การทำงานอย่างมีความสุข

การทำงานอย่างมีความสุข นพ. วิชนาท สีบุญเรือง  แพทย์อาชีวเวชศาสตร์          งานเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของเราทุกคน บางครั้งท่านคงรู้สึกเหนื่อยล้ากับการทำงานมากมาย ทั้งกายและทางใจ ในวันนี้ผมจะมาเสนอแนวคิดที่จะทำให้ทุกท่านมีความเหนื่อยล้าทางกายจากการทำงานน้อยลง โดยที่ผลงานไม่เปลี่ยนจากเดิม หลายท่านคงจะสงสัยว่าจะทำได้อย่างไร        ภาวะเหนื่อยหล้าจากการทำงานในบางครั้ง ไม่ได้เกิดจากการทำงานหนักเท่านั้น หากแต่การทำงานที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ยังทำให้เกิดการปวดเมื่อยล้ามากกว่าที่ควรจะเป็น การทำงานที่ถูกสุขลักษณะ หรือ ตรงตามหลัก กายศาสตร์ จะช่วยให้ปวดเมื่อยหล้า หรือเหนื่อยจากการทำงานน้อยลงได้ในระดับหนึ่ง         อย่างเช่น การทำงานกับคอมพิวเตอร์ หลายท่านคงมีอาการ ปวดศีรษะ ปวดข้อมือ และปวดไหล่ ซึ่งอาการเหล่านี้ จะทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานมากขึ้น หากท่านลองปรับสภาพการทำ   งานให้ถูกสุขลักษณะ ก็จะช่วยลดอาการเหล่านี้ให้น้อยลง          และสำหรับผู้ที่ขับรถนานๆ ตลอดเวลา เช่น Sale การนั่งขบรถต่อเนื่องเวลานานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก และเกร็งตัว(อยู่ในท่าเดิมตลอด) ก็ควรจอดพักรถทุกชั่วโมงครึ่ง ถึงสองชั่วโมง ในสถานที่ปลอดภัย เช่น ปั๊มน้ำมัน เพื่อทำการเปลี่ยนอิริยาบถ และยืดกล้ามเนื้อเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อ เกร็งตัวมากเกินไป และยังมีงานอีกหลายประเภท ที่การปรับท่าทางหรือสภาพการทำงานให้ถูกสุขลักษณะก็ จะช่วยทำให้คุณภาพชีวิตในการทำงานของทุกคนดีขึ้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มาตรวจสุขภาพ ตามความเสี่ยงกันเถอะ

         พูดถึงการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยง หลายท่านอาจนึกถึง ความเสี่ยงจากการที่เรามีประวัติครอบครัว (บิดา,มารดา) เป็นโรคเรื้อรังต่างๆที่อาจส่งผลมาถึงเรา  ความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตเช่นการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การทานอาหารมัน หรือความเสี่ยงจากสภาวะสุขภาพเช่น หลายท่านอาจรู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่น ซึงอาจสัมพันธ์กับโรคทางระบบหายใจหรือระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น แต่ในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงจากการทำงาน                ความเสี่ยงจากการทำงานเกิดขึ้นจากการสัมผัสสิ่งคุกคามในรูปแบบต่างๆตามลักษณะงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้  เช่น สิ่งคุกคามทางกายภาพ (การทำงานในที่เสียงดัง,การทำงานกับรังสี,การทำงานที่มีแรงสั่นสะเทือน etc.) สิ่งคุกคามทางชีวภาพ(เชื้อโรคต่างๆ) สิ่งคุกคามด้านสารเคมีประเภทต่างๆ รวมถึงการทำงานที่ผิดหลักการยศาสตร์ เป็นต้น ดังนั้นการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงจึงถือเป็นการเฝ้าระวังความผิดปกติของสุขภาพที่อาจเกี่ยวเนื่องจากการทำงานได้แต่เนิ่นๆ   ซึ่งประกอบด้วย 1.การตรวจร่างกายโดยแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ (Physical Examination)             แพทย์จะทำการซักประวัติการทำงาน และตรวจร่างกายเพื่อค้นหาอาการและอาการแสดงที่สัมพันธ์กับความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น การตรวจการทำงานของระบบประสาทในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับสารตัวทำละลาย การตรวจหาโรคผิวหนังอักเสบในผู้ที่ทำงานสัมผัสสารระคายเคือง และสารก่อภูมิแพ้ เป็นต้น 2.การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry)             ตรวจในผู้ที่ทำงานสัมผัสเสียงดัง โดยพบว่าในผู้ที่ทำงานสัมผัสเสียงดังนั้น การได้ยินที่เสียงความถี่สูงจะเริ่มแย่ลงก่อน จากนั้นถ้ายังสัมผัสเสียงดังต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง การได้ยินที่ความถี่เสียงพูดคุยจะแย่ลงตามมา(หูตึง)             การตรวจสมรรถภาพการได้ยินจะช่วยบอกถึงความสามารถในการได้ยินเสียงที่ความถี่ต่างๆ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการช่วยคัดกรองความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้แต่แรกเริ่มจากการสัมผัสเสียงดัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดภาวะประสาทหูเสื่อมจากการสัมผัสเสียงดังขึ้น 3.การตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry)             การทำงานบางประเภทอาจต้องสัมผัสกับสารที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น ผู้ที่ทำงานสัมผัสกับฝุ่นฝ้ายอาจมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือการทำงานสัมผัสสารบางประเภท(เช่น แป้งสาลี , สารจำพวก latex , isocyanate ) อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหอบหืดได้ เป็นต้น             การตรวจสมรรถภาพปอดจึงเป็นการคัดกรองความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจจากการสัมผัสสารต่างๆดังที่ได้ยกตัวอย่างมา  4.การตรวจสมรรถภาพสายตาทางอาชีวเวชศาสตร์ (Occupational Vision Test)             เนื่องจากงานในแต่ละประเภทจำเป็นต้องใช้สมรรถภาพของสายตาที่แตกต่างกันออกไป เช่นพนักงานขับรถ อาจต้องใช้ความคมชัดของสายตาในการมองภาพระยะไกล การกะระยะความชัดลึก การมองภาพสี และลานสายตาที่ดีพอ ในขณะที่ผู้ที่ทำงานเจียระนัยเพชร พลอย อาจต้องใช้ความคมชัดของสายตาในการมองภาพระยะใกล้ที่ดี              การตรวจสมรรถภาพสายตาทางอาชีวเวชศาสตร์  จึงเป็นการตรวจเพื่อประเมินว่าสมรรถภาพสายตาของผู้เข้ารับการตรวจนั้นดีเพียงพอกับลักษณะงานที่ทำหรือไม่ เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวสามารถประเมินได้ถึง ความคมชัดของสายตาทั้งระยะไกลและระยะใกล้ ลานสายตา การกะระยะความชัดลึก การมองภาพสี ตลอดจนความสมดุลของกล้ามเนื้อตา 5.การตรวจสารบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarkers)             การทำงานในหลายๆกิจการล้วนต้องมีการสัมผัสสารเคมีประเภทต่างๆ เช่น สารโลหะหนัก(ตะกั่ว,สารหนู etc.),สารตัวทำละลาย(เบนซีน,โทลูอีน etc.),สารปราบศัตรูพืช เป็นต้น ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณที่สูง อาจก่อให้เกิดภาวะเป็นพิษจากสารเคมีต่างๆเหล่านั้น  โดยเราสามารถตรวจระดับการรับสัมผัสสารนั้นๆว่าเข้าสู่ร่างกายสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่หน่วยงานต่างๆกำหนดไว้หรือไม่ด้วยการตรวจสารบ่งชี้ทางชีวภาพ ผ่านทางเลือดหรือปัสสาวะ ในรูปของสารนั้นโดยตรงหรือผ่านทางเมตาโบไลท์ของสารนั้นๆ             การตรวจสารบ่งชี้ทางชีวภาพ จะช่วยคัดกรองถึงระดับการรับสัมผัสสารนั้นๆเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นการเฝ้าระวังทางสุขภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติจากการสัมผัสสารเคมีต่างๆเหล่านั้น 6.การตรวจอื่นๆ              การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับรังสี  การตรวจเอ็กซเรย์ปอด ในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับฝุ่นซิลิกา เป็นต้น             ในการตรวจสุขภาพ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์จะเป็นผู้แนะนำรายการตรวจที่เหมาะกับผู้ทำงานในแต่ละท่าน โดยดูจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากลักษณะงาน            หวังว่าอ่านบทความนี้แล้ว ทุกท่านคงหันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเภทของงาน ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ  และช่วยให้ทุกท่านสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป            น.พ.ณัฐพล ประจวบพันธ์ศรี        แพทย์อาชีวเวชศาสตร์(วุฒิบัตร) ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพและอาชีวอนามัย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม