาขับปัสสาวะ และติดตามผลการรักษา ทำไมต้องเลือกโรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาให้กับผู้ป่วยทุกคน ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่าง Bladder Scan 3 มิติ เราช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาภาวะปัสสาวะคั่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สะดวก ปลอดภัย และเหมาะกับผู้ป่วยในทุกช่วงวัย

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy)

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy)

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy) การฉายแสงอาทิตย์เทียมด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตบี คือ อะไร? Excimer เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์อยู่ในรังสียูวีบีที่มีความยาวคลื่น 308 นาโนเมตร ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด ได้แก่ โรคด่างขาว (Vitiligo)    โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)  โรคผิวหนังอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มอาการผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง (Eczema, Atopic Dermatitis, EAC, Pityriasis Alba ในเด็ก), โรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ (Alopecia Areata)          โรคสะเก็ดเงิน เป็นการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่เป็น โดยอาการจะเป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน มักพบบริเวณ ข้อศอก เข่า หนังศรีษะ ซึ่งการรักษาจะเริ่มตั้งแต่ทายา หากไม่ดีขึ้นต้องใช้การฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี รวมถึงโรคด่างขาว โรคผิวหนังผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง ก็ใช้วิธีการรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียมนี้ด้วย   เครื่อง Excimer 308 เหมาะกับผู้ป่วยแบบไหน?    1.เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง    2.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคทุกบริเวณ รวมถึงบริเวณที่เข้าถึงยากและบริเวณเล็กๆ เช่น ไรผม ข้อพับ ริมฝีปาก หนังศีรษะ    3.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคไม่เกิน 20% ทั่วทั้งร่างกาย    4. มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงน้อย สามารถใช้ในการรักษาได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่             การรักษาด้วยการฉายแสง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?        1. ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร        2. ผู้ป่วย SLE, HIV        3. ภาวะด่างขาวจากโรค Hyperthyroidism       4. ผู้ป่วยที่ใส่เครื่อง Pacemaker       5. ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีความไวต่อแสง       6. มีประวัติเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง   ขั้นตอนการรักษาด้วยเครื่อง Excimer 308 การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา    1. ทำความสะอาดผิวหนังในบริเวณที่จะรับการรักษาหรือทำ MED Test (Minimal Erythema Dose)    2. สำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินสามารถทา Salicylic acid ในช่วงกลางคืนก่อนวันที่เข้ารับการรักษาได้    3. แนะนำให้ทำการทดสอบแสง (MED Test) เพื่อหาระดับพลังงานที่เหมาะสมในการรักษา โดยจะทดสอบที่บริเวณท้องแขนหรือหลัง แพทย์จะอ่านผลภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจากการทดสอบ          **ผู้ป่วยโรคด่างขาวและศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ สามารถทำการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องทดสอบ MED Test    4. งดการทาผลิตภัณฑ์ประเภท  Oil ,  ครีมกันแดด  ก่อนเข้ารับการรักษา   ขณะได้รับการรักษา    1.ผู้ป่วยควรเปลี่ยนชุด หรือ เปิดเสื้อผ้าบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อให้บริเวณรอยโรคได้รับแสง    2. ขณะทำการรักษา  ควรอยู่นิ่งๆ ไม่เล่นโทรศัพท์หรือพูดคุยโทรศัพท์    3. ควรสวมใส่แว่นตาเพื่อป้องกันรังสียูวีบี ทั้งผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษา ในกรณีที่มีรอยโรครอบดวงตา ให้ผู้ป่วยหลับตาตลอดทั้งการรักษา การดูแลปฏิบัติตัวภายหลังได้รับการรักษา    1.หากเกิดอาการคัน ผู้ป่วยไม่ควรแกะเกาในบริเวณที่ได้รับการรักษา รวมถึงหลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนในบริเวณที่เป็นโรค    2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคมีอาการกำเริบหรือมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด    3. ควรรักษาสุขอนามัยของร่างกาย อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่อ่อนๆ    4. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ    5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษานานแค่ไหน?       ในช่วงแรกผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเว้นระยะห่างในแต่ละครั้ง ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง เมื่ออาการของรอยโรคตอบสนองต่อการฉายแสงได้ผลดี แพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และสามารถเว้นระยะห่างเป็น 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และหากรอยโรคหายแล้ว สามารถลดการฉายแสงให้เหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งจนกระทั่งหยุดฉายได้ ผลการรักษา เป็นอย่างไร?       ผู้ป่วยโรคด่างขาว : ขึ้นอยู่กับบริเวณและความรุนแรงของโรค โดย  จำนวนครั้งในการรักษาที่เห็นผลประมาณ 20-25 ครั้ง       ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน : จะเห็นผลการรักษาประมาณ 15-20 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาของสะเก็ดและความรุนแรงของโรคด้วย       ผู้ป่วยโรคผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และอื่นๆ : จะเห็นผลในการรักษาประมาณ 4-8 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย การรักษาด้วยการฉายแสง มีผลข้างเคียงหรือไม่?       อาจพบอาการข้างเคียงภายหลังจากการได้รับการรักษา เช่น คัน แสบ ผิวหนังแห้ง ลอก รวมถึงผิวหนังที่ได้รับการรักษาและผิวหนังรอบบริเวณที่ทำการรักษาอาจมีสีที่คล้ำหรือเข้มขึ้นในช่วงที่ได้รับการรักษา แต่สีผิวที่เข้มขึ้นนั้นจะค่อยๆ จางลงภายหลังหยุดการรักษาด้วยการฉายแสง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม        ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลวิภาวดี ชั้น G อาคาร Tower B โทร 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 ต่อ 1123, 1124

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)

ตรวจมวลกระดูก (BMD) ด้วยเทคโนโลยี Dual-Energy X-ray: รู้ทันโรคกระดูกพรุนก่อนสาย โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่ไม่มีอาการแสดงชัดเจนในระยะแรก แต่ส่งผลร้ายแรงได้เมื่อเกิดกระดูกหักตามมา โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี เรามีบริการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกด้วยเทคโนโลยี Bone Mineral Density (BMD) Test ที่แม่นยำและปลอดภัย ช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น พร้อมวางแผนการป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ BMD Test คืออะไร? Bone Mineral Density Test หรือ การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์พลังงานคู่ (Dual-Energy X-ray Absorptiometry หรือ DXA) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการประเมินความแข็งแรงของกระดูก โดยเครื่องจะวัดปริมาณแร่ธาตุในกระดูกบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก เช่น กระดูกสันหลัง สะโพก หรือข้อมือ เพื่อวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน หรือประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในอนาคต การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)  แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ให้บริการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกทุกวัน โดยเครื่องวัดความหนาแน่นกระดูกที่ทันสมัยของ HOLOGIC ซึ่งเป็นชนิดใช้พลังรังสีเอกซ์ 2 ค่าพลังงาน (DXA) ทำให้สามารถตรวจกระดูกส่วนที่หนาๆได้ เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกข้อสะโพก ทำไมเราจึงต้องวัดความหนาแน่นของกระดูก **เครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูกสามารถตรวจเช็คปริมาณความหนาแน่นของกระดูกได้ และทำให้สามารถวางแผนป้องกันและสามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างถูกต้อง** กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ อะไร คือภาวะที่กระดูกมีเนื้อกระดูกที่มีความหนาแน่นน้อย ทำให้มีโอกาสกระดูกแตกหัก หรือยุบตัวได้ กระดูกปกติจะมีโครงสร้างเส้นใย ที่มีโพรงเป็นตาข่ายในเนื้อกระดูก เมื่อเกิดกระดูกโพรงระหว่างเส้นใยจะใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดการแตกของกระดูกได้ง่าย กระดูกจะไม่สามารถตั้งตรงได้ เช่น กระดูกสันหลัง เมื่อเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนจะยุบตัวทำให้หลังงอผิดปกติ เสียบุคลิกภาพไป โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปมักพบในคนอายุมากประมาณ 50 ปีขึ้นไป และในสตรีวัยหมดประจำเดือน สาเหตุโรคกระดูกพรุน • อายุมาก  • วัยหมดประจำเดือน  • ขาดแคลเซียม (Ca)  • การรักษาโรคบางชนิดด้วยฮอร์โมน หรือ Steroid  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน มีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ใช้เครื่องวัดความหนาแน่นกระดูก สามารถทราบผลได้ทันที เครื่องมือตรวจวัดความหนาแน่นกระดูกที่ทันสมัย มีรายละเอียดของเครื่องดังนี้  • สามารถตรวจ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เกือบทั้งหมด  • ใช้เวลาตรวจน้อย  • ภาพคมชัดและถูกต้องแม่นยำ  • ปริมาณรังสีต่ำ เพียงเท่ากับ เมื่อได้รับขณะอยู่บนเครื่องบินใครต้องตรวจบ้าง  • เมื่อคุณรู้สึกว่ากระดูกสันหลังผิดปกติ  • มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroid)  • ผู้หญิงที่มีระดับเอสโตรเจน (Estrogen) ต่ำ และวัยหมดประจำเดือน  • คนผอมมาก ๆ  • คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน  • คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย  • คนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มี Alcohol เป็นประจำทำอย่างไรบ้าง ถ้าคุณเป็นโรคกระดูกพรุน  • แพทย์จะอธิบายวิธีการป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง  • การออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายจะสร้างแคลเซียม และเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มี Alcohol และงดการสูบบุหรี่ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน การเตรียมตัวเพื่อตรวจ  • ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร รับประทานอาหารได้ตามปกติ  • ถ้ากำลังให้ยา Thyroid โปรดแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทราบ  • กำลังกินแคลเซียม โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ  • ถ้ามีการตรวจทางรังสีด้วยแบเรียมมาก่อน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัดตรวจ  • การตรวจระบบไตด้วยสารทึบรังสี ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัดตรวจ  • การตรวจร่างกายด้วยสารกัมมันตรังสี บริเวณใกล้กับกระดูกสันหลังส่วนเอว ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัด  เหมาะสำหรับใครบ้าง? ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมเกินไป ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือได้รับสเตียรอยด์ระยะยาว ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุหรือมีกระดูกหักโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป หรือผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป ค่า T-score หมายถึงอะไร? ✅ T-score มากกว่า -1 = มวลกระดูกปกติ ⚠️ T-score ระหว่าง -1 ถึง -2.5 = ความหนาแน่นกระดูกต่ำ (osteopenia) ❗ T-score น้อยกว่า -2.5 = โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) การทราบค่าดังกล่าวช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันหรือรักษาได้ทันท่วงที ลดโอกาสเกิดกระดูกหักในอนาคต ทำไมต้องตรวจ BMD ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกระดูกโดยเฉพาะในผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง ด้วยเครื่องตรวจ BMD รุ่นใหม่ที่มีความแม่นยำสูงและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังการตรวจ เพื่อให้คุณมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง ห่างไกลโรคกระดูกพรุนในระยะยาว

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เพื่อวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้า Electroencephalogram (EEG) วิธีการตรวจที่แพทย์มักจะใช้ประกอบกับการซักประวัติและการตรวจร่างกาย เพื่อวินิจฉัยโรคลมชัก และจำแนกชนิดของการชักเพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง คลื่นไฟฟ้าสมองสามารถบันทึกโดยใช้ขั้วไฟฟ้า (Electrode) รับสัญญาณไฟฟ้าที่ผิวหนังศีรษะ สัญญาณไฟฟ้านี้เกิดขึ้นจากผลรวมของศักย์ไฟฟ้าของกลุ่มเซลล์ประสาทของสมองที่มีอยู่มากมายในสมองภายใต้ขั้วไฟฟ้า (Electrode) นั้นผลการตรวจจะปรากฏเป็นกราฟ บนแถบกระดาษหรือในจอภาพ หลังจากได้รับสัญญาณไฟฟ้าผ่านเครื่องตรวจซึ่งได้ทำการขยายสัญญาณไฟฟ้าให้มากขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า  EEG คืออะไร? การตรวจ EEG (Electroencephalogram) คือการตรวจจับและบันทึกคลื่นไฟฟ้าที่สมองสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบกราฟ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์รูปแบบของคลื่น และค้นหาความผิดปกติของสมองในภาวะต่าง ๆ เช่น ลมชัก ความผิดปกติในการนอนหลับ ภาวะสมองเสื่อม หรือแม้แต่ใช้ช่วยประเมินสมองในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ข้อบ่งชี้ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง 1. ผู้ป่วยที่สงสัยภาวะชัก เช่นหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเกร็งกระตุกตามกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อาการทางจิตที่ไม่ทราบสาเหตุ 2. เพื่อวินิจฉัยโรคลมชักและเพื่อช่วยแยกชนิดของโรคลมชัก เช่น โรคชักเหม่อลอยในเด็ก absence Seizure โรคชักทั้งตัว Generalize epilepsy,Pseudo epilepsy 3. เพื่อวินิจฉัยโรคบางชนิดเช่นภาวะ Hepatic Encephalopathy,โรควัวบ้า Brain tumor 4. เพื่อช่วยวางแผนการรักษาภาวะ Status epilepticus โดยการทำ EEG monitoring 5. เพื่อช่วยในการเลือกยากันชักที่เหมาะสมกับผู้ป่วย 6. เพื่อช่วยวางแผนในการหยุดยากันชักในผู้ป่วยโรคลมชัก 7. เพื่อวางแผนในการผ่าตัดในผู้ป่วยลมชักที่ดิ้อต่อยา(Refractory epilepsy) โดยการทำ Video EEG monitoring 8. เพื่อช่วยวินิจฉัยและวางแผนในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่เกี่ยวกับการนอน (Sleep Disorder) เช่น  Obstructive Sleep apnea, Narcolepsy โดยการทำ Polysomnogram 9. เพื่อช่วยในการยืนยันภาวะสมองตาย (Brain Death) จุดเด่นของการตรวจ EEG ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ✅ ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดยา ✅ ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 30–60 นาที) ✅ วินิจฉัยแม่นยำ ด้วยเครื่อง EEG ที่ทันสมัยและระบบบันทึกดิจิทัล ✅ ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาท ให้คำแปลผลและวางแผนการรักษาต่อเนื่อง ✅ รองรับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมในการดูแลเฉพาะราย ขั้นตอนการตรวจ EEG เป็นอย่างไร? ผู้ป่วยนอนบนเตียงในห้องตรวจที่สงบ และผ่อนคลาย เจ้าหน้าที่จะติดขั้วไฟฟ้าขนาดเล็ก (Electrodes) ไว้บนศีรษะ โดยใช้เจลพิเศษ เครื่อง EEG จะเริ่มบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมองในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งตอนหลับและตื่น อาจมีการให้หายใจลึก ๆ หรือเปิด-ปิดแสง เพื่อกระตุ้นสมองและดูการตอบสนอง ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแปลผลและวินิจฉัยอย่างละเอียด EEG ใช้วินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง? โรคลมชัก (Epilepsy) ภาวะสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อในสมอง สมองขาดเลือด หรือหลอดเลือดสมองตีบ โรคพาร์กินสัน และโรคทางสมองอื่น ๆ โรคนอนไม่หลับ หรือนอนกรนผิดปกติ พฤติกรรมผิดปกติทางจิต หรือสมองเสื่อม ทำไมต้องตรวจ EEG ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการตรวจวินิจฉัยระบบประสาทอย่างครบวงจร ด้วยเครื่อง EEG รุ่นใหม่ที่มีความไวสูง สามารถตรวจวัดสัญญาณจากสมองได้อย่างแม่นยำ รวมถึงทีมแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา (Neurologist) ที่มีประสบการณ์ในการวินิจฉัยและดูแลผู้ป่วยโรคทางสมองอย่างใกล้ชิด

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ( TMS)

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ( TMS)

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก  (Transcranial Magnetic Stimulation, TMS)   เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก เป็นเครื่องที่อาศัยหลักการเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดเหนี่ยวนำเป็นคลื่นแม่เหล็ก ซึ่งสามารถผ่านเนื้อเยื่อและกะโหลกศีรษะได้ ใช้ในการวินิจฉัยและการรักษาโรคทางสมอง ได้แก่ โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน โรคเส้นประสาทส่วนปลาย โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น และใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้   การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก สามารถทำได้ 2 วิธีคือ   1. การกระตุ้นด้วยคลื่นความถี่สูง โดยใช้ความแรงของการกระตุ้นตั้งแต่ 1 รอบต่อวินาทีขึ้นไป สำหรับรักษาโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น 2. การกระตุ้นด้วยคลื่นความถี่ต่ำ โดยใช้ความแรงของการกระตุ้นต่ำกว่า 1 รอบต่อวินาที จะยับยั้งการทำงานของสมองที่ทำงานมากเกินไป เช่น โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น ข้อบ่งใช้ในการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก โรคซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุทางสมอง อาการปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง อาการปวดจากเส้นประสาท โรคสมอง ได้แก่ โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน เป็นต้น   วิธีการรักษา จะทำการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กวันละ 1 ครั้งจำนวน 5-10 วัน (เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการรักษาได้เต็มที่) ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ต่อการรักษา 1 ครั้ง ทั้งนี้แพทย์จะคอยถามและสังเกตอาการตลอดระยะเวลาในการกระตุ้น   ผลการรักษา คลื่นแม่เหล็กจะส่งดีต่อการทำงานของวงจรในสมอง มีผลต่อสารสื่อประสาท หลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทเกี่ยวกับโรคไมเกรน อาการเจ็บปวด และความเครียด ลดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง และลดอาการซึมเศร้า   ข้อห้าม   ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pace maker) ผู้ที่มีโลหะในศีรษะ เช่น เคยผ่าตัดหลอดเลือดสมองโป่งพองและใช้อุปกรณ์หนีบหลอดเลือด หรือตามร่างกาย โรคลมชัก ผลข้างเคียงที่พบ มีความร้อนบริเวณที่กระตุ้น เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กทำให้อุณหภูมิภายในสมองสูงขึ้นแต่น้อยมากจะมีปวดตึงศีรษะบริเวณที่ทำการกระตุ้น คลื่นไส้ วิงเวียน อาการชัก อารมณ์พลุ่งพล่าน สำหรับผู้ป่วยจิตเวช   ข้อแนะนำก่อนทำ 1. แพทย์จะแนะนำการรักษา ข้อบ่งชี้ และข้อห้ามในการใช้เครื่องมือดังกล่าว 2. ก่อนทำการกระตุ้นสมอง แพทย์จะกระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลายก่อน เพื่อให้ร่างกายรับรู้และคุ้นเคยกับความแรงและความถี่ของการกระตุ้น 3. เมื่อท่านคุ้นเคยแล้ว แพทย์จะกระตุ้นสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เป็น เช่น อัมพาต อัมพฤกษ์ จะกระตุ้นสมองด้านตรงกันข้ามกับอาการอ่อนนแรง เป็นต้น โดยกระตุ้นซ้ำเป็นชุดๆ  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สมองและระบบประสาท                          โทร.0-2561-1111 ต่อ 1214

การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า EDX (EMG & NCS)

การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า EDX (EMG & NCS)

EMG หรือ Electromyography คือ การตรวจวินิจฉัยการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนปลาย โดยใช้คลื่นไฟฟ้าขนาดต่ำเพื่อประเมินการส่งสัญญาณระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการหาสาเหตุของอาการชา อ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก หรือกล้ามเนื้อลีบ โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการตรวจ EMG ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่แม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า (electrodiagnosis)EMG             เป็นเครื่องมือในการช่วยตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า และค้นหาความบกพร่องของเส้นประสาท จากอาการชาที่มือ ชาเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องและแม่นยำ EMG คืออะไร? Electromyography (EMG) คือการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ เพื่อประเมินว่าเส้นประสาทสามารถสั่งงานกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้เข็มอิเล็กโทรดขนาดเล็กปักเข้าไปในกล้ามเนื้อ เพื่อวัดสัญญาณไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อสร้างขึ้น ทั้งขณะพักและขณะเกร็ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยในการวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทส่วนปลายและกล้ามเนื้อได้อย่างแม่นยำ เครื่อง EMG คืออะไร มีหลักการและวิธีการอย่างไร                                   การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า คือ การนำเอาความรู้ทางด้านไฟฟ้ามาใช้ช่วย ในการตรวจวินิจฉัยโรค โดยทั่วไปจะมีหลักการและวิธีการตรวจอยู่ด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ   1.การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study)                   เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้ไฟฟ้าขนาดที่ปลอดภัยกระตุ้นตามแนวทางเดินของเส้นประสาทในส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อตรวจว่ามีความผิดปกติของเส้นประสาทตรงส่วนใดมากน้อยเพียงใด เช่น กรณีที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ อันเป็นผลเนื่องมาจากเบาหวาน หรือ การกดทับของเส้นประสาทบริเวณข้อมือและข้อศอก เป็นต้น  2.การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ (Needle Electromyographic Study)                  เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้เข็มเล็กๆตรวจดูความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท เช่น การกดทับของเส้นประสาทบริเวณคอและหลัง การบาดเจ็บของเส้นประสาท หรือภาวะกล้ามเนื้อมีความผิดปกติ เป็นต้น  3.การตรวจการนำไฟฟ้าของระบบประสาทส่วนกลาง (Evoked Potential)                  เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้ไฟฟ้า แสง เสียง กระตุ้นให้มีสัญญษณไฟฟ้าผ่านไปตามแนวของเส้นประสาท เพื่อตรวจว่ามีความผิดปกติที่ส่วนใดของสมองและไขสันหลัง ขั้นตอนการตรวจ EMG เป็นอย่างไร? แพทย์จะสอบถามอาการเบื้องต้น และตรวจร่างกายโดยละเอียด ขั้วไฟฟ้า (Electrode) จะถูกติดบนผิวหนัง หรือใช้เข็มเล็ก ๆ สอดเข้าในกล้ามเนื้อที่ต้องการตรวจ เครื่องจะบันทึกคลื่นไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อทั้งขณะพักและขณะออกแรง ข้อมูลจะถูกแปลผลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความผิดปกติของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังการตรวจ โดยไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร  การตรวจดังกล่าวมีประโยชน์อย่างไร                 การตรวจดังกล่าวข้างต้น จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งยังใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนรักษาต่อไป EMG เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการใดบ้าง? มีอาการ ชาหรือเจ็บตามแขน ขา มือ หรือเท้า กล้ามเนื้อ อ่อนแรงหรือกระตุก โดยไม่ทราบสาเหตุ สงสัยภาวะ ปลายประสาทอักเสบ หรือเส้นประสาทถูกกดทับ เช่น พังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) มีอาการปวดคอหรือหลัง ร้าวลงแขนหรือขา ซึ่งอาจเกิดจากเส้นประสาทถูกกด กล้ามเนื้อลีบลง หรือสูญเสียการเคลื่อนไหวบางส่วน สงสัยโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น Myopathy หรือ ALS (กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากสมองและไขสันหลัง)  การตรวจมีความปลอดภัยพียงใด                การตรวจนี้เป็นการตรวจที่ปลอดภัยตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ ท่านอาจรู้สึกเหมือนการถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า หรืออาจเจ็บบ้างเมื่อใช้เข็มตรวจในกล้ามเนื้อ สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น คือ  อาจระบมจากการใช้เข็มตรวจซึ่งมักหายไปใน 2-3 วัน กรณีที่ต้องมีการตรวจกล้ามเนื้อด้วยเข็ม ในบริเวณช่วงอกอาจเกิดภาวะลมรั่ว (Pncumothorax)  ซึ่งจะมีอาการแน่นหน้าอกหายใจลำบากแต่อย่างไรก็ตามภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้น้อยมากและสามารถแก้ไขได้ ถ้าท่านมีปัญหาดังต่อไปนี้ กรุณาแจ้งแพทย์ก่อนการตรวจ ประวัติเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาบางชนิดที่อาจทำให้เลือดออกง่าย (ในกรณีที่ต้องใช้เข็มตรวจ) ติดเครี่องกระตุ้นการของหัวใจด้วยไฟฟ้า (Pace Maker) มีผิวหนังอักเสบและติดเชื้อในบริเวณที่ต้องการตรวจ  หมายเหตุ  ผู้ป่วยที่กินยา Mestinon (ยาแก้โรค Myasthenia gravis) งดรับ ประทานยาล่วงหน้าก่อนการตรวจ 1 วัน ไม่ต้อง งดน้ำ และอาหาร ทำไมต้องตรวจ EMG ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีมีศูนย์ประสาทวิทยาที่ครบวงจร พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคทางระบบประสาท เส้นประสาท และกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ การตรวจ EMG ของเราดำเนินการด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และการวิเคราะห์ผลอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู รพ.วิภาวดี เบอร์ 02-561-1111 ต่อ 1118-9  

Cardiac Catheterization Laboratory (ห้องสวนหัวใจ)

Cardiac Catheterization Laboratory (ห้องสวนหัวใจ)

Cath Lab ห้องสวนหัวใจมาตรฐานระดับสากล เพื่อการตรวจรักษาโรคหัวใจอย่างแม่นยำ ปลอดภัย ทันเวลา การดูแลหัวใจต้องอาศัยความแม่นยำ รวดเร็ว และความเชี่ยวชาญสูง โรงพยาบาลวิภาวดีจึงให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจผ่าน Cath Lab (Cardiac Catheterization Laboratory) หรือห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ ที่ทันสมัยและครบวงจร พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต   Cath Lab คืออะไร? เป็นหัตถการของศูนย์หัวใจซึ่งการตรวจในห้องสวนหัวใจ ส่วนใหญ่ไม่ต้องดมยาสลบ  อุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วย เช่น สายสวน บอลลูน หรือขดลวด มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับไส้ดินสอหรือไส้ปากกาหมึกแห้ง ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใช้วิธีการฉีดยาชาและสอดสายสวนแก้ไขและไม่ต้องกังวลต่อการเกิดแผล เป็นหัตถการส่วนใหญ่ในห้องสวนหัวใจ ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน ถ้าผู้ป่วยมาเพื่อการวินิจฉัยโรค จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1 คืน สำหรับผู้ป่วยที่มารับการซ่อมแซมหลอดเลือด หรือใส่อุปกรณ์เพื่อการรักษา จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1-3 คืน แพทย์จะให้คำปรึกษาและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามอย่างละเอียด รวมถึงความเสี่ยงและทางเลือก ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง   การบริการห้องสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Laboratory) ได้แก่   1.การฉีดสีตรวจวินิจฉัยและการรักษาซ่อมแซมหลอดเลือดทุกตำแหน่งโดยใช้บอลลูน ขดลวด การขยายหลอดเลือด การดูดลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือด ตัวอย่าง  หลอดเลือดที่สามารถซ่อมแซมได้ด้วยวิธีเหล่านี้ คือ             -หลอดเลือดหัวใจ ในผู้ป่วยหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน             -หลอดเลือดสมอง (Carotid Artery หรือ Vertebral Artery) ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต             -หลอดเลือดไต ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หรือไตเสื่อม จากหลอดเลือดไตตีบ             -หลอดเลือดแขน ขาที่มีโรคหลอดเลือด เช่น ในผู้ป่วยที่ปวดขาเวลาเดิน หรือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเรื้อรัง    2.การตรวจและรักษาความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ ได้แก่             -การสร้างแผนภูมิของสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจระบบ 3 มิติ (Advance 3-D Mapping System)             -การจี้แก้ไขบริเวณที่เต้นผิดปกติด้วยคลื่นวิทยุ (Rediofrequency Ablation)             -การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ(Pacemaker)             -การฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ(Implantable Cardioverter Defibrillator)             -การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจสองห้องในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว(Cardiac Resynchronization Therapy)             Cath Lab ใช้ตรวจหรือรักษาอะไรได้บ้าง? การตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน (Coronary Angiography) การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (PCI or Stent) การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยการจี้ไฟฟ้า (Ablation) การใส่อุปกรณ์ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ (Pacemaker, ICD) การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของลิ้นหัวใจ หรือผนังกั้นหัวใจ การเจาะเยื่อหุ้มหัวใจ หรือระบายน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardiocentesis)   ใครบ้างที่ควรตรวจใน Cath Lab? ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ผู้ที่มีผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผิดปกติ ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (STEMI/NSTEMI) ผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจรั่ว/ตีบ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ที่สงสัยว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ป่วยที่ต้องการวางแผนผ่าตัดหัวใจ หรือประเมินภาวะแทรกซ้อน   จุดเด่นของ Cath Lab โรงพยาบาลวิภาวดี ✅ ห้องปฏิบัติการ Cath Lab ที่ทันสมัย พร้อมระบบถ่ายภาพรังสีแบบดิจิทัลความคมชัดสูง ✅ ทีมแพทย์โรคหัวใจเฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์ในการสวนหัวใจและรักษาเฉียบพลัน ✅ ตรวจและรักษาได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ✅ ปลอดภัยสูง ด้วยมาตรฐานการป้องกันการติดเชื้อและการดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด ✅ รองรับทั้งผู้ป่วยนอกและใน และสามารถรับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นได้   ขั้นตอนการตรวจสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) แพทย์จะให้ข้อมูลและตรวจร่างกายเบื้องต้น รวมถึงประเมินความเสี่ยง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาเฉพาะที่บริเวณขาหนีบหรือข้อมือ แพทย์จะใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปในหลอดเลือด และฉีดสารทึบรังสี ภาพหลอดเลือดหัวใจจะแสดงบนหน้าจอเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและตัดสินใจรักษาได้ทันที หากพบหลอดเลือดตีบ แพทย์อาจทำการขยายด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (Stent) ทันที   ทำไมต้องสวนหัวใจที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีมีความพร้อมทั้งในด้านเครื่องมือทางการแพทย์และบุคลากร โดยห้อง Cath Lab ได้รับการออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล และมีการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การตรวจ วินิจฉัย ไปจนถึงการฟื้นตัวภายหลังการรักษา โดยเน้นความรวดเร็วและแม่นยำในการช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องการการดูแลเฉพาะทาง

การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง

การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง

Ultrasound คืออะไร? Ultrasound เป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงโดยให้ทรานส์ดิวเซอร์ ส่งคลื่น ultrasound กระทบกับผิว ต่อมหรือเนื้อเยื่อที่มีคุณสมบัติต่างกัน จะเกิดการสะท้อนกระเจิงของคลื่น และคลื่นที่สะท้อน กระเจิงกลับเข้าสู่ทรานส์ดิวเซอร์ (echo) จะถูกบันทึก ขยายและปรับแต่งก่อนส่งไปแสดงผลทางจอภาพ (display) ติดตามรายละเอียดได้ดังนี้ค่ะ คลื่นเสียงความถี่สูงสามารถใช้ตรวจส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ ส่วนหัว ใช้ตรวจเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เพื่อตรวจดูความผิดปกติในกระโหลกศีรษะ โดยตรวจผ่านกระหม่อมที่ยังไม่ปิด (open fontanelles)  ส่วนคอ ใช้ตรวจหาความผิดปกติและหารอยโรคของต่อมธัยรอยด์ , ต่อมน้ำลาย (salivary gland) , parotid gland , ก้อนในบริเวณคอ และใช้ตรวจเส้นเลือดแดง (carotid artery)  ส่วนอก ใช้ตรวจทรวงอก เพื่อดูน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid) หรือตรวจดูรอยโรค (lesions) ว่าเป็นเนื้อหรือน้ำติดกับผนังทรวงอก เช่น เนื้องอก ฯลฯ ช่องท้อง ใช้ตรวจดูความผิดปกติและหารอยโรคของอวัยวะภายในช่องท้องทั้งหมด (whole abdomen)   ส่วนอื่น ๆ  ใช้ตรวจเพื่อหาความผิดปกติและรอยโรคที่สงสัยในอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue) หรือ มีน้ำภายใน เช่น กล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจเต้านม ขา เส้นเลือดขนาดใหญ่และขนาดกลาง (Doppler) เพื่อดูความผิดปกติ ของเส้นเลือด , วัดความเร็วการไหลเวียนเส้นเลือด , ดูการอุดตันของเส้นเลือด ฯลฯ  การเตรียมตัวก่อนตรวจ ส่วนหัว สามารถตรวจได้ทันที โดยไม่ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจ แต่ในเด็กบางรายอาจต้องให้ Sedation ตามคำสั่งแพทย์ ส่วนคอและส่วนอก สามารถตรวจได้ทันที ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนการตรวจ ส่วนท้อง Upper Abdomen งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 - 8 ชั่วโมงก่อนการตรวจ ในเด็กให้งดอาหารหรือนม 1 มื้อ เพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะถุงน้ำดี ชัดเจน Lower Abdomen ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร (เว้นแต่แพทย์สั่ง) ก่อนถึงเวลานัดตรวจ 3 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำเปล่า 4-5 แก้ว และกั้นปัสสาวะไว้จนกว่าจะตรวจเสร็จ (ขณะทำต้องปวดปัสสาวะเต็มที่) ซึ่งจะทำให้สามารถเห็นมดลูกและอวัยวะบริเวณท้องน้อยชัดเจน Whole Abdomen งดอาหาร 6-8 ชั่วโมงก่อนตรวจ แต่ก่อนถึงเวลานัดตรวจ 3 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำเปล่า 4-5 แก้ว หลังจากนั้นงดดื่ม และกั้นปัสสาวะไว้จนกว่าจะตรวจเสร็จ (ขณะทำต้องปวดปัสสาวะเต็มที่) ส่วนอื่น ๆ สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนการตรวจ อัลตราซาวด์ตรวจอะไรได้บ้าง? การตรวจอัลตราซาวด์สามารถใช้ในหลายด้านของเวชศาสตร์ ดังนี้: อัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound): ตรวจตับ ไต ม้าม ถุงน้ำดี ตับอ่อน อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง: ตรวจมดลูก รังไข่ ต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะ อัลตราซาวด์เต้านม (Breast Ultrasound): ตรวจหาก้อนหรือถุงน้ำในเต้านม อัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram): ประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ อัลตราซาวด์หลอดเลือด (Doppler): ตรวจการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือด อัลตราซาวด์ครรภ์ (Obstetric Ultrasound): ตรวจพัฒนาการของทารกในครรภ์ อัลตราซาวด์ต่อมไทรอยด์ หรือก้อนที่ผิวหนัง: ตรวจหาลักษณะของก้อนเนื้อหรือซีสต์ ข้อแนะนำ ควรงดน้ำและอาหาร (N.P.O. = Nothing Per Oral) อย่างน้อย 6-8 ชม. ก่อนการตรวจ(สำหรับเด็กเล็ก ให้งดนมเพียง 4 ชม.) เหตุที่ต้องงดน้ำ ก็เพราะว่าถ้าไม่มีอะไรถูกกลืนลงสู่หลอดอาหารแล้ว โอกาสที่อากาศจะผ่านสู่กระเพาะอาหารก็น้อยด้วย ซึ่งอากาศมีอิทธิพลต่อภาพอัลตราซาวนด์ ไม่ว่าจะมีอากาศอยู่ในส่วนใดของ Gastro-intestinal tract ก็ตาม ก็จะทำให้ขาดข้อมูลที่ต้องการบนภาพได้ และในกรณีที่ผู้ป่วยมี Bowel gas มาก วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ให้รอไปก่อน 2-3 ชม. เหตุที่ต้องงดอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาพลวงจากอาหารที่รับประทาน และอาหารที่มัน ๆ ยังทำให้ Gall bladder บีบตัวจนการตรวจ Gall bladder ทำได้ยาก Ultrasound ที่โรงพยาบาลวิภาวดีดีอย่างไร ✅ ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องฉีดสีหรือใช้รังสี ✅ ปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกวัย รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ ✅ ตรวจได้หลากหลายอวัยวะ ทั้งช่องท้อง หัวใจ สมอง หลอดเลือด และอื่น ๆ ✅ เครื่องมือทันสมัย ความละเอียดสูง ให้ภาพคมชัดแม้ในจุดที่มองเห็นยาก ✅ ผลตรวจวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ✅ สามารถใช้ในการติดตามผลการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะกับใครบ้าง? ผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือสงสัยโรคตับ ไต ถุงน้ำดี ผู้หญิงที่มีปัญหาประจำเดือน หรือสงสัยซีสต์ในมดลูกหรือรังไข่ ผู้ชายที่สงสัยต่อมลูกหมากโต หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการตรวจสุขภาพทารก ผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพหัวใจ หรือหลอดเลือด ผู้ที่มีก้อนผิดปกติบริเวณเต้านมหรือลำคอ ทำไมต้องตรวจอัลตราซาวด์ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการตรวจอัลตราซาวด์ด้วย เครื่องอัลตราซาวด์ดิจิทัลความละเอียดสูง โดยทีมแพทย์รังสีวินิจฉัย และแพทย์เฉพาะทางในแต่ละสาขา ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำมากยิ่งขึ้น พร้อมให้คำแนะนำในการวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณในระยะยาว

ระบบ PACS

ระบบ PACS

PACS PACS ย่อมาจากคำว่า Picture Archiving and Communication System คือ ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บรูปภาพ ทางการแพทย์( Medical Images) และรับ-ส่งข้อมูลภาพ ในรูปแบบ Digital โดย PACS ใช้การจัดการรับส่งข้อมูล ผ่านทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการส่งภาพข้อมูลตามมาตรฐาน DICOM แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ได้นำระบบ PACS มาใช้ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2549 ซึ่งการนำระบบ PACS มาใช้แทนระบบการถ่ายภาพที่ใช้ฟิล์มแบบเดิม ทำให้ลดขั้นตอนการทำงานลงเป็นอย่างมาก จึงทำให้สามารถให้บริการแก่ผู้มารับบริการได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ยกระดับการจัดเก็บภาพทางการแพทย์ด้วยระบบ PACS โรงพยาบาลวิภาวดีนำระบบ PACS (Picture Archiving and Communication System) เข้ามาใช้งานเพื่อพัฒนาระบบจัดเก็บภาพทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รองรับทั้งการเก็บภาพ การส่งต่อ และการวิเคราะห์ผลได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว โดยเฉพาะการจัดการภาพจากเครื่องมือวินิจฉัย เช่น X-ray, CT Scan, MRI, Ultrasound และการตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วยยุคใหม่ ระบบ PACS คืออะไร? PACS เป็นระบบจัดเก็บภาพทางการแพทย์ในรูปแบบดิจิทัล ที่ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลภาพถ่ายทางรังสีได้ทันทีผ่านระบบเครือข่ายภายในโรงพยาบาล ลดการใช้ฟิล์ม และเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา โดยไม่ต้องรอเอกสารหรือภาพฟิล์มแบบเดิม จุดเด่นของระบบ PACS ที่โรงพยาบาลวิภาวดี จัดเก็บและเรียกดูภาพได้อย่างรวดเร็ว: ทีมแพทย์สามารถเข้าถึงภาพถ่ายทางรังสีได้ทันทีจากทุกแผนกผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูล: ระบบ PACS มีการสำรองข้อมูลและจัดการข้อมูลด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง ภาพคมชัดระดับสูง: สนับสนุนการวินิจฉัยที่แม่นยำด้วยภาพความละเอียดสูง พร้อมฟังก์ชันซูมและปรับภาพได้หลากหลายมิติ ลดการใช้ฟิล์มและกระดาษ: ช่วยลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งต่อข้อมูลระหว่างแพทย์ได้สะดวก: ส่งผลตรวจและภาพประกอบการวินิจฉัยระหว่างแผนกหรือระหว่างโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ประโยชน์ต่อผู้รับบริการ รอผลรวดเร็วขึ้น: ลดเวลาในการส่งต่อภาพระหว่างแผนก ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้เร็ว ความแม่นยำในการวินิจฉัย: ภาพคมชัดและเข้าถึงข้อมูลเดิมได้ทันที ทำให้แพทย์มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการพิจารณา ลดการตรวจซ้ำ: ผู้ป่วยไม่ต้องรับการตรวจซ้ำจากการสูญหายของฟิล์มหรือเอกสาร สะดวกในการติดตามผลย้อนหลัง: สามารถดูภาพจากการตรวจครั้งก่อน ๆ ได้ง่าย เพื่อเปรียบเทียบและติดตามอาการอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้ในแผนกต่าง ๆ แผนกรังสีวิทยา แผนกศัลยกรรม แผนกอายุรกรรม แผนกหัวใจและหลอดเลือด แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู เทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกับ PACS RIS (Radiology Information System): ใช้ในการจัดการข้อมูลทางรังสีวิทยา EMR (Electronic Medical Record): เชื่อมโยงข้อมูลภาพกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้แพทย์เข้าถึงภาพและประวัติการรักษาได้จากจุดเดียว ความปลอดภัยและการดูแลข้อมูลผู้ป่วย โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง ระบบ PACS ที่ใช้งานได้รับการออกแบบให้มีการเข้ารหัสข้อมูลและการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยตามมาตรฐานสากล