ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. ต้อหิน ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

 ต้อหิน ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม โรคต้อหิน เกิดจากความเสื่อมของขั้วประสาทตา ซึ่งขั้วประสาทตา เป็นศูนย์รวมของใยประสาทตาที่เชื่อมระหว่างตาไปยังสมอง เมื่อมีความเสื่อมเกิดขึ้น ทำให้คนไข้ตามัวลงเรื่อยๆ จนตาบอดในที่สุด สาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมของขั้วประสาทตา มาจากมีความดันในลูกตาที่สูงมากขึ้นเกินปกติ โดยปกติคนทั่วไปจะมีค่าความดันลูกตาที่ไม่เกิน 21 มิลลิเมตรปรอท สำหรับคนไข้ต้อหินมีจะความดันในลูกตาที่สูงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดแรงดันในลูกตาไปกดทับเส้นประสาทตา เส้นประสาทตาก็จะค่อยๆ เสื่อมมากขึ้นและตาบอดในที่สุด   สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่คนไข้จะมีโอกาสเป็นต้อหิน ได้แก่ คนที่มีประวัติครอบครัว เป็นต้อหิน หรือญาติสายตรงเป็นโรคต้อหิน กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความเสี่ยงกว่าคนปกติถึง 9 เท่า คนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคไมเกรน นอกจากนั้น คนไข้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากกว่าปกติ ก็มีความเสี่ยงมากขึ้น ,คนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุทางตามาก่อน ทำให้เกิดเลนส์ตาเคลื่อน หรือมีกายวิภาคของตาผิดปกติไปจากเดิม  คนไข้ที่ใช้ยาบางตัวอยู่เป็นประจำ เช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ ทั้งในรูปแบบของการยาหยอดตา ยารับประทาน หรือแม้แต่ยาพ่นก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินมากกว่าคนปกติ   สัญญาณเบื้องต้นของโรคต้อหินนั้น จริงๆ แล้ว คนไข้โรคต้อหินส่วนใหญ่จะไม่มีอาการในระยะแรก เพราะคนไข้ 70-80% เป็นประเภทต้อหินเรื้อรัง คนไข้กลุ่มนี้จะมีความดันลูกตาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ทำให้เกิดความเคยชินกับความดันลูกตาที่ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น จึงไม่เกิดอาการปวดรุนแรง แต่ว่าคนไข้มีอาการจะเริ่มตามัวลงอย่างช้าๆ โดยที่การสูญเสียการมองเห็นจะเริ่มมาจากด้านข้าง ทำให้ลานสายตาค่อยๆแคบลง จนกระทั่งมัวบริเวณตรงกลางที่มอง คนไข้ถึงจะรู้สึกตัวว่าการมองเห็นลดลง จึงมาหาหมอ ซึ่งเป็นระยะท้ายของโรคแล้ว    ดังนั้น โรคต้อหินมุมเปิดเรื้อรังจึงไม่มีอาการในระยะแรกของโรค ยกเว้นถ้าเป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน จึงจะมีอาการปวดตารุนแรง ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการก็ควรมาตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะคนไข้กลุ่มเสี่ยง ระยะเวลาสำหรับคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มผู้สูงมากกว่า 40 ปี อายุควรตรวจเป็นประจำทุกปี และไม่ควรซื้อยามาหยอดเอง ควรใช้ยาในความดูแลของแพทย์ ได้เพียงแค่ให้การมองเห็นที่มีอยู่ทรงตัวไม่ให้แย่ลง เพราะฉะนั้นควรตรวจพบในระยะแรกมีความสำคัญ เพื่อการรักษาที่ดี และป้องกันตาบอดให้ได้มากที่สุด   โดย พญ.ฤทัยรัตน์ วินิจฉัย จักษุแพทย์ สาขาต้อหิน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

รากฟันเทียม คืออะไร

รากเทียม(Implant) คือ วัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันทำจากไทเทเนียม (Titanium) ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยต่อร่างกาย โดยจะใช้สำหรับฝังเข้าไปในขากรรไกรเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป จากนั้นทันตแพทย์จะยึดติดครอบฟันเข้ากับรากเทียม    ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อฟันถูกถอนไป   1.ฟันที่อยู่ข้างเคียงกับช่องว่างฟันจะล้มเข้าหาช่องว่าง ทำให้การเรียงตัวของฟันและตำแหน่งฟันผิดปกติไป 2.เศษอาหารติดซอกฟันมากขึ้น เมื่อมีช่องว่างฟันเกิดขึ้นฟันข้างเคียงจะขยับเข้ามาในช่องว่าง ทำให้ฟันที่เหลืออยู่ที่เคยชิดกันจะห่างมากขึ้นอาจนำไปสู่ปัญหาเศษอาหารติดตามระหว่างซี่ฟันหรือซอกฟันมากขึ้น 3.การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพลดลง เพราะเหลือฟันที่ใช้บดเคี้ยวน้อยลง 4.ในกรณีที่ฟันที่เป็นคู่สบกับฟันที่ถูกถอนเป็นฟันบนก็จะงอกย้อยลงข้างล่างมากขึ้น แต่ถ้าคู่สบเป็นฟันล่างก็จะค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างบนมากขึ้น เนื่องจากฟันที่ถูกถอนไปเคยสบกัน ค้ำยันเอาไว้ พอถูกถอนไปทำให้ไม่มีฟันสบค้ำยัน ในกรณีที่ทิ้งช่องว่างไว้หลายๆปี อาจทำให้คู่สบเคลื่อนออกมาจนรากฟันโผล่และต้องถอนฟันไปในที่สุด 5.กระดูกบริเวณที่ฟันถูกถอนไปมีการละลายมากขึ้น เนื่องจากโดยธรรมชาติเมื่อกระดูกไม่มีฟันอยู่ ทำให้กระดูกบริเวณนั้นไม่ได้ใช้งาน ก็จะเกิดการละลายไปเรื่อยๆทำให้กระดูกแคบและเตี้ยลง 6.ในกรณีที่สูญเสียฟันหน้าบนและล่างหลายซี่เป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกขากรรไกรละลาย มีการยุบตัว ส่งผลให้ใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลง คือใบหน้าดูสั้นขึ้นและคางยุบเข้าไป ทำให้ใบหน้าดูสูงอายุมากกว่าปกติ 7.เพิ่มโอกาสเป็นโรคปริทันต์หรือเหงือกอักเสบเพราะเมื่อฟันถูกถอนไปทำให้การดูแลทำความ สะอาดยากขึ้นส่งผลให้เหงือกอักเสบและเกิดฟันผุได้ 8.สูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้ายิ้ม กลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นช่องว่างฟันที่ถูกถอนไป   ข้อดีของการทำรากฟันเทียม   1.เป็นการใส่ฟันติดแน่นถาวร ที่ช่วยทดแทนฟันที่สูญเสียไป 2.ทำให้มีฟันในการบดเคี้ยวอาหาร ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น 3.มีความสะดวกสบายเพราะรากเทียมเป็นฟันติดแน่นถาวร ทำให้ไม่รู้สึกรำคาญ หรือกดเจ็บจากฟันปลอมถอดได้ 4.ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีและมีความมั่นใจในรอยยิ้ม เพราะรากเทียมดูคล้ายกับฟันธรรมชาติ 5.ช่วยทดแทนการทำสะพานฟัน โดยปกติการทำสะพานฟันต้องมีการกรอแต่งฟันธรรมชาติที่อยู่ข้างหน้า และข้างหลังของช่องว่างฟัน แต่การทำรากเทียม ไม่ต้องไปรบกวนฟันที่อยู่ข้างเคียงของช่องว่างฟัน ทำให้ไม่ต้องกรอฟันธรรมชาติโดยไม่มีความจำเป็น   ขั้นตอนในการทำรากเทียม แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ คือ   1.การตรวจประเมินสภาพในช่องปากเพื่อวางแผนการรักษา ผู้ป่วยมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินช่องปากก่อนว่าตำแหน่งที่ฟันถูกถอนไปมีความพร้อมและเหมาะสมที่จะฝังรากเทียมหรือไม่ มีการถ่ายภาพรังสีทั้งแบบธรรมดา และแบบ3มิติ (3D Cone Beam CT) เพื่อดูความกว้างและความสูงของกระดูกบริเวณที่จะฝังว่าเพียงพอหรือไม่ จากนั้นทันตแพทย์จะวิเคราะห์และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม 2.การผ่าตัดฝังรากเทียม หลังจากวางแผนการรักษาเรียบร้อยแล้วทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดฝังรากเทียมเข้าไปในกระดูกขา กรรไกรโดยใช้ยาชาฉีดก่อนทำการผ่าตัด จากนั้นนัดตัดไหมและดูแผล 7-14 วันหลังการผ่าตัด และทิ้งช่วงรอเวลาให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรประมาณ 3-6 เดือน  3.การต่อส่วนแกนและครอบฟัน เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปาก และเลือกแกนหลัก(Abutment)ที่เหมาะสมกับตำแหน่งฟันซี่นั้น โดยแกนหลักจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างรากเทียมกับครอบฟันด้านบน และทำครอบฟันเพื่อมาสวมใส่ทับบนแกนหลักอีกที โดยจะนัดมาลองครอบฟันหลังจากพิมพ์ปากไปแล้ว 1-2สัปดาห์ คำแนะนำการดูแลรักษารากฟันเทียม               การดูแลรักษารากเทียมเหมือนกับการดูแลฟันธรรมชาติ ถึงแม้ว่ารากเทียมไม่สามารถผุได้ เนื่องจากเป็นโลหะทั้งซี่ แต่รากเทียมสามารถเป็นโรคปริทันต์หรือว่าโรคเหงือกอักเสบเหมือนกับฟันธรรมชาติได้ ซึ่งถ้าเป็นโรคเหงือกอักเสบจะทำให้กระดูกรอบๆรากเทียมมีการละลาย และในที่สุดกระดูกรอบรากเทียมไม่เพียงพอที่จะรองรับ จะทำให้รากเทียมโยกและหลุดออกมาได้ ดังนั้นการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน การทำความสะอาดอย่างถูกต้องรวมถึงการตรวจสุขภาพช่องปากสม่ำเสมอมีความสำคัญทั้งรากเทียมและฟันธรรมชาติ ซึ่งข้อปฏิบัติการดูแลมีดังนี้   •ควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารและก่อนเข้านอน อย่างน้อยวันละ2ครั้ง •ควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ1-2ครั้ง หรือใช้แปรงซอกฟันในการทำความสะอาดซอกฟัน •ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและรากเทียมตามที่ทันตแพทย์นัด หรืออย่างน้อยทุก6เดือน   ด้วยความปรารถนาดี  ทพญ.กัญธนัช  ฉัตรวรัทธนา  ศูนย์ทันตกรรม รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

จัดฟันแบบใส Invisalign คืออะไร ข้อดี-ข้อเสีย ราคาเท่าไร? ทำไมดาราชอบทำ

การจัดฟันแบบใส  Invisalign เป็นระบบจัดฟันแบบดิจิทัลที่ทันสมัย Invisalign จะค่อย ๆ เคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่กำหนดไว้อย่างถูกต้อง คาดการณ์ผลลัพธ์ของการจัดฟันได้ ทันตแพทย์จะวางแผนการเคลื่อนฟันด้วยซอฟต์แวร์ที่สามารถจำลองการเคลื่อนตัวของฟันได้แม้ขยับเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องรอจนจัดฟันเสร็จ ก็ทราบผลลัพธ์ได้ เป็นการจำลองภาพ 3 มิติ ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะเฉพาะแต่ละคน มีการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมจะคำนวณหาแรงที่เหมาะสมสำหรับทุกการเคลื่อนที่ของฟัน โดยใช้ซอฟต์แวร์ และการวางแผนโดยทันตแพทย์ ฟันทุกซี่จะเคลื่อนตัวตามแผน ที่วางไว้และในเวลาที่เหมาะสม การใส่อุปกรณ์จัดฟันแบบใส อุปกรณ์จัดฟันแบบใสจะต้องสวมอุปกรณ์จัดฟันแต่ละชุดประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับคำสั่งของทันตแพทย์ อาจมีการนัดทุก  6-8 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการจัดฟัน และตอนสวมอุปกรณ์จัดฟันชุดใหม่จะรู้สึกว่ามีแรงกดมากเป็นพิเศษหรือเจ็บในช่วงสองสามวันแรก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และต้องใส่อุปกรณ์จัดฟันแบบใส Invisalign 20-22 ชั่วโมงต่อวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อุปกรณ์จัดฟันแบบใสของเด็กจะมีตัวตรวจสอบสีน้ำเงินสำหรับตรวจดูระยะเวลาการใส่อุปกรณ์จัดฟัน จึงตรวจสอบได้ว่ามีการสวมอุปกรณ์จัดฟันนานเพียงพอหรือเปล่า  การใส่ Invisalign ปกติต้องใส่ตลอดเวลา ยกเว้นเวลารับประทานอาหาร กับเวลาแปรงฟัน ตอนนอนเราก็ใส่ แต่ช่วงเวลาไหนที่ไม่สามารถใส่ได้เราก็ถอดได้ เช่น เล่นกีฬาก็ไม่ควรใส่ หรือดาราออกกล้องถ่ายอยู่ ช่วงนั้นก็ถอดออกได้ แต่ถ้าเวลาปกติใส่ให้มากที่สุด การทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟันแบบใส ล้างอุปกรณ์จัดฟันทุกคืนและแปรงเบา ๆ ด้วยแปรงสีฟัน เพื่อให้อุปกรณ์จัดฟันสะอาดและสดชื่น ใช้ชุดล้างทำความสะอาด Invisalign โดยตรง เพื่อให้อุปกรณ์จัดฟันสะอาดอยู่เสมอ รับประทานอาหารจานโปรดได้เหมือนเดิม เพียงก่อนรับประทานอาหาร แค่ถอดอุปกรณ์จัดฟันแบบใสออก และแปรงฟันก่อนสวมอุปกรณ์จัดฟันอีกครั้ง เล่นกีฬาและทำกิจกรรมสุดโปรดได้ทุกอย่าง หมดกังวลเรื่องเหล็กจัดฟันหลุดหรือลวดหัก อุปกรณ์จัดฟันแบบใส Invisalign แทบมองไม่เห็น จนมองไม่ออกว่าใช้อุปกรณ์จัดฟันอยู่ การจัดฟันแบบใส (Invisalign) เริ่มจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไป ข้อดี การดูแลและทำความสะอาดฟันทำได้ง่าย  ไม่ต่างจากการแปรงฟันทั่วไป แปรงสีฟันก็ใช้แปรงธรรมดา ไม่ต้องเป็นแบบพิเศษเหมือนคนที่จัดฟันแบบใส่เหล็กดัด และยังไม่ต้องกังวลว่าจะมีเศษอาหารอะไรมาติดที่เหล็กดัดฟันจนทำให้ขาดความมั่นใจ แถมยังสามารถใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติอีกด้วย อุปกรณ์จัดฟันแบใสสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ เพราะทำจาก SmartTrack® ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่น ต่อการถอดและใส่เป็นอย่างมาก จนสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ แทบจะมองไม่เห็น คนที่สนทนากับเรานั้นส่วนใหญ่แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเราดัดฟันแบบใสอยู่ อันนี้จึงเป็นข้อดีที่สำคัญของการดัดฟันแบบใส invisalign เพราะผู้ที่สนทนากับเราก็จะได้ให้ความสนใจในสิ่งที่เราพูด โดยที่ไม่ถูกเหล็กดัดฟันดึงความสนใจไป ระหว่างการรักษาจะเห็นภาพทุกขั้นตอนของการรักษา ใส่อุปกรณ์แบบใส invisalign แล้วรู้สึกสบายเหมือนไม่ได้ใส่แผ่นใสครอบฟันอยู่ จนบางครั้งลืมไปเลยว่านี่เราดัดฟันอยู่ ไม่ต้องทนเจ็บที่จะต้องมาดึงเหล็กดัดทุกเดือน จนต้องทานแต่โจ๊กไป 2-3 วัน ในขณะที่ดัดฟันแบบใส invisalign สามารถทานอาหารทุกอย่างได้ตามปกติโดยที่ไม่ปวดฟันเลย  ข้อเสีย การจัดฟันแบบนี้มีราคาจะค่อนข้างสูงกว่าธรรมดาประมาณ 1 เท่าตัว เนื่องจากเป็นอุปกรณ์นี้ต้องสิ่งผลิตมาเฉพาะบุคคลจากต่างประเทศ โดยผลิตตามการออกแบบของทันตแพทย์แต่ละท่าน เปรียบเทียบกับการจจัดฟันแบบธรรมดา (แบบใช้เหล็กดัด) คนที่ใช้ Invisalign ไม่ต้องมีเหล็กติดอยู่ที่ตัวฟัน เพราะฉะนั้นจะไม่รู้สึกรำคาญ เวลาจะทานอาหารก็ถอดออกมาเก็บ แล้วก็ใช้ฟันปกติเคี้ยวอาหาร เวลาจะแปรงฟันก็ถอดเครื่องมือออกมา แล้วก็แปรงฟันตามปกติ ดูแลง่ายกว่าการดัดฟันแบบเหล็ก เหมาะกับคนทั่วไปและคนที่กลัวเจ็บ รำคาญ ระคายเคือง บางอาชีพห้ามใส่เหล็กดัดฟัน เช่น พิธีกร แอร์โฮสเตสในบางสายการบินใส่ หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าดาราปัจจุบันจำนวนมากเลยดัดฟันด้วยวิธีนี้ ระยะเวลาในการจัดมักจะจัดเสร็จเร็วกว่าการจัดฟันแบบธรรมดา  พบทันตแพทย์ไม่บ่อยเท่าการจัดฟันแบบธรรมดา ระยะเวลารักษา ระยะเวลาการรักษาก็แล้วแต่ละคน    โดยทั่วไปประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี การเลือกสถานที่หรือแพทย์ที่จะรับบริการ เนื่องจากการจัดฟันแบบใส (Invisalign) เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นตามคำสั่งของแพทย์ การรักษาด้วยอุปกรณ์แบบใส อินวิสไลน์ (Invisalign) โดยแพทย์แต่ละท่านจะให้ผลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่ รพ.วิภาวดี เราให้บริการพร้อมวางแผนและรักษาด้วยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อินวิสไลน์ (Invisalign) ระดับ Diamond Provider จึงทำให้มั่นใจได้ถึงผลการรักษาที่สมบูรณ์แบบ แพทย์ ทพ. ณพงษ์ พัวพรพงษ์ ศูนย์ทันตกรรมและทันตกรรมเฉพาะทาง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. เสียงในหู และหูดับ

เสียงในหู และหูดับ       หู เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ในการได้ยิน และการทรงตัว ทำงานด้วยพลังงานกลและพลังงานไฟฟ้า (Mechanic and Electrical  Impulse) ซึ่งจะส่งกระแสประสาทไปสู่สมองโดยตรง ทำให้การได้ยินและการทรงตัวเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เมื่อใดก็ตามที่หูข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ ก็จะส่งผลต่อร่างกาย เช่น มีอาการหูอื้อ เวียนศีรษะ หรือไม่สามารถทรงตัวได้ เมื่อเคลื่อนไหวก็จะเกิดอาการโคลงเคลง ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หูจึงมีความสำคัญมากกับมนุษย์นั่นเอง        การได้ยินเสียงดังอยู่ข้างใน โดยทั่วไปจะหมายถึงโรคที่หูเราได้ยินเสียงดังผิดปกติ ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม เสียงนั้นอาจจะมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริงก็ได้ สาเหตุมีทั้งโรคที่เกิดจากหูโดยตรง และโรคที่ไม่ได้เกิดจากหู ยกตัวอย่างเช่น ยาบางชนิด หรือภาวะไทรอยด์เป็นพิษก็ทำให้ได้ยินเสียง เหมือนมีเสียงดังในหูได้ หรืออาจจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับหูโดยตรง เช่น มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับหู มีความผิดปกติของเส้นเลือดในบริเวณที่อยู่ใกล้ๆ กับหู หรือในสมอง หรืออาจจะเกี่ยวกับเรื่องเนื้องอกที่ช่องหูหรือในสมอง โรคเวียนศีรษะ น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือที่เราพบบ่อยที่สุดก็คือ โรคประสาทหูเสื่อม ทำให้เราได้ยินเสียงดังผิดปกติในหูเหมือนกัน          เสียงดังในหูที่ดังผิดปกติที่อาจจะได้ยินเป็นเสียงลักษณะเสียงลม เสียงเครื่องจักร เสียงจิ้งหรีดร้องหรือว่าคล้ายๆ เสียงกลอง เป็นจังหวะ หรือเสียงฟู่ๆ เหมือนจังหวะหัวใจเต้น ก็เป็นไปได้หมด ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติว่าคือตรงไหน หากไม่แน่ใจ แนะนำให้มาตรวจ พบแพทย์เชี่ยวชาญทางด้านคอ หู จมูก ทุกราย เพื่อจะได้แยกหาสาเหตุที่สามารถรักษาได้ โรคบางอย่างทิ้งไว้ก็อันตราย   สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือมักจะมาจากประสาทหูเสื่อม สาเหตุจากประสาทหูเสื่อมจะมาได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเสื่อมตามวัย อายุที่มากขึ้น หรือว่าได้รับเสียงที่ดังมาเป็นเวลานาน ทำให้ประสาทหูเสื่อม หรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วถ้าเกิดจากประสาทหูเสื่อม ก็จะรักษาไม่ได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เกิดตามหลังประสาทหูเสื่อม ก็อาจจะดังอยู่แบบนั้น รักษาไม่หาย แต่ถ้าเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับโรคอื่นๆ เช่น เนื้องอก ความผิดปกติของเส้นเลือด ถ้าเรารักษาที่สาเหตุ ก็จะทำให้เสียงดังจากหูหายไปได้   ส่วนโรคหูดับ หมายถึงการสูญเสียการได้ยินแบบทันทีทันใด หรือ เฉียบพลัน โดยทั่วไปไม่เกิน 3 วัน จากที่หูได้ยินชัดเจน อยู่ๆ ก็ได้ยินน้อยลงไปทันที หรือแทบไม่ได้ยินเลย อย่างนี้เรียกกว่ากลุ่มอาการของโรคหูดับ ซึ่งโรคหูดับก็มีสาเหตุหลายอย่างเช่นกัน อาจจะเกี่ยวกับโรคของหูโดยตรง หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับโรคของหูก็ได้ หรือโรคของหูก็มีทั้งการติดเชื้อไวรัส ความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนของหูชั้นใน หรือในสมอง หรือเนื้องอก ก็จะเป็นประสาทหูเสื่อมอย่างเฉียบพลัน การรักษานั้นต้องดูที่สาเหตุว่าเกิดจากอะไร โดยทั่วไปแนะนำผู้มีปัญหาเรื่องหูดับให้รีบพบแพทย์ เพราะยิ่งพบแพทย์เร็วก็ยิ่งมีโอกาสที่จะหายมากขึ้น โรคบางอย่างที่มีการอักเสบแล้ว ถ้ามาพบแพทย์ช้า ได้รับการรักษาช้า โอกาสฟื้นก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ            อาการที่ทำให้เรารู้ว่าประสาทหูใกล้จะเสื่อมคือ โดยทั่วไปหลังจากที่เราได้ยินเสียงดังๆ มา หูเราจะอื้อไปสักพักหนึ่ง อย่างเวลาไปคอนเสิร์ต หรืออยู่ในที่เสียงดังๆ นั่นแหละคืออาการเตือนว่าเราเริ่มประสาทหูเสื่อมแล้ว  โดยทั่วไปเมื่อเราอายุมากขึ้น ประสาทหูก็จะเสื่อมตามวัย แต่ประสาทหูเสื่อมมีทั้งกรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมก็คืออยู่ในที่เสียงดังๆ อย่างเสียงระเบิดเป็นต้น เสียงดังมากๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ประสาทหูเสื่อมได้เลย หรือเสียงดังไม่มากเท่าไหร่ แต่อยู่เป็นเวลานานๆ ก็ทำให้ประสาทหูเสื่อมได้เหมือนกัน เช่น อยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีเครื่องจักรที่เสียงดัง ที่สนามบิน มีเสียงดัง ทำงานอยู่หลายชั่วโมง ก็สามารถประสาทหูเสื่อมได้เช่นกัน และในปัจจุบันที่พบเจอได้บ่อยๆ เลยคือ ใส่หูฟัง ฟังเพลงเสียงดังๆ และดังนานๆ ฟังไปแล้วก็นอนหลับไปด้วย ก็ทำให้ประสาทหูเสื่อมได้เช่นกัน            เสียงในหู ส่วนใหญ่จะเกิดจากประสาทหูเสื่อม ซึ่งเสียงดังในหูเป็นผลลัพธ์ของประสาทหูเสื่อม ทำให้เราได้ยินเสียงดังผิดปกติในหู ซึ่งเสียงไม่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้นก็ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และก็ไม่ได้แปลว่าจะมีโรคอะไรซ่อนอยู่ ไม่ต้องกังวล ก่อให้เกิดความรำคาญอย่างเดียว            น้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะเสียงดังในหู เนื่องจากในหูชั้นในของเราประกอบไปด้วยน้ำ เป็นน้ำอยู่ข้างใน โรคน้ำในหูไม่เท่ากันก็คือ มีความผิดปกติของสมดุลของน้ำในหู มากเกินไป อาการส่วนใหญ่ก็จะมาด้วยอาการเวียนศีรษะเป็นหลัก การได้ยินลดลง รวมถึงมีเสียงดังในหูด้วย ซึ่งต้องมีอาการเวียนศีรษะ ถ้าเกิดคนทั่วไปที่มีเสียงดังในหูอาจจะไม่ใช่โรคนี้ โรคน้ำในหูมักจะเป็นซ้ำ เป็นๆ หายๆ มีช่วงสงบ มีช่วงเป็นเยอะ แต่จริงๆ แล้วโรคน้ำในหูไม่เท่ากันเป็นโรคที่เจอไม่บ่อยนัก เมื่อเทียบกับโรคเวียนหัวอื่นๆ แต่ก็เจอบ้าง โดยทั่วไปพวกนี้สัมพันธ์กับความเครียดก็กระตุ้นให้มีอาการนี้ได้ การกินอาหารที่เค็ม ก็จะทำให้คนไข้ที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันกำเริบขึ้นมาได้ ต้องกินยา และดูแลตัวเองในเรื่องของการกินอาหาร            คนไข้ที่มารักษา ส่วนใหญ่จะเป็นโรคเกี่ยวกับหูชั้นนอก เช่น ขี้หู หูอักเสบบ้าง แคะหู ว่ายน้ำ ดังนั้น เพื่อสุขภาพหูที่ดีที่สุดก็คือป้องกันไม่ให้มีโรค อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าประสาทหูเสื่อมเกี่ยวเนื่องมาจากการได้ยินเสียงดัง และบางทีเราไม่ทราบว่ามันดังแค่ไหน ยิ่งดังมากก็ยิ่งเสื่อมเร็ว หรือดังไม่มากแต่ต้องอยู่เป็นเวลานาน ก็ทำให้ประสาทหูเสื่อมได้ เพราะฉะนั้นควรจะหลีกเลี่ยงในการอยู่ในที่เสียงดัง โดยเฉพาะเป็นเวลานานๆ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องอยู่จริงๆ เพราะต้องทำงานหรืออะไรต่างๆ ควรหาวิธีป้องกัน เช่น ใส่ที่ครอบหู Earplug เพื่อลดเสียง ส่วนการฟังเพลงจากหูฟังก็ฟังได้ ถ้าไม่ฟังดังจนเกินไป อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีปัญหา ถ้าดังเกินไปก็จะทำให้เกิดประสาทหูเสื่อมได้    โดย นพ.ดาวิน เยาวพลกุล   แพทย์ด้าน หู คอ จมูก

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

นอนกรน... ต้นเหตุของโรคร้าย อาจเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

       การนอนกรนก่อปัญหาให้ทั้งผู้ที่มีอาการและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด คนที่มีอาการนอนกรนเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลาย ๆ โรค เช่น โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคสมอง เป็นต้น โรคนอนกรนเกิดจาก การที่ลมผ่านทางท่อหายใจที่แคบลงและเกิดการสั่นไหวรอบ ๆ ของเนื้อเยื่อคอ เช่น เพดานอ่อนลิ้นไก่ ก็เลยเกิดเป็นเสียงกรน การนอนกรนเด็กก็สามารถเป็นได้ แต่สาเหตุจะแตกต่างกับผู้ใหญ่  ส่วนในเด็กจะพบว่าสิ่งที่ทำให้เป็นโรคนอนกรนก็คือเนื้อเยื่อในคอมีค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นสาเหตุของโรคนอนกรนก็เกิดจากอะไรก็ตามที่ทำให้ท่อทางเดินหายใจแคบลงนั่นเอง   สาเหตุของโรคนอนกรน      1.เนื้อเยื่อในคอหอยมีปริมาณมาก เช่น ทอนซิลโต       2.คนที่มีน้ำหนักตัวมาก นอกจากไขมันจะไปสะสมอยู่ที่พุงแล้วก็ไปสะสมอยู่บริเวณเนื้อเยื่อรอบคอหอยเช่นกัน      3.โครงหน้าเล็ก ทำให้ท่อทางเดินหายใจเปิดแคบลง ซึ่งจะพบค่อนข้างมากในคนแทบทวีปเอเชีย      4.กล้ามเนื้อหย่อนตัว เช่น เมื่ออายุมากขึ้นกล้ามเนื้อจะหย่อนตัวได้ง่ายขึ้นหรือเป็นโรคระบบประสาท โรคทางสมอง อีกอย่างที่ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนตัวก็คือยา เช่น ยานอนหลับบางชนิด แอลกอฮอล์      5.เพศ เพศชายจะพบมากกว่าเพศหญิงซึ่งฮอร์โมนเพศหญิงเป็นฮอร์โมนที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงตัว   ลักษณะอาการนอนกรน      การนอนกรนคือการนอนที่มีเสียงเกิดขึ้นโดยทั่วไปการนอนปกติจะต้องไม่มีเสียงหรือมีเสียงดังได้แค่เล็กน้อย เพราะฉะนั้นแล้วกรนธรรมดาจะกรนได้แค่เสียงเบา ๆ เท่านั้น แต่ถ้าหากการนอนกรนมีเสียงดังนั่นถือว่าเป็นการนอนกรนที่อันตราย โดยจะแบ่งความรุนแรงออกเป็นทั้งหมด 3  ระดับ คือ        1.ความรุนแรงระดับ 1 คือ การนอนกรนทั่วไป ไม่บ่อย และมีเสียงไม่ดังมาก การนอนกรนในระดับนี้ยังไม่ส่งผลต่อการหายใจในขณะนอนหลับ แต่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของบุคคลที่นอนข้าง ๆ       2.ความรุนแรงระดับ 2 คือ การนอนกรนที่เกิดขึ้นบ่อย หรือมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ การนอนกรนในระดับนี้อาจส่งผลต่อการหายใจในระดับน้อยถึงปานกลางในขณะนอนหลับ และส่งผลให้รู้สึกง่วงและเหนื่อยในเวลากลางวัน      3.ความรุนแรงระดับ 3 คือการนอนกรนเป็นประจำทุกวันและมีเสียงดัง การนอนกรนในระดับนี้มักเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยอาจทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ  10 วินาที ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน   ขั้นตอนการรักษา      1.รักษาด้วยเครื่องอัดอากาศหรือที่เรียกว่า เครื่องซีแพพ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เป็นเครื่องผลิตแรงดันอากาศให้เพียงพอในการเปิดทางเดินหายใจในขณะหายใจทั้งเข้าและออก โดยส่งอากาศเข้าสู่ทางเดินหายใจผ่านทางหน้ากากครอบจมูกหรือปาก      2.การใช้เครื่องมือทางทันตกรรม (Oral Appliance) การใช้เครื่องมือทางทันตกรรมจะช่วยยึดขากรรไกรบนและล่างเข้าด้วยกันและเลื่อนขากรรไกรล่างมาหาทางด้านหน้า ป้องกันไม่ให้ลิ้นและขากรรไกรตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งจะทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้นขณะนอนหลับ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหานอนกรนธรรมดาหรือภาวะก่ำกึ่งระหว่าง กรนธรรมดาและกรนอันตราย       3.การผ่าตัด การผ่าตัดในกรณีที่การปฏิบัติตัวหรือการรักษาวิธีธรรมดาไม่ได้ผล โดยจะช่วยขยายทางเดินหายใจผ่านแสงเลเซอร์ตกแต่งบริเวณเพดานอ่อนลิ้นไก่โคนลิ้น เยื่อบุจมูกให้มีขนาดพอเหมาะทำให้ลมหายใจเข้าออกดีขึ้นเพื่อลดการนอนกรน เมื่อผ่าตัดแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที แต่อาจมีอาการเจ็บแผล  1 สัปดาห์    ภาวะแทรกซ้อนจากการนอนกรน       โรคแทรกซ้อนขณะนอนกรนมีค่อนข้างมาก เนื่องจากเวลาที่หยุดหายใจหรือท่อทางเดินหายใจปิดตัวลงระดับออกซิเจนในร่างกายจะตกลงและร่างกายจะไม่ยอมขาดออกซิเจนต่ออาจทำให้เกิดการตื่นตัวของสมองให้กลับมาหายใจใหม่ ในการตื่นตัวบ่อย ๆ จะส่งผลให้นอนไม่พอทำให้เกิดโรคตามมาหลาย ๆ อย่าง เช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า รวมถึงโรคสมองเสื่อม อีกอย่างเมื่อระดับออกซิเจนลดลงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายเป็นการชดเชยทำให้หัวใจทำงานหนักเป็นช่วง ๆ ยิ่งทำงานหนักบ่อย ๆ ก็เกิดโรคซึ่งโรคที่ตามมา ในกรณีนี้คือโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น โดย นพ.พงศกร  ตนายะพงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านสมองและระบบประสาท

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ในสตรี อาจเกิดจากโรคประจำตัว หรือยาที่ใช้เป็นประจำ

ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้  คือ ภาวะที่มีปัสสาวะซึมหรือไหลออกมาโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ภาวะนี้มีอุบัติการณ์สูงและจะเพิ่มมากขึ้นในสตรีสูงอายุ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในหลาย ๆ ด้านรวมถึงความอับอายทั้งต่อครอบครัวของตนเองและสังคม ผู้ป่วยส่วนมากพยายามปกปิดภาวะดังกล่าวไว้ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ในสตรีมีหลายชนิดอาจมีความซับซ้อนในผู้ป่วยบางราย ที่สำคัญภาวะนี้อาจพบร่วมกับภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อน (Pelvic Organ Prolapse) ได้บ่อย ดังนั้นผู้ป่วยที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและการรักษาที่ถูกต้อง   ชนิดของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Types of Urinary Incontinence) ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้มี 3 ชนิดหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่ 1. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้หลังมีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง(Stress Urinary Incontinence) หรือภาวะไอจามปัสสาวะเล็ด ในภาวะปกติสตรีจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ทำหน้าที่พยุงท่อปัสสาวะให้อยู่นิ่งและช่วยทำหน้าที่อุดกั้นท่อปัสสาวะเมื่อเกิดการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง เช่น การไอหรือจาม การหัวเราะ การออกกำลังกาย แต่หากเกิดการบาดเจ็บหรือความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันดังกล่าวย่อมทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดตามหลังการเพิ่มแรงดันในท้องได้ 2. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้หลังมีอาการปวดปัสสาวะฉับพลัน (Urgency Incontinence) หรือภาวะปัสสาวะราด สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน โดยมักมีอาการตามหลังอาการปวดปัสสาวะฉับพลันซึ่งอาจมีอาการเกิดขึ้นเองหรือมีปัจจัยบางอย่างกระตุ้น เช่น การถอดกางเกงชั้นใน การเปิดประตูห้องน้ำ การล้างมือด้วยน้ำเย็น หรือแม้กระทั่งการไขกุญแจบ้าน นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย (มากกว่า 7 ครั้ง) และปัสสาวะบ่อยเวลากลางคืน (ตื่นขึ้นมาปัสสาวะมากกว่า 1 ครั้ง) ร่วมด้วย 3. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้แบบผสม (Mixed Incontinence) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีทั้งภาวะไอจามปัสสาวะเล็ดและภาวะปัสสาวะราดรวมกัน นอกจากนี้แล้วยังมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้อีกหลายชนิด แต่อาจพบได้น้อยกว่า ได้แก่ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ขณะเปลี่ยนท่าทาง ภาวะปัสสาวะรดที่นอน ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ตลอดเวลา ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้แบบไม่รู้สึกตัว และภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ขณะมีเพศสัมพันธ์   การประเมินผู้ป่วยเมื่อมาพบแพทย์             การประเมินผู้ป่วยจะนำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง แพทย์จะสอบถามอาการเกี่ยวกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้โดยละเอียด ประวัติทั่วไปรวมถึงเครื่องดื่มที่ดื่มประจำ โรคประจำตัวและยาที่ใช้ประจำ ตรวจร่างกายทั่วไป และตรวจภายในโดยละเอียดรวมถึงประเมินภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อน นอกจากนั้นแพทย์อาจแนะนำการตรวจพิเศษหรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการบางอย่างเพิ่มเติม ได้แก่ 1. การจดบันทึกการปัสสาวะ (Bladder Diary) คือ การจดบันทึกปริมาณปัสสาวะ เวลาที่ปัสสาวะ ปริมาณน้ำดื่ม และกิจกรรมที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ การจดบันทึกปัสสาวะเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญมากต่อการประเมินผู้ป่วยเนื่องจากอาจบ่งถึงสาเหตุและเป็นแนวทางในการรักษาได้อีกด้วย 2. การตรวจพื้นฐานอื่น ๆ (Simple Tests) ได้แก่ การวัดปริมาณปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การจำลองภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้โดยการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง(Cough Stress Test) การวัดปริมาณปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะหลังจากปัสสาวะแล้วด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง 3. การตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (Urinalysis) เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ เช่น การอักเสบ นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ 4. การตรวจปัสสาวะพลศาสตร์ (Urodynamic Study) คือ การตรวจเพื่อจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในกระเพาะปัสสาวะโดยเริ่มตั้งแต่ปัสสาวะเติมในกระเพาะปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะที่กระเพาะปัสสาวะสามารถรับได้ จำลองภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ไปจนถึงสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะปัสสาวะ การตรวจนี้มักจะทำในผู้ป่วยที่การวินิจฉัยปัญหามีความซับซ้อนหรือผู้ป่วยที่มีแผนจะเข้ารับการผ่าตัด   การรักษาที่ผู้ป่วยอาจได้รับ 1. การรักษาทั่วไปของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ 1.1 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Modification) ได้แก่ -การลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนจะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น -การรักษาอาการท้องผูกในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำอาจช่วยลดอาการได้ -การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ในผู้ป่วยที่ดื่มน้ำปริมาณมากเกินไป (มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน) และมีภาวะปัสสาวะบ่อยหรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ การดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ (1.5-2 ลิตรต่อวัน) จะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรระวังในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะปัสสาวะบ่อยและดื่มน้ำน้อยอยู่แล้วเป็นประจำ (น้อยกว่า 1.5 ลิตรต่อวัน) ไม่ควรจะจำกัดปริมาณน้ำที่ดื่มอีกเนื่องจากจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ -การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางชนิด เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม โซดา น้ำผลไม้ สุรา รวมถึงอาหารบางชนิดที่มีรสชาติเปรี้ยวจัดหรือเผ็ดจัด 1.2 การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Muscle Training) กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงจะช่วยบำบัดภาวะปัสสาวะเล็ดหรือราดได้ดี การบริหารจะได้ผลดีที่สุดเมื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและมีวินัยเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรเริ่มฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานภายใต้คำแนะนำของแพทย์เนื่องจากผู้ป่วยประมาณกึ่งหนึ่งบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานผิดวิธี 2. การรักษาที่จำเพาะต่อภาวะไอจามปัสสาวะเล็ด 3. การรักษาที่จำเพาะต่อภาวะปัสสาวะราด 3.1 การฝึกการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Training) มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะเก็บปัสสาวะได้มากขึ้น วิธีการฝึกคือการค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาระหว่างการไปเข้าห้องนํ้ากับการพยายามกลั้นปัสสาวะให้นานขึ้นทีละน้อยเมื่อมีความรู้สึกต้องการถ่ายปัสสาวะ อย่างไรก็ตามการฝึกการทำงานของกระเพาะปัสสาวะควรฝึกภายใต้การดูแลของแพทย์ 3.2 การใช้ยา ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะช่วยให้กลั้นปัสสาวะได้นานขึ้นและช่วยลดภาวะปัสสาวะราด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น อาการปากแห้ง ตาแห้ง ท้องผูก ยากลุ่มนี้มีหลายชนิดบางครั้งผู้ป่วยอาจต้องเปลี่ยนชนิดยา 1-2 ครั้งจึงจะพบยาที่ช่วยบรรเทาอาการได้ดีที่สุด โดยทั่วไปการใช้ยาถือเป็นการรักษาที่มาเสริมกับการรักษาหลักที่ได้กล่าวไปข้างต้นและมักจะใช้ยาเป็นระยะเวลาเพียงประมาณ 3 เดือนเท่านั้น 3.3 การฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) คือ การส่องกล้องเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะและฉีดท็อกซินเข้าไปในผนังของกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะคลายตัวเพื่อลดการปวดปัสสาวะแบบฉับพลันและช่วยให้กระเพาะปัสสาวะเก็บปัสสาวะได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามท็อกซินจะออกฤทธิ์อยู่นานประมาณ 6-9 เดือน หลังจากนั้นอาจต้องมีการฉีดซํ้า ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจมีอาการปัสสาวะยากหรือปัสสาวะคั่งตามมาและจำเป็นต้องใช้การสวนปัสสาวะช่วงระยะเวลาหนึ่ง  3.4 วิธีการรักษาอื่น ๆ ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่ยังคงมีอาการรุนแรงแม้จะได้รับการรักษาดังกล่าวข้างต้นแล้ว เช่น การกระตุ้นเส้นประสาททิเบียล (Tibial Nerve Stimulation)การกระตุ้นเส้นประสาทบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ (Sacral Nerve Stimulation) อย่างไรก็ตามการรักษาทั้งสองวิธีนี้ยังไม่เป็นที่นิยมทำในประเทศไทย เนื่องจากมีความยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายสูง และมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก            ด้วยความปราถนาดีจาก นายแพทย์พริษฐ์ วาจาสิทธิศิลป์ สูตินรีแพทย์ประจำ รพ.วิภาวดี ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เชิงกรานสตรีและศัลยกรรมซ่อมเสริม   

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ลักษณะของไฝ

ไฝ คือ          ภาวะหนึ่งของร่างกายที่บริเวณนั้นๆมีการรวมกลุ่มกันของเซลล์สร้างเม็ดสีหรือเซลล์ไฝ (Nevus cell) ทำให้เห็นไฝเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล อาจเป็นจุดเรียบหรือตุ่มนูน ไฝแบ่งตามชนิดที่เป็นได้ 2 ประเภท 1. ไฝตั้งแต่แรกเกิด มักมีขนาดโตตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรขึ้นไป เป็นก้อนนูน อาจมีขนขึ้นบริเวณไฝด้วย 2.  ไฝที่เกิดขึ้นภายหลัง มักเป็นบริเวณที่โดนแสงแดด มักมีขนาดเล็ก เรียบ ถ้าเป็นไฝที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ผิวเรียบและไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะเรียกว่า ขี้แมลงวัน ถ้าไฝมีลักษณะนูน โตเร็ว แตกเป็นแผล ควรมาพบแพทย์  ไฝบางประเภทอาจกลายเป็นมะเร็งของผิวหนังได้  สาเหตุที่แน่นอนยังไม่ทราบแน่ชัด ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผิวหนังถูกกับสิ่งกระตุ้นเป็นเวลานานๆ เช่นถูกแสงแดดจัดๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี ถูกถูไถจนเป็นแผลเป็นเวลานาน หรือ ถูกสารเคมี เป็นต้น ลักษณะไฝที่ต้องเฝ้าระวังคือ 1.      Asymmetry       เมื่อแบ่งครึ่งจะไม่สมมาตร ครึ่งหนึ่งของไฝจะแตกต่างจากอีกด้านหนึ่ง 2.      Border             ขอบเขตของไฝไม่สม่ำเสมอ ขอบเขตไม่ชัดเจน 3.      Color                มีหลากหลายสีหรือสีไม่สม่ำเสมอ 4.      Diameter          ขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร 5.      Evolving            ไฝที่มีการเปลี่ยนแปลงของสี รูปร่าง ขนาด โตเร็วผิดปกติ หรือ มีเลือดออก วิธีการรักษา 1.  กรณีไฝอันตราย ควรพบแพทย์เพื่อเก็บตัวอย่างผิวหนัง ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา 2.  กรณีไฝธรรมดาหรือขี้แมลงวัน สามารถกำจัดออกได้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (CO2 Laser) เป็นการใช้ความร้อนจี้เซลล์ไฝออกไป หลังการรักษาแผลจะเป็นสเก็ดอยู่ประมาณ 5-7 วัน  การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่จำเป็นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดโอกาสการเกิดรอยคล้ำ   ข้อมูลโดย: พญ.ชนาทิพย์  ญาณอุบล อายุรศาสตร์  สาขา ตจวิทยา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 เรื่องน่ารู้... กับโรคพิษสุนัขบ้า

สัตว์อะไรบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า?  ที่พบมากที่สุดคือสุนัข รองลงมาคือแมว ม้า ลิงและปศุสัตว์(วัว,ควาย) สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก กระแต มีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลายได้ แต่พบน้อย   1)  สัตว์อะไรบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า?           ที่พบมากที่สุดคือสุนัข  รองลงมาคือแมว ม้า ลิงและปศุสัตว์(วัว,ควาย)  สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก  กระแต มีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลายได้ แต่พบน้อย  2)  ถ้าถูกสัตว์กัดจะมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเพียงใด? -ถ้าสัตว์ที่กัดไม่ได้ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จะไม่มีโอกาสเป็นโรค  -ถ้าไม่ทราบว่าสัตว์เป็นโรคหรือไม่  ต้องคิดว่าสัตว์เป็นโรคไว้ก่อน  -ผู้ที่ถูกสุนัขหรือสัตว์ที่เป็นโรคกัด  ไม่ป่วยเป็นโรคทุกราย โอกาสเป็นโรคโดยเฉลี่ยประมาณ  35% ขึ้นกับบริเวณที่ถูกกัด  ถ้าถูกกัดที่ขา โอกาสเป็นโรคประมาณ 21 %  ถ้าถูกกัดที่ใบหน้า  โอกาสเป็นโรคประมาณ  88 %  ถ้าแผลตื้น แผลถลอก โอกาสเป็นโรคจะน้อยกว่า   แผลลึกหลายๆแผล   3) เชื้อติดต่อมาสู่คนได้อย่างไร?        เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลาย  ทางติดต่อสู่คนที่พบบ่อยคือถูกกัด  โดยทั่วไปเชื้อจะเข้าทางผิวหนังปกติไม่ได้ แต่อาจเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลอยู่เดิม หรือรอยข่วน   นอกจากนี้ยังเข้าได้ทางเยื่อเมือก(mucosa) ได้แก่  เยื่อบุตา  เยื่อบุจมูก  ภายในปาก  ทวารหนัก และ อวัยวะสืบพันธุ์   แม้ว่าเยื่อเมือกจะไม่มีบาดแผล สำหรับทางติดต่อที่มีใน   รายงานแต่พบน้อย ได้แก่ ทางการหายใจ, ทางการปลูกถ่ายกระจกตา  4) ถูกสุนัขบ้ากัด นานเท่าใดจึงมีอาการ?        ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งปรากฏอาการของโรคพิษสุนัขบ้า หรือที่เรียกว่าระยะฟักตัว จะแตกต่างกันได้มาก พบได้ตั้งแต่ 4 วันจนถึง 4 ปี   ผู้ป่วยประมาณ 70% จะเป็นโรคภายใน  3 เดือน  หลังถูกกัด, ประมาณ  96% จะเป็นโรคภายใน 1 ปีหลังถูกกัด แต่ส่วนมากมักมีอาการในช่วงระหว่าง สัปดาห์ที่ 3 จนถึงเดือนที่  4   5) สุนัขที่เป็นโรคอาการเป็นอย่างไร?       สุนัขที่ป่วยจะเริ่มปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลายตั้งแต่ 3 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 2 วันหลังมีอาการ  หลังจากนั้นจะปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลายตลอดเวลาจนกระทั่งตาย -ระยะฟักตัว  พบบ่อยในระยะ 3-8 สัปดาห์ แต่พบได้ตั้งแต่ 10 วันจนถึง 6 เดือน    อาการของโรคแบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบดุร้าย เป็นแบบที่พบบ่อย  แบบซึม จะแสดงอาการไม่ชัดเจน   อาการของโรคแบ่งได้ 3 ระยะ  1. ระยะอาการนำ  สุนัขจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น จากเคยเชื่อง ชอบเล่นกลายเป็นซึม กินข้าวกินน้ำ น้อยลง ระยะนี้กินเวลา 2-3 วันก่อนเข้าระยะที่สอง  2. ระยะตื่นเต้น  เป็นอาการทางระบบประสาท สุนัขจะกระวนกระวาย ไม่อยู่นิ่ง กัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ตัวแข็ง น้ำลายไหล  ลิ้นห้อย ต่อมามีกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ระยะพบได้ 1-7 วันก่อนเข้าระยะท้าย  3. ระยะอัมพาต จะเกิดอาการอัมพาตทั่วตัว  ถ้ามีอาการอัมพาตสุนัขจะตายใน 24 ชม. รวมระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ จนถึงตายจะไม่เกิน 10 วัน ส่วนใหญ่ตายใน 4-6 วัน  ในแบบซึมอาจมีระยะอัมพาตนานได้ถึง 2-4 วัน  และ  ในสุนัขที่เป็นโรคที่พิษบ้าจะไม่แสดง อาการกลัวน้ำให้เห็น   6) อาการพิษสุนัขบ้าในคนเป็นอย่างไร?          แบ่งได้ 2 แบบคล้ายสัตว์ คือ แบบกระสับกระส่าย,ดุร้าย(เกิดจากเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนอยู่ในสมองมาก)แบบนี้พบได้บ่อย และ แบบอัมพาต (เกิดจากเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง) อาการในคนแบ่งได้ 3 ระยะ  1. ระยะอาการนำ  จะเริ่มมีไข้ อ่อนเพลียคล้ายไข้หวัด อาจมีปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน อาการที่แปลกไป  คือ อารมณ์เปลี่ยนแปลง   กังวล   กระสับกระส่าย      นอนไม่หลับ  อาการนำที่ชัดเจนที่พบบ่อยในคนไทย คือ อาการคันรอบๆบริเวณที่ถูกกัด หรือคันแขนขาข้างที่ถูกกัด  อาจมีอาการชา เจ็บเสียวรอบๆบริเวณที่ถูกกัด  2. ระยะอาการทางระบบประสาท แบ่งย่อยได้เป็น  -อาการกลัวน้ำ จะมีอาการตึง แน่นในลำคอ กลืนอาหารแข็งได้ แต่กลืนอาหารเหลวลำบาก เวลากินน้ำจะสำลักและเจ็บปวดเนื่องจากกล้ามเนื้อในลำคอกระตุกเกร็ง      ภาพที่อธิบายไว้ถึงอาการกลัวน้ำ  คือ ผู้ป่วยหิวน้ำ พยายามเอื้อมมือหยิบถ้วยน้ำมาจิบช้าๆ แต่พอถ้วยยาแตะริมฝีปาก   ผู้ป่วยเริ่มมือสั่น   หายใจสะอึก เห็นกล้ามเนื้อลำคอกระตุกเกร็ง แหงนหน้าขึ้น  พ่นน้ำพ่นน้ำลายกระจายทั่ว   ถ้วยหล่นจากมือพร้อมทั้งเปล่งเสียงร้อง แสดงความเจ็บปวดไม่เป็นภาษาคน    บางคนที่กล้ามเนื้อควบคุมสายเสียงเป็นอัมพาต จะได้ยินคล้ายเสียงหมาเห่าหอน    ผู้ป่วยจะตายใน 2-3 วันหลังจากมีอาการกลัวน้ำ     - อาการกลัวลม  ผู้ป่วยจะสะดุ้งผวาเมื่อถูกลมพัด     -  อาการประสาทไว  ผู้ป่วยจะกลัว สะดุ้งเกร็งต่อสัมผัสต่างๆ ไม่ชอบแสงสว่าง ไม่อยากให้ใครมาถูกต้องตัว     - อาการคลุ้มคลั่งประสาทหลอน  ผู้ป่วยอาจอาละวาด ดุร้ายน่ากลัว     -  อาการอื่นๆ เช่นมาด้วยอัมพาต  3. ระยะสุดท้าย  ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว  เข้าสู่ระยะโคม่า       ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา จะมีชีวิตไม่เกิน 7 วัน หลังจากเริ่มอาการนำและอยู่ไม่เกิน 3 วัน หลังมีอาการทางระบบประสาท    7) ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกสุนัขข่วน,กัด ? 1. รีบล้างแผลด้วยน้ำและสบู่หลายๆครั้ง  พยายามล้างให้เข้าถึงรอยลึกของแผล ถ้าไม่มีสบู่ใช้ผงซักฟอกแทนก็ได้  2. ทำความสะอาดซ้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเช่น 70% alcohol  3. ถ้าแผลฉกรรจ์มีเลือดออก  ควรปล่อยให้เลือดออกระยะหนึ่งเพื่อล้างน้ำลายซึ่งอาจมีเชื้อไวรัสออก  4. ถ้าสามารถเฝ้าดูอาการสัตว์  (กรณีที่มีเจ้าของ หรือทราบตัวเจ้าของ)    ควรกักขังและเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 10 วัน  5. กรณีที่สัตว์ตาย ควรนำส่งเพื่อตรวจหาเชื้อด้วย  6. ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และ วัคซีนป้องกันบาดทะยักทันที ไม่ว่าจะสามารถเฝ้าดูอาการได้หรือไม่  โดยเฉพาะสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของหรือกัดแล้วหนี ควรมา รพ.ทันที  ไม่ควรและไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้สุนัขมีอาการก่อน เพราะระยะฟักตัวทั้งในคนและสัตว์ไม่แน่นอน  (เป็นช่วงที่กว้าง)  คนอาจมีอาการก่อนสัตว์ได้    7. ประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าของสัตว์,สัตว์มีเจ้าของไม่เคยออกนอกบ้าน ไม่เคยไปกัดกับใคร อาจช่วยลดโอกาสการเป็นโรคของสัตว์ดังกล่าวลง    แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่เป็นโรค เพราะฉะนั้นควรปฏิบัติ ตามข้อ1-6 เหมือนเดิม  8. กรณีที่เป็นแผลฉีกขาด อาจทำแผลไปก่อน  โดย ยังไม่ต้องเย็บแผลเนื่องจากแผลสกปรก โอกาสติดเชื้อจะสูงมาก โดยเฉพาะถ้าเย็บแผล               โดย  นพ.ธเนศ  พัวพรพงษ์   ศัลยแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โภชนาการ เพื่อการย้อนวัย

 โปรแกรมการรับประทาน ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายคนเรา มีการทำงาน และการซ่อมสร้าง  ที่สำคัญ คือ เช้า               1.สมอง                     2.ตับ และถุงน้ำดี กลางวัน        3.กระเพาะอาหาร บ่าย-เย็น       4.ตับอ่อน                      5.ไต เช้า ควรทานแป้งให้น้อยๆ หลีกเลี่ยงน้ำตาล และแป้งฟอกขาว ถ้าจะทานข้าว ก็เป็นข้าวกล้อง กลางวัน ทานโปรตีน ประเภท ปลา (ต้องมาจากธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาเลี้ยง)   / พวกเนื้อขาว (ไก่) ประมาณ  1 ฝ่ามือ หรือโปรตีนจากไข่  / ทานไขมัน (ดี) กลุ่มที่มี โอเมก้า 3 หรือ 6  ส่วนแป้งทานได้ 250 กรัม บ่ายๆ อินซูลินทำงาน จึงสามารถทานหวาน หรือน้ำตาลได้ในช่วงนี้ เพราะจะถูกใช้ไป เย็นๆ ตับ และอวัยวะอื่นๆ จะเริ่มทำงานน้อยลง และ ไต จะเริ่มกระบวนการขำระล้างของเสีย ดังนั้นจึงควรรับประทานให้น้อยที่สุดในช่วงนี้ และหลัง 19.00 น. ไม่ควรทานอะไรอีก   สิ่งที่ทานได้ตลอด คือ ผัก (ถ้าเป็นหลายสีได้ ก็จะดี)  และผลไม้ (รสไม่หวาน)   สูตรการคำนวณการดื่มน้ำ ต่อวัน ส่วนสูง เป็นเซนติเมตร บวก น้ำหนัก หารด้วย 100 จะเป็นตัวเลข ของน้ำ ปริมาตรเป็นลิตร ที่ควรดื่ม ต่อวัน เช่น สูง 161 ซม. น้ำหนัก 53 กก. = 161 + 53  หาร 100 =  2.14  ลิตร ( ปริมาณ น้ำที่ควรดื่ม ต่อวัน)   สรุปหลักการโภชนาการ เพื่อย้อนวัย 1.เริ่มต้นมื้อเช้า ด้วยโปรตีน หลีกเลี่ยง ทานของหวาน หรือ น้ำตาลในตอนเช้า 2.ดื่มน้ำให้พอเพียง(ตามที่คำนวณ) และควรดื่มน้ำ ทุกชั่วโมง เครื่องดื่มอื่นๆ นอกเหนือจากน้ำ ที่แนะนำ คือ น้ำชา 3.อย่าอดอาหาร ให้ทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ 4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมากๆ  เพราะน้ำตาล จะไปห่อหุ้มเม็ดเลือด 5.รับประทานปลา  เพราะมี โอเมก้า 3 และ 6 6.ไม่รับประทาน แป้ง และของทอด 7.ทานผัก ผลไม้ ที่ไม่มีน้ำตาลสูง 8.รับประทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด 9.รับประทานมื้อเย็นให้น้อยที่สุด   โดย Dr.Claude Chauchard ถ่ายทอดโดย วิทยากร ภญ.โสภิตา ศิริรัตน์  ในรายการ Happy & Healthy FM 102 เสาร์ 9.00-10.00 น.

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เช็ค สัญญาณบอกอาการโรคไต

  เช็ค สัญญาณบอกอาการโรคไต ไต (kidney) มีหน้าที่กรองของเสีย น้ำและเกลือแร่ส่วนเกินออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะเพื่อขับทิ้งจากร่างกาย นอกจากนี้ไต ยังมีหน้าที่รักษาระดับน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย สร้างฮอร์โมนที่ควบคุมความดันโลหิตและสร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง รักษาสมดุล กรด-ด่าง รักษาสมดุลกระดูก สัญญาณบอกอาการโรคไต             อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ไม่มีอาการ ผู้ป่วยอาจมาด้วยสาเหตุอื่น แต่ตรวจพบสภาวะบกพร่องของไต แต่ะถ้าไตทำงานบกพร่องแล้ว ก็จะมีอาการดังต่อไปนี้ 1.บวม ที่ ตา,หน้าแข้ง,เท้า 2 ข้าง           เกิดจากการมีน้ำและเกลือคั่งในร่างกาย เริ่มจากบวมที่หนังตาและหน้า บวมที่แขนหรือขาและเท้าทั้งสองข้าง ทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้ง 30 วินาทีแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มค้างอยู่แสดงว่าบวมน้ำ อาจมีปัญหาที่ไต,ตับ,หัวใจ,ต่อมไทรอยด์หรือหลอดเลือด 2.เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย,คัน,เบื่ออาหาร             จะมีอาการเหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย เนื่องจากมีสภาวะโลหิตจาง คันตามตัวและเบื่ออาหารร่วมด้วย เนื่องจากมีของเสียคั่งในร่างกายมาก ปวดหลัง ปวดบั้นเอว             ไต อยู่บริเวณด้านหลังส่วนล่างของซี่โครง ดังนั้น หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ มักเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตโป่งพอง ถ้ามีไข้สูงร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของกรวยไตหรือกรวยปัสสาวะอักเสบติดเชื้อได้ 3.ปัสสาวะมีลักษณะผิดปกติ             เช่นพบปัสสาวะขุ่น,มีตะกอน,มีกรวดทราย ปัสสาวะเป็นเลือด,ปัสสาวะน้อยลง,ปัสสาวะบ่อยขึ้น ปัสสาวะเป็นฟองมาก หรือปัสสาวะติดขัด เป็นต้น 4.ความดันโลหิตสูง             ผู้ที่ตรวจพบความดันโลหิตสูงครั้งแรกต้องตรวจการทำงานของไตทุกราย 5.โลหิตจาง             เนื่องจากไขกระดูกขาดฮอร์โมนกระตุ้น 6.กระดูกผุ             เนื่องจากสมดุลเกลือแร่และวิตามินดีผิดปกติ 7.หอบเหนื่อย             เนื่องจากน้ำคั่งในปอดและเลือดเป็นกรด 8.ซึมซัก             เนื่องจากของเสียที่คั่งในเลือดทำให้สมองทำงานผิดปกติ     นายแพทย์สืบพงศ์  สังข์อารียกุล อายุรแพทย์โรคไต 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะ (Vertigo)

 อาการบ้านหมุน เวียนศีรษะ (Vertigo)  เป็นอาการเวียนศีรษะประเภทหนึ่งที่มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุนไป ทั้งๆ ที่จริงแล้วตนเองอยู่กับที่และไม่มีการเคลื่อนไหว หรือที่หลายๆ คนเรียกว่า "อาการบ้านหมุน" สาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุนที่พบได้บ่อย คือ         ความผิดปกติของระบบประสาทในส่วนก้านสมองและสมองน้อย ความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน 1.โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (BPPV benign paroxysmal positional vertigo) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการเวียนศีรษะ เกิดจากหินปูนขนาดเล็กหลุดไปอุดผิดที่ในท่อครึ่งวงกลม จึงทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะเวลาก้มตัวลงนอนหรือจากท่านอนลุกขึ้นนั่ง หรือการก้มแล้วเงย ส่วนใหญ่อาการเป็นไม่ถึงนาทีแล้วหายและเป็นซ้ำเวลาเปลี่ยนท่าทางอีก  2.โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) พบในผู้สูงอายุ มากกว่า 45 ปี ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (ความดันโลหิตสูง,เบาหวาน,ไขมันในเลือดสูง) โดยอาการเวียนศีรษะมักเป็นอยู่นาน อาจนานหลายชั่วโมงหรือเป็นวันก็ได้ อาการเวียนศีรษะไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนท่าทาง และมักพบร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆของระบบประสาท เช่น ตามองเห็นภาพซ้อน,หน้าเบี้ยว,พูดไม่ชัด,ลิ้นแข็ง,อ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก) เนื่องจากอัตราการทุพลภาพและอัตราการตายสูงจึงควรรีบพบแพทย์ 3.โรคเวียนศีรษะจากน้ำในหูชั้นในผิดปกติ (Meniere’s disease) อาการเวียนศีรษะเป็นพักๆนานหลายนาทีจนถึงเป็นชั่วโมงมักมีเสียงดังในหูข้างใดข้างหนึ่ง (บางรายเป็นทั้ง 2 ข้าง) ต่อมาอาจมีปัญหาการได้ยินลดลง สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด บางรายพบร่วมกับการติดเชื้อในหูชั้นกลาง การรับประทานเค็มมากกระตุ้นให้อาการเป็นมากได้ 4.เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis) อาการเวียนศีรษะมักนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ อาจมีได้แต่ต้องไม่มีปัญหาการได้ยินหรือเสียงดังในหู เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรงต่อเส้นประสาทหรือเป็นจากการแพ้ภูมิตัวเองพบในคนอายุน้อย เพศหญิงพบได้บ่อยกว่าเพศชาย โรคนี้ทำให้ปวดศีรษะเป็นๆหายๆ ได้ 5.โรคไมเกรน (Migraine) บางรายมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย บางรายมีอาการเวียนศีรษะอย่างเดียวเป็นๆหายๆ โดยไม่มีอาการปวดศีรษะก็ได้ ปัจจัยกระตุ้นเช่น อาหาร,การดื่มกาแฟปริมาณมากหรือหยุดดื่ม,แสงจ้า,กลิ่นฉุน,การมีประจำเดือน  อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะที่ต้องปรึกษาแพทย์ อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะร่วมกับตาเห็นภาพซ้อน อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะร่วมกับอ่อนแรงแขนขา อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะร่วมกับชาแขนขา อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะร่วมกับพูดลำบาก อาการบ้านหมุนเวียนศีรษะร่วมกับมีปัญหาเรื่องการได้ยิน   การตรวจวินิจฉัยอาการบ้านหมุนเวียนศีรษะ ตรวจการได้ยิน (audiogram) ตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวของหูชั้นใน (Video electronystagmography :VNG) ตรวจวัดแรงดันของน้ำในหูชั้นใน (electrocochleography : ECOG) ตรวจการทำงานของเส้นประสาทการได้ยิน(Evoked response audiometry ) ตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ( CT scan) ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองและเส้นเลือดสมอง (MRI brain and MRA)ซึ่งสามารถถ่ายภาพบริเวณก้านสมองและสมองส่วนหลังได้ชัดเจน (brainstem and carebellum) ซึ่งเป็นส่วนที่ (CT scan)ให้รายละเอียดได้ไม่ชัดเจน การดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น ในผู้ที่มีอาการบ้านหมุนเวียนศีรษะ 1. หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะระหว่างเกิดอาการ เช่น       การเปลี่ยนแปลงท่าทางอย่างรวดเร็ว การหันศีรษะเร็วๆ หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือขณะอยู่ในยานพาหนะ 2. ไม่ควรอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับขี่ยานพาหนะในขณะที่มีอาการ 3. รับประทานยาลดอาการเวียนศีรษะ เช่น Betahistine , Dimenhydrinate เป็นต้น 4. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ, ความเครียด, กลิ่นฉุน, สารก่อภูมิแพ้ 5. ลดปริมาณหรืองดการสูบบุหรี่/ดื่มกาแฟ 6. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบมาพบแพทย์   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สมองและระบบประสาท รพ.วิภาวดี โทร.02561-1111 ต่อ 1214  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคไข้หวัด

โรคไข้หวัด นพ.ชิดเวทย์  วรเพียรกุล  อายุรแพทย์ รพ.วิภาวดี  โรคไข้หวัด  เป็นการติดเชื้อของจมูกและคอ  ส่วนใหญ่75-80% เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งรวมเรียกว่า Coryza Viruses ประกอบด้วย Rhino Viruses เป็นสำคัญ  เชื้อชนิดอื่น ๆ มี Adenoviruses, Respiratory Syncytial Virus เมื่อเชื้อเช้าสู่จมูกและคอจะทำให้เยื่อจมูกบวมและแดง  มีการหลั่งของเมือกออกมาแม้ว่าจะเป็นโรคที่หายเองใน 1 สัปดาห์  แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด  โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัด 6-12 ครั้ง ต่อไป  ผู้ใหญ่จะเป็น 2-4 ครั้ง  ผู้หญิงเป็นบ่อยกว่าผู้ชายเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็ก  คนสูงอายุอาจจะเป็นปีละครั้ง อาการ ผู้ใหญ่ มีอาการจาม  และน้ำมูกไหลจะนำมาก่อน  อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย  แต่มักไม่ค่อยมีไข้  เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย 2-3 ชั่วโมงและหมดใน 2 สัปดาห์  บางรายอาจมีอาการปวดหู  เยื่อแก้วหูมีเลือดคั่ง  บางรายเยื่อบุตาอักเสบ  เจ็บคอ  กลืนลำบาก  โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน  แต่อาจมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์  ในเด็กอาจจะรุนแรง  และมักมีการแพร่ไปเป็นหลอดลมอักเสบ  ปวดบวม  เป็นต้น การติดต่อ โรคนี้มักจะระบาดฤดูหนาวเนื่องจากความชื้นต่ำและอากาศเย็น  เราสามารถติดต่อจากน้ำลาย  และเสมหะผู้ป่วยนอกจากนั้นมือที่เปื้อนเชื้อโรค  ก็สามารถทำให้เกิดโรคได้โดยผ่านทางจมูกและตา  ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนเกิดอาการและ 1-2 วันหลังเกิดอาการ  ผู้ที่มีโอกาสเป็นไข้หวัดได้ง่ายคือ  เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี  เด็กที่ขาดอาหาร  เด็กที่เลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็ก วิธีการติดต่อ 1. มือของเด็ก  หรือผู้ใหญ่ที่สัมผัสเชื้อจากเสมหะของผู้ป่วย  หรือสิ่งแวดล้อม  แล้วขยี้ตา  หรือเอาเข้าปากหรือจมูก 2. หายใจเอาเชื้อที่ผู้ป่วยที่ไอออกมา 3. หายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ การรักษา - ไม่มียารักษาเฉพาะ  ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้  Paracetamol - ห้ามให้ Aspirin - ให้ยาช่วยรักษาตามอาการ  เช่น ยาลดคัดจมูก  ลดน้ำมูก  ยาแก้ไออ่อน ๆ - ให้พัก  และดื่มน้ำมาก ๆ โดยทั่วไปจะเป็นมาก 2-4 วัน  หลังจากนั้นจะดีขึ้น  ในเด็กโรคที่แทรกซ้อนที่สำคัญคือหูชั้นกลางอักเสบ  ต้องได้รับยาปฏิชีวนะรักษา   การป้องกัน - หลีกเลี่ยงที่ชุมชน  เช่น โรงภาพยนตร์ ภัตตาคาร  ในช่วงที่ไข้หวัดกำลังระบาด - ไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า  หรือทิชชูปิดปาก - ให้ล้างมือบ่อย ๆ - ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตาเพราอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย - อย่าอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นหวัดเป็นเวลานาน   เป็นการยากที่จะป้องกันการติดเชื้อไข้หวัด  ดังนี้การดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

❝โรคกรดไหลย้อน❞ อาการแน่นอก แสบร้อน จุกคอ ใช่ไหม? ใช้ยาตัวไหน?

โรคกรดไหลย้อนเข้าหลอดคอ คืออะไร (Gastroesophageal Reflux Disease : GERD)  ภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารจะถูกหลั่งออกมาเพื่อการย่อยอาหาร  กรดในกระเพาะนั้นไม่มีการไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหารส่วนบน  แต่ในภาวะผิดปกติอาจไหลย้อนผ่านกล้ามเนื้อหูรูดส่วนบนของหลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ และมีแผล (erosive esophagitis) หรือหลอดอาหารอักเสบโดยไม่เกิดแผล (non-erosive esophagitis) นอกจากนี้กรดนี้อาจไหลย้อนผ่านหลอดอาหารเข้าสู่หลอดคอและกล่องเสียง (Laryngopharyngeal reflux : LPR) เกิดพยาธิสภาพต่าง ๆ เพราะเยื่อบุกล่องเสียง  และหลอดคอบอบบางทนสภาวะกรดได้ไม่ดี  รวมทั้งอาจก่อปัญหาด้านระบบการหายใจและปอด ปัจจัยหรือพฤติกรรมบางอย่าง  เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการไหลย้อนกลับ  ของกรดหรือน้ำย่อยจากหลอดอาหารภาวะนี้เกิดได้ตลอดเวลา  และไม่ว่ากำลังรับประทานอาหารหรือไม่ก็ตามพบอาการนี้ได้ตั้งแต่ทารกจนถึงผู้ใหญ่ สาเหตุ Hlatus Hernia (โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้น  เข้าไปในกำบังลม  หูรูด  อาหารปิดไม่สนิท  ทำให้กรดอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปทางหลอดอาหารได้) การดื่มสุรา  สูบบุหรี่ อ้วน ตั้งครรภ์  ทานยาบางชนิด  เช่น แอสไพริน ทานอาหารรสเปรี้ยว เผ็ด ช็อกโกแลต  กาแฟ  รวมทั้งชนิดที่ไม่มีคาเฟอีนด้วย อาหารมัน  ของทอด หอม  กระเทียม มะเขือเทศ  หรือซอสมะเขือเทศ Peppermint อาการ 1. อาการทางเดินอาหาร อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (Heart Burn)  บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอและไหล่ได้ รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ กลืนลำบาก ติดขัด  คล้ายสะดุดสิ่งแปลกปลอมในคอ หรือกลืนแล้วเจ็บ เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี  หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในลำคอหรือปาก มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย  คลื่นไส้ คล้ายมีอาหาร  หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก  หรือคอ รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก  คล้ายอาหารไม่ยอ่ย 2. อาการทางกล่องเสียงและปอด เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะในตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิม ไอเรื้อรัง  ไอ หรือ รู้สึกลำลักในเวลากลางคืน กระแอมไอบ่อย อาการหอบหืดแย่ลง อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่(ถ้ามี)  แย่ลง  หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก (non-cardiac chest pain) คล้ายโรคหัวใจ  คล้ายมีก้อนจุก ๆ ที่คอ เป็นโรคปอดอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ อาการที่กล่าวข้างต้น  อาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นตลอดให้ปรึกษาแพทย์  หู คอ จมูก  ซึ่งแพทย์จะตรวจทาง  หู  คอ  จมูก  เพื่อดูว่ามีความผิดปกติบริเวณกล่องเสียง  และคอหรือไม่  เพื่อแนะนำการรักษาและปฏิบัติตัวต่อไป การรักษา ภาวะกรดไหลย้อนรักษาอย่างไรขึ้นอยู่กับอาการ และสุขภาพของแต่ละคน  โดยทั่วไปหลักการรักษามี 3 ประการ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และงดเว้นอาหารบางอย่างเพื่อลดภาวะกรดไหลย้อน การใช้ยาลดกรดที่ถูกต้อง มักจำเป็นต้องใช้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ร่วมกับปฏิบัติในข้อ 1. การผ่าตัดรัดหูรูดกระเพาะอาหาร จำทำให้รายที่เป็นรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อยา 1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน  เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูง  ทำให้กรดไหลย้อนได้มาก งดบุหรี่  เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก ใส่เสื้อหลวม ๆ                                              ไม่ควรนอนออกกำลังกาย  หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง งดอาหารมัน ๆ ทอด  อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม  กระเทียม  มะเขือเทศ  ช็อกโกแลต  ถั่ว ลูกอม เนย ไข่  เผ็ด  เปรี้ยว  เค็มจัด รับประทานอาหารพออิ่ม  ทานทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยง  ชา  กาแฟ น้ำอัดลม  เบียร์  สุรา นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว  โดยหนุนที่ขาเตียง  ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง 2. การรักษาด้วยยา Antacids เป็นยาตัวแรกที่ใช้  สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่มาก ใช้ยา Proton Pump Inhibitor ซึ่งเป็นยาที่ลดกรดได้เป็นอย่างดี  อาจจะใช้เวลารักษา 1-3 เดือน ยาที่นำยมใช้ ได้แก่  Omeprazole, Lansoprazole, Pantoprazole, Rabeprazole, และ Esomeprazole หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมาก  หรือทำให้หูรูดหย่อน  เช่น  ยาแก้ปวด  Aspirin NSAID  VITAMIN C หากให้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น  ควรจะต้องตรวจเพิ่มเติมดังนี้ การกลืนแป้งตรวจกระเพาะอาหาร การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร 3. การรักษาโดยการผ่าตัด จะผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล เทคนิคในการลดภาวะกรดไหลย้อน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการรักษา  เพื่อให้อาการหายขาด  และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค  โดยปฏิบัติดังนี้    กินอย่างถูกสุขลักษณะ - ไม่ปล่อยให้ท้องว่าง และอย่าให้แต่ละมื้อผ่านไปอย่างเร่งรีบ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการลุกเดินหลังมื้ออาหาร นั่งนิ่งๆ หลีกเลี่ยงการนอนราบทันที เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารย่อยช้า โดยเฉพาะมื้อเย็นและทิ้งเวลาให้ย่อยอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะหากอาหารไม่ย่อยแล้วนอน เป็นผลให้กระเพาะกับหลอดอาหารอยู่ในแนวราบเดียวกัน กรดในกระเพาะจะไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหารได้ หลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่ม  ได้แก่  ชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  อาหารทอด  อาหารรสจัด  อาหารมัน ๆ ช็อคโกแลต  ผักผลไม้บางชนิด  เช่น  ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว  สะระแหน่  หอมหัวใหญ่  ถั่ว  นม  (ดื่มนมพร่องมันเนยได้) ควบคุมน้ำหนัก - ไขมันใต้ผิวหนังรอบหน้าท้องและไขมันในช่องท้องมีส่วนเพิ่มแรงดันในช่องท้องให้มากขึ้น จนบีบกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย ยิ่งน้ำหนักมากยิ่งมีโอกาสเลี่ยงสูง ดังนั้นควบคุมน้ำหนักให้มาตรฐาน และบริหารรอบเอวเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันสะสม งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ - ทั้งสารนิโคตินในบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบของและกระเพาะอาหาร อย่านอนราบหลังจากเพิ่มรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ โดยเฉพาะใน 3 ชั่วโมงแรก สวมใส่เสื้อผ้าให้สบาย - การใส่เสื้อผ้าคับมีผลให้เกิดแรงดันในช่องท้องมากขึ้นและดันให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นมาทางหลอดอาหาร ดังนั้นพยายามสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมเล็กน้อย ป้องกันอาหารแน่นท้องหลังมื้ออาหาร หมุนหัวเตียงให้สูง  อย่างน้อย 6 นิ้ว ออกกำลังกายเป็นประจำ - การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว ระบบทางเดินอาหารจึงทำงานได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารทันที เพราะกระเพาะอาหารอาจย่อยไม่เป็นปกติ ควรเว้นระยะให้อาหารย่อยอย่างน้อย 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงความเครียด ทำจิตใจให้สบาย  แจ่มใส - ความเครียดอาจไม่ได้มีผลโดยตรงต่อโรคกรดไหลย้อน แต่ถ้ามีอาการอยู่แล้ว ความเครียดจะทำให้อาการกำเริบได้ง่ายขึ้น ช่วงระยะเวลาของการรักษา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องรักษาค่อนข้างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 6 อาทิตย์  ถึง  6 เดือน  บางคนอาการจะหายไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจหยุดยาได้หลายเดือนหรือหลายปี ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนนิสัยหรือสภาพแวดล้อม พยาธิสภาพของแต่ละบุคคล และต้องทำความเข้าใจด้วยว่า โรคนี้อาจหายขาดไปเลยหรืออาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก โรคแทรกซ้อน หลอดอาหารที่อักเสบอาจจะทำให้เกิดแผล  และมีเลือดออก  หรือหลอดอาหารตีบ  ทำให้กลืนอาหารลำบาก อาจจะทำให้โรคปอดแย่ลง  เช่น  โรคหอบหืดเป็นมากขึ้น  ไอเรื้อรัง  ปอดอักเสบ แพทย์ พญ. ดวงพร โชคมงคลกิจ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เชื้อไวรัส อาร์เอสวี (RSV: Respiratory Syncytial Virus)

เชื้อไวรัส อาร์เอสวี (RSV: Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักเป็นในเด็กเล็ก ๆ อายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งเมื่อติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) ในทางเดินหายใจส่วนล่างแล้ว ผู้ติดเชื้อร้อยละ 70 มักเกิดอาการปอดบวม และหลอดลมฝอยอักเสบ การติดต่อของโรค เกิดได้ทั่วโลกมักระบาดในฤดูหนาวของประเทศแถวตะวันตกในประเทศไทยพบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ระหว่างเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ติดต่อได้ง่ายโดย การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำมูก เสมหะ น้ำลายของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสนี้ผ่านทางตาจมูกและทางการหายใจ โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) สามารถกระจายเชื้อให้ลอยปะปนอยู่ในอากาศภายในรัศมี 3 ฟุต ผ่านทางการไอหรือจาม การติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นได้หลายครั้ง เนื่องจากไวรัสตัวนี้มีหลายพันธุ์ อาการของโรค ระยะฟักตัวประมาณ 5 วัน ในช่วง 2-4 วันแรก อาการป่วยจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา คือ ไข้ต่ำ ๆ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกใส เด็กบางคนอาจเกิดกล่องเสียงอักเสบ เมื่อการดำเนินโรคของทางเดินหายใจส่วนล่างมีมากขึ้น ก็ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ(ไข้ ไอ หอบ) โดยเด็กจะมีไข้สูง ไอมากขึ้น ร่วมกับมีเสมหะ บางรายไอมากจนอาเจียน หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจแรงจนหน้าอกโป่ง หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheezing) แบบหลอดลมฝอยอักเสบ ซึมลง ตัวเขียว ดื่มนมหรือรับประทานอาหารได้น้อย แต่ในรายที่อาการหนัก มีโอกาสเสียชีวิตได้ เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว การพยากรณ์โรค ยังไม่ทราบกลไกในการเกิดที่ชัดเจน อาการของโรคเกิดจากร่างกายสร้างแอนติบอดีชนิดไวจีอี ( IgE ) ต่อเชื้ออาร์เอสวี ( RSV ) ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหมือนโรคภูมิแพ้ ในระบบทางเดินหายใจมีการหลั่งสารออกมา ซึ่งมีผลทำให้หายใจเสียงวี้ด (wheezing) ตามมาได้ อาการจากการติดเชื้อเกิดจากการกระตุ้นปฏิกิริยา ไวรัสอาร์เอสวี ( RSV ) เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่พบบ่อยที่สุด อักเสบต่อเนื่องในระบบการหายใจ ผลก็คือ ทำให้มีอาการเหล่านี้ แบบเรื้อรังและต่อเนื่อง เด็กที่ติดเชื้อไวรัส อาร์เอสวี ( RSV ) มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืดมากกว่าคนปกติถึง 10 เท่า เมื่อโตขึ้น เด็กที่เป็นแล้วมีอาการแบบหลอดลมฝอยอักเสบรักษาหายแล้วก็กลับมาเป็นซ้ำอีก อาจทำให้เด็กมีภาวะเกิดภูมิไวเกินที่หลอดลม แค่ติดเชื้อหวัดธรรมดาก็อาจกระตุ้นให้อาการหอบ มีเสมหะและไอมากกลับมาได้ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่รุนแรง กลุ่มทารกที่คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย หรือภูมิต้านทานต่ำ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคไม่ดี เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจเรื้อรัง รวมทั้งเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี การรักษา ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ( RSV) โดยตรง มีแต่การรักษาแบบประคับประคองตามอาการได้แก่ การให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม บางรายต้องให้ออกซิเจน ถ้าเสมหะมาก อาจต้องทำการเคาะปอด และดูดเสมหะออก ยาต้านการอักเสบลิวโคไตรอีน ในรูปแบบยารับประทานที่ไม่มีสารสเตียรอยด์ จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและหายใจหอบเหนื่อยลดลง การป้องกันโรค ยังไม่มีวัคซีน หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด ไม่ให้เด็กเล่นคลุกคลีกับเด็กที่เป็นหวัด เด็กที่อยู่ในห้องแอร์ หรือในที่อากาศเย็นให้สวมเสื้อผ้าหนา ๆ ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ล้างมือให้เด็กบ่อย ๆ การล้างมือจะช่วยกำจัดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้กว่าร้อยละ 80 หากมีเด็กป่วยในบ้านหรือที่ศูนย์เด็กเล็ก สถานที่รับเลี้ยงเด็กเล็ก ให้แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ไม่ให้คลุกคลีกันและแยกเครื่องใช้เด็กที่ป่วยออกต่างหาก การป้องกันเด็กป่วยจากโรคทางเดินหายใจทุกชนิดโดยแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเด็กจะได้รับภูมิต้านทานจากแม่ผ่านทางนม เด็กก็จะไม่ป่วยง่าย โดย พญ.ปราณี  สิตะโปสะ  กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<