V Beam Laser คือเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser ใช้รักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวกับรอยแดง โดยแสงเลเซอร์จะส่งพลังงานความร้อนลงไปจับกับเม็ดเลือดแดงใต้ผิวหนัง ทำลายเส้นเลือดและเม็ดสีผิดปกติ V Beam Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? รอยแดงจากสิว ช่วยฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย และรักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด V Beam Laser กี่ครั้งถึงจะเห็นผล? ควรทำประมาณ 3-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิวและลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ขั้นตอนการทำ V Beam Laser เริ่มจากการแพทย์ประเมินรอยโรคที่เป็น ทำความสะอาดผิวหน้าให้พร้อม ใส่แว่นป้องกันดวงตา และทำการรักษาพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลหลังรักษา รอยแดงบนผิวหน้า ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุสิว อาการอักเสบ หรือเส้นเลือดฝอยขยายตัว สร้างความกังวล ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน หลายคนจึงมองหาวิธีรักษาที่ได้ผล หนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีอย่าง V Beam Laser ที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหารอยแดง บทความนี้จะแนะนำเทคโนโลยี V Beam Laser คืออะไร และช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ทำความรู้จัก V Beam Laser คืออะไร V Beam Laser คือเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร ใช้รักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวกับรอยแดง เช่น รอยแดงจากสิว ปานแดง และเส้นเลือดฝอยผิดปกติ โดยแสงเลเซอร์จะส่งพลังงานความร้อนลงไปจับกับเม็ดเลือดแดงใต้ผิวหนัง ทำลายเส้นเลือดและเม็ดสีผิดปกติ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ จุดเด่นของ V Beam Laser เหมาะสำหรับการรักษาสิวอักเสบและรอยแดงจากสิว ช่วยในเรื่องของการลดการอักเสบและรอยแดงบนผิว ขั้นตอนการรักษารวดเร็ว ไม่ต้องใช้ยาชา รู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยขณะทำ พร้อมมีระบบพ่นความเย็นช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย ไม่มีแผลหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที ผลข้างเคียงต่ำ โอกาสเกิดรอยแดงหรือระคายเคืองน้อยมาก V Beam Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง V Beam Laser เป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวให้ดีขึ้น โดยปัญหาผิวที่ V Beam Laser สามารถรักษาได้มีดังนี้ รอยแดงจากสิว V Beam Laser ช่วยแก้ปัญหารอยแดงจากสิวได้โดยการส่งพลังงานเลเซอร์ไปจับกับเม็ดเลือดแดงบริเวณฐานของสิว ทำให้เส้นเลือดที่ก่อให้เกิดรอยแดงถูกทำลาย และลดการอักเสบของสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียนและรอยแดงจางลงโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอย V Beam Laser ช่วยฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอย ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น รูขุมขนเล็กลง และริ้วรอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนและไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง รักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด V Beam Laser ช่วยรักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด ด้วยเลเซอร์ไปจับกับเม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดผิดปกติใต้ผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดเหล่านั้นถูกทำลายและลดรอยแดงได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียนและเส้นเลือดฝอยผิดปกติค่อยๆ จางลงอย่างปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น V Beam Laser ไม่เหมาะกับปัญหาผิวแบบใด ผู้ที่มีสีผิวเข้มมาก เนื่องจากอาจตอบสนองต่อเลเซอร์ได้น้อยและผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจน ผู้ที่มีการติดเชื้อเริม หรือโรคงูสวัดในบริเวณที่จะทำการรักษา ต้องรอให้หายก่อน ปัญหาผิวที่เป็นรอยดำ หลุมสิว หรือความไม่เรียบเนียนของผิว เพราะ V Beam Laser เน้นรักษารอยแดงเท่านั้น ผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลายกว่า เช่น ต้องการฟื้นฟูผิวแบบครบวงจร อาจต้องพิจารณาเทคโนโลยีอื่นร่วมด้วย ขั้นตอนการทำ V Beam Laser และการเตรียมตัว ในการทำ V Beam Laser มีขึ้นตอนในการเตรียมตัว เตรียมผิวที่ต้องการรักษาตั้งแต่การเตรียมตัว ระหว่างการทำ และหลังทำ ควรทำอย่างไรบ้าง มีดังนี้ เตรียมตัวก่อนทำ V Beam Laser ก่อนการทำ V Beam Laser ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงก่อนเข้ารับการรักษา ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งก่อนและหลังทำเลเซอร์ การดูแลผิวให้พร้อมก่อนทำเลเซอร์จะช่วยให้ผิวตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น และฟื้นตัวได้รวดเร็ว ระหว่างการทำ V Beam Laser แพทย์จะประเมินลักษณะของรอยโรคหรือปัญหาผิวที่ต้องการรักษา พร้อมปรับตั้งค่าพลังงานของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล จากนั้นจะทำความสะอาดผิวหน้าอย่างละเอียดเพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนการยิงเลเซอร์ ผู้เข้ารับการรักษาจะสวมแว่นป้องกันดวงตาเพื่อความปลอดภัยจากแสงเลเซอร์ แล้วแพทย์จึงเริ่มทำการรักษาด้วยเครื่อง V Beam ในบริเวณที่ต้องการ โดยจะรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยระหว่างทำ หลังการทำ V Beam Laser หลังจากทำไปแล้ว ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพราะผิวจะไวต่อแสงและเสี่ยงเกิดรอยดำ ควรทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ และบำรุงผิวเพื่อลดการระคายเคือง หากมีรอยแดงหลังทำ อาจเกิดขึ้นชั่วคราวและจะค่อยๆ จางลงภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงวันสองวัน ทำ V Beam Laser กี่ครั้งถึงจะเห็นผล ควรทำ V Beam Laser กี่ครั้งที่เหมาะสม ควรทำประมาณ 3-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิวและลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ระยะห่างของการทำแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะห่างระหว่างแต่ละครั้งประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเต็มที่ การเห็นผลลัพธ์ ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังทำครั้งแรก โดยรอยแดงจะค่อยๆ จางลงและผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างชัดเจนหลังทำต่อเนื่องหลายครั้ง ผลข้างเคียงของ V Beam Laser ที่อาจเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พลังงานเลเซอร์ในระดับสูง อาจเกิดอาการบวมแดงบริเวณที่ทำการรักษาได้ แต่โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง อาจมีรอยแดงหลงเหลือหลังการรักษานานประมาณ 2-3 วัน แต่สามารถแต่งหน้าเพื่อปกปิดได้โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา บางกรณี เช่น การรักษาแผลเป็นแดงหรือเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า อาจจำเป็นต้องใช้รูปแบบการปล่อยพลังงานเฉพาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยแดงหลังการรักษานานประมาณ 1 สัปดาห์ ค่าใช้จ่าย V Beam Laser ราคาเท่าไร ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำ V Beam Laser ราคาอยู่ในช่วงประมาณ 600-12,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่รักษาและจำนวนช็อตที่ใช้ รวมถึงสถานที่ทำและประสบการณ์ของแพทย์ โดยบางคลินิกมีโปรโมชัน V Beam Laser ราคาพิเศษ เช่น ลดเหลือประมาณ 1,900-3,400 บาทต่อครั้งสำหรับใบหน้า นอกจากนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่ต้องทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และค่าใช้จ่ายสำหรับการปรึกษาแพทย์หรือการดูแลหลังทำเลเซอร์ ฟื้นฟูผิวด้วย V Beam Laser ที่โรงพยาบาลวิภาวดี หากมีปัญหารอยแดง ผิวมีริ้วรอย หรือมีปัญหาผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด สามารถเลือกโปรแกรม V Beam Laser ของทางโรงพยาบาลวิภาวดี ที่มีการตรวจรักษาด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย พร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ผิวหนัง เบอร์โทร. 0-2058-1111 ต่อ 1123-24 สรุป V Beam Laser เป็นเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye เหมาะสำหรับรักษารอยแดงจากสิว ปานแดง และเส้นเลือดฝอยผิดปกติ โดยปล่อยพลังงานไปจับเม็ดเลือดแดงใต้ผิวเพื่อทำลายเส้นเลือดผิดปกติ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จุดเด่นคือ เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีแผลหลังทำ เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยแดงหรือโรคผิวหนังเกี่ยวกับหลอดเลือด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสีผิวเข้มมากหรือมีรอยดำ และมีค่าใช้จ่ายในการทำ V Beam ราคาเริ่มต้นราว 600-12,000 บาทต่อครั้ง ในการรักษารอยแดงจากสิว ริ้วรอย ควรรักษากับสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ และแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อให้การรักษาอย่างตรงจุด ปลอดภัยที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมให้บริการด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ V Beam Laser (FAQ) ในการทำ V Beam Laser อาจทำให้หลายคนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษา ข้อดี ผลข้างเคียง วันนี้ได้รวบรวมคำถามและคำตอบที่พบบ่อยเพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้น ดังนี้ เลเซอร์ V beam ช่วยเรื่องอะไรบ้าง เลเซอร์ V Beam ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เกี่ยวกับเส้นเลือดและรอยแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลดรอยแดงจากสิว โรซาเซีย และผิวที่มีเส้นเลือดฝอยขยายตัว รักษาเส้นเลือดฝอยแตก ปานแดง และรอยแดงจากแผลเป็น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดจุดด่างดำจากเม็ดสีผิดปกติ เช่น ฝ้า กระ และจุดด่างแดด V beam กับ IPL แตกต่างกันอย่างไร V Beam Laser จะมีจุดเด่นในการรักษาปัญหาเฉพาะทาง เช่น รอยแดงและเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า แต่ IPL มีความหลากหลายมากกว่าในการดูแลปัญหาผิว ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดง เส้นเลือดฝอย รวมถึงช่วยกระชับรูขุมขนและฟื้นฟูผิวให้ดูสว่างกระจ่างใสยิ่งขึ้น V beam กี่วันเห็นผล ผลการรักษาด้วย V beam จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามสภาพผิวและลักษณะของสิวในขณะเริ่มรักษา บางรายอาจเห็นว่ารอยแดงจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่โดยทั่วไปมักต้องทำต่อเนื่องประมาณ 1-6 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน
CT Scan สมองคือ การตรวจวินิจฉัยโดยใช้รังสีเอกซ์และคอมพิวเตอร์สร้างภาพตัดขวางของสมองในรูปแบบ 3 มิติ เพื่อช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติภายในสมองได้อย่างชัดเจน อาการที่ควรได้รับการทำ CT Scan ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินควรได้รับการตรวจโดยเร็วที่สุด ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ ผู้ที่มีอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ รวมถึงเพื่อติดตามผลของโรคและการรักษา CT Scan สมอง มีข้อดีในการช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรค วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับผลกระทบจากรังสีน้อย ขั้นตอนการทำ CT Scan สมอง เริ่มจากงดอาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ ระหว่างการทำผู้ป่วยจะต้องนอนราบนิ่งบนเตียงที่เคลื่อนเข้าไปในเครื่องสแกนและปฏิบัติตามคำสั่ง หลังจากทำเสร็จ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ การตรวจด้วย CT Scan เป็นหนึ่งในวิธีวินิจฉัยทางการแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของสมอง ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยเอกซ์เรย์ ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ CT Scan สมองว่าควรตรวจเมื่อไร และควรเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไร CT Scan สมองคืออะไร การตรวจสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography) เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ใช้รังสีเอกซเรย์ร่วมกับคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพของอวัยวะภายใน โดยเครื่องจะปล่อยรังสีเอกซเรย์ผ่านร่างกายเฉพาะบริเวณที่ต้องการตรวจ และนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเป็นภาพที่แสดงรายละเอียดโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ ได้แม่นยำมากกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป และสามารถใช้ตรวจสอบอวัยวะภายในได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ประโยชน์ของการทำ CT Scan สมอง การทำ CT Scan สมอง คือการตรวจวินิจฉัยโดยใช้รังสีเอกซ์หมุนรอบศีรษะ เพื่อสร้างภาพตัดขวางของสมองในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งช่วยให้แพทย์เห็นรายละเอียดภายในสมองได้ชัดเจนและรวดเร็วมากกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป ประโยชน์ของ CT Scan สมอง ได้แก่ การตรวจหาภาวะเลือดออกในสมอง กระโหลกร้าว เนื้องอก หรือความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง รวมถึงช่วยติดตามผลการรักษาและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว อาการแบบใดบ้างที่ควรได้รับการทำ CT Scan การทำ CT Scan สามารถตรวจอาการหรือความผิดปกติของร่างกาย โดยมีอาการที่ควรรับการตรวจ CT Scan มีดังนี้ ภาวะฉุกเฉินและอุบัติเหตุ ภาวะฉุกเฉินและอุบัติเหตุที่ควรได้รับการตรวจด้วย CT Scan สมอง ได้แก่ อุบัติเหตุรุนแรงที่ศีรษะ เช่น รถชน หรือตกจากที่สูง รวมถึงอาการปวดศีรษะรุนแรง ปวดศีรษะร่วมกับอาเจียนพุ่ง มีอาการชัก หรือหลงลืมเหตุการณ์เฉียบพลัน เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะเลือดออกในสมอง กระโหลกร้าว หรือความผิดปกติอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ อาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติซึ่งควรได้รับการทำ CT Scan สมอง ได้แก่ ใบหน้าหรือร่างกายครึ่งซีกอ่อนแรง พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มีอาการชัก หมดสติหรือซึมลง ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ปวดศีรษะรุนแรง เวียนศีรษะ เดินเซ ทรงตัวลำบาก รวมถึงหลงลืมเหตุการณ์เฉียบพลัน เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอก หรือความผิดปกติของหลอดเลือดสมองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การติดตามโรคและการรักษา โรคที่ควรได้รับการตรวจและอ่านผลด้วย CT Scan สมองอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการ ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง เช่น ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ที่ต้องตรวจเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและสมองอย่างใกล้ชิด รวมถึงโรคเนื้องอกสมองที่ต้องประเมินขนาดและการลุกลามของก้อนเนื้องอก และโรคทางระบบประสาทเรื้อรัง เช่น โรคพาร์กินสันและโรคสมองเสื่อมบางชนิดที่ใช้ CT Scan ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ในการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและแม่นยำ การทำ CT Scan สมอง มีข้อดีอะไรบ้าง การตรวจ CT Scan มีจุดเด่นหลายด้าน โดยสามารถใช้สแกนอวัยวะส่วนใหญ่ของร่างกายได้อย่างครอบคลุม เช่น สมอง ขณะทำการตรวจ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวด และยังได้ภาพที่มีความละเอียดสูงกว่าการทำอัลตราซาวนด์ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ CT Scan ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยวางแผนการรักษา เช่น การตัดชิ้นเนื้อ หรือทำหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ ได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจากการได้รับรังสีน้อย ขั้นตอนกระบวนการทำ CT Scan สมอง ขั้นตอนการทำ CT Scan สมอง ควรเตรียมตัวอย่างไร และกระบวนการทำเป็นอย่างไรบ้าง? เตรียมตัวก่อนเข้าตรวจ การเตรียมตัวก่อนเข้าตรวจ CT Scan สมอง ควรงดอาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ เพื่อให้ภาพชัดเจนและลดความเสี่ยงจากการฉีดสารทึบรังสี ผู้ป่วยควรแจ้งประวัติสุขภาพ เช่น โรคประจำตัวหรือแพ้สารทึบสี และถอดเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่มีโลหะออก รวมถึงเปลี่ยนใส่ชุดที่โรงพยาบาลจัดให้ การตรวจใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที โดยหลังตรวจจะต้องนั่งพักสังเกตอาการประมาณ 15 นาทีก่อนกลับบ้าน ระหว่างการตรวจ ระหว่างการทำ CT Scan สมอง ผู้ป่วยจะต้องนอนราบนิ่งบนเตียงที่เคลื่อนเข้าไปในเครื่องสแกน โดยบริเวณศีรษะจะอยู่ในตำแหน่งที่เครื่องสามารถสแกนได้อย่างแม่นยำ ผู้ป่วยควรผ่อนคลาย หายใจตามปกติ และในบางครั้งอาจต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เช่น หยุดหายใจชั่วคราวเพื่อให้ภาพชัดเจน ในระหว่างนี้สามารถสื่อสารกับทีมแพทย์ผ่านระบบอินเตอร์คอมได้ การตรวจใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที และผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายระหว่างการสแกน หลังการตรวจ หลังจากทำ CT Scan สมองเสร็จ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ และขับรถได้ หากไม่ได้รับยาระงับประสาทก่อนตรวจ แต่ถ้าได้รับยาคลายความกังวล ควรให้คนมารับและงดขับรถด้วยตนเอง และหากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน บวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที ค่าใช้จ่ายราคา CT Scan สมอง CT Scan สมองในโรงพยาบาลรัฐบาลมีราคาประมาณ 4,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่ามีการใช้สารทึบรังสีหรือไม่ และกรณีฉุกเฉินอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือพ.ร.บ. ได้ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนแม้ค่าบริการ CT Scan สมองราคาประมาณ 8,000-30,000 บาท ทั้งนี้ราคายังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น ค่าแพทย์อ่านผลและค่าบริการเพิ่มเติมอื่นๆ อีกด้วย ตรวจและทำ CT Scan สมองที่โรงพยาบาลวิภาวดี การทำ CT Scan สมองที่โรงพยาบาลวิภาวดี ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมการตรวจวินิจฉัยอาการหรือความผิดปกติของสมองและระบบประสาท เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย โดยสามารถนัดหมายและสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร. 02-561-1111 และ 02-058-1111 สรุป การทำ CT Scan สมองคือการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สร้างภาพตัดขวางของสมองแบบ 3 มิติ ช่วยให้เห็นโครงสร้างภายในสมองได้ชัดเจน เหมาะสำหรับการตรวจหาภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอก กระโหลกร้าว หรือความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง โดยใช้ได้ทั้งในกรณีฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุศีรษะ ชัก หมดสติ และอาการทางระบบประสาท ไปจนถึงการติดตามโรคเรื้อรังหรือวางแผนการรักษา ทั้งนี้การตรวจไม่เจ็บ ใช้เวลาสั้น และมีขั้นตอนที่ปลอดภัย โดยสามารถรับการตรวจได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมให้บริการด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจวินิจฉัยอาการ ความผิดปกติทางสมองและระบบประสาทอย่างปลอดภัย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CT Scan สมอง (FAQ) การทำ CT Scan สมอง เป็นการตรวจหาความผิดปกติที่สามารถใช้ได้หลายส่วนของร่างกาย โดยมีคำถามและคำตอบที่พบบ่อยเพื่อให้เข้าใจ CT Scan สมอง ให้มากขึ้นกัน CT Scan สมองใช้เวลานานไหม เครื่อง CT Scan ให้ผลตรวจวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาตรวจเพียงประมาณ 10 – 15 นาทีเท่านั้น CT Scan สมองต้องฉีดสีไหม การตรวจ CT มักต้องฉีดสารทึบรังสีเพื่อเพิ่มความชัดเจนของภาพ ซึ่งสารนี้มักมีส่วนประกอบของไอโอดีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไตได้ จึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่ก่อนแล้ว การทำ CT Scan สมองต้องถอดเสื้อผ้าไหม การทำ CT Scan สมองโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมด แต่ควรสวมเสื้อผ้าหลวมๆ ที่ไม่มีส่วนประกอบของโลหะ เช่น ซิปหรือเข็มขัด และต้องถอดเครื่องประดับ เช่น แว่นตา ฟันปลอม หรือเครื่องประดับอื่นๆ ที่อาจรบกวนการสร้างภาพ ในบางกรณีอาจต้องเปลี่ยนใส่ชุดที่โรงพยาบาลจัดให้เพื่อความสะดวกในการตรวจ
𝑮𝙖𝒎𝙢𝒂 𝑲𝙣𝒊𝙛𝒆 เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทางเลือกใหม่ของการรักษา “โรคทางสมองและระบบประสาท” ด้วยการฉายรังสีไปยังจุดเป้าหมายอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดศีรษะ และไม่ต้องพักฟื้นนาน โรคที่สามารถเข้ารักษาได้ ความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง (ชนิดเนื้อร้ายและเนื้องอกที่ไม่เป็นอันตราย) โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า มะเร็งสมองที่แพร่กระจายจากอวัยวะอื่นๆ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ทั้งนี้ หากมีอาการผิดปกติทางสมองหรือระบบประสาท อาทิ ปวดหัวเรื้อรัง มีอาการชาบริเวณใบหน้า หรือชักโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด สอบถามเพิ่มเติม ศูนย์สยามแกมมาไนฟ์เซ็นเตอร์ อาคาร 2 ชั้น B 02-561-1111 ต่อ 2032 #GammaKnife #โรคทางสมอง #ไม่ต้องผ่าตัด #เทคโนโลยีทางการแพทย์ #เนื้องอกสมอง #พาร์กินสัน #มะเร็งสมอง #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved