Ganglion Cyst คืออะไร รู้จักก้อนถุงน้ำที่ข้อมือและข้อเท้า

  • Ganglion Cyst หรือถุงน้ำกังกลีออน คือก้อนถุงน้ำที่เกิดจากการสะสมของของเหลวภายในข้อหรือปลอกหุ้มเอ็น มักพบบริเวณข้อมือ มือ หรือตามข้อเท้า ไม่ใช่เนื้อร้ายและไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต
  • ลักษณะของ Ganglion Cyst จะกลมหรือรี ผิวเรียบ ขยับได้เมื่อจับ และมักไม่เจ็บปวด แต่บางรายอาจรู้สึกปวดตื้อๆ หรือแน่นเมื่อขยับข้อมือบ่อยๆ หากก้อนกดทับเส้นประสาทอาจทำให้มีอาการชา อ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวข้อได้ไม่เต็มที่
  • วิธีรักษา Ganglion Cyst ขึ้นอยู่กับอาการและขนาดของก้อน หากไม่มีอาการอาจเฝ้าสังเกตไปก่อน แต่หากก้อนโตหรือปวด แพทย์อาจใช้วิธีเจาะดูดน้ำหรือผ่าตัดเอาก้อนออก โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทางดูแล เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

พบก้อนนูนๆ ที่ข้อมือหรือข้อเท้าอาจไม่ใช่แค่ก้อนธรรมดาแต่เป็น Ganglion Cyst หรือก้อนถุงน้ำที่เกิดจากของเหลวในข้อหรือตามเอ็นสะสมมากเกินไป ไปเจาะลึกสาเหตุ อาการ พร้อมแนวทางการรักษาที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมด้วยการตรวจวินิจฉัยด้วย Ultrasound หรือ MRI รักษาแบบเจาะดูดน้ำหรือผ่าตัดเอาก้อนออก โดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านออร์โธปิดิกส์

Ganglion Cyst คืออะไร มีลักษณะอย่างไร

Ganglion Cyst คืออะไร มีลักษณะอย่างไร?

Carpal Ganglion Cyst คือ Ganglion Cyst ที่เกิดบริเวณข้อมือโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด Ganglion Cyst คือก้อนถุงน้ำที่เกิดจากการสะสมของของเหลวภายในข้อหรือปลอกหุ้มเอ็นภายในถุงจะบรรจุของเหลวใสข้นคล้ายเจลลี่ ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง ก้อนนี้มักเกิดขึ้นบริเวณข้อมือมือ นิ้ว หรอบข้อเท้าลักษณะของก้อนจะเป็นรูปวงกลมหรือวงรี ผิวเรียบ เคลื่อนไหวได้เมื่อจับ และมักไม่เจ็บปวด แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดตื้อๆ หรือรู้สึกไม่สบาย โดยเฉพาะเมื่อขยับข้อมือบ่อยหรือมีแรงกดบริเวณนั้น

ถุงน้ำ Ganglion Cyst พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 20-40 ปี และมักเกิดในผู้ที่ต้องใช้ข้อมือหรือมือในการทำงานซ้ำๆ เช่น พิมพ์งาน จับเมาส์ ใช้เครื่องมือช่าง หรือนักกีฬาที่ใช้มือบ่อย และสามารถเกิดได้จากการบาดเจ็บเล็กน้อยของข้อต่อหรือเอ็น ทำให้เยื่อหุ้มข้อมีการโป่งพองจนเกิดเป็นถุงน้ำขึ้นมาในที่สุด

อาการของ Ganglion Cyst

Ganglion Cyst มักไม่เจ็บปวดในระยะแรก แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดตื้อๆ หรือรู้สึกแน่นเมื่อก้อนโตขึ้น หรือเมื่อขยับข้อมือบ่อยๆ ถุงน้ำอาจขยายใหญ่ขึ้นหรือลดขนาดลงตามกิจกรรมที่ทำ และในบางกรณีอาจกดเบียดเส้นประสาทจนทำให้เกิดอาการชา หรืออ่อนแรงบริเวณใกล้เคียงได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงการเกิด Ganglion Cyst

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงการเกิด Ganglion Cyst

สาเหตุการเกิดก้อนถุงน้ำข้อเท้า ข้อมือยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการที่ของเหลวภายในข้อหรือปลอกหุ้มเอ็นรั่วซึมออกมาสะสมจนเกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนัง ปัจจัยหลายอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้ ดังนี้

  • เพศและอายุ พบบ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะช่วงอายุ 20–40 ปี
  • ประวัติการบาดเจ็บข้อ การบาดเจ็บหรือกระแทกซ้ำบริเวณข้ออาจทำให้เยื่อหุ้มข้ออ่อนแอและโป่งพอง
  •  โรคข้อเสื่อมหรือเยื่อหุ้มข้ออักเสบ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อรอบข้อและเกิดถุงน้ำได้ง่าย
  • ความเสื่อมของข้อต่อหรือเอ็น เมื่อเนื้อเยื่อเสื่อมตามอายุ จะเพิ่มโอกาสเกิดถุงน้ำในบริเวณนั้น
  • บาดเจ็บบริเวณข้อหรือเอ็น การอักเสบหรือฉีกขาดเล็กน้อยของเอ็นอาจทำให้ของเหลวในข้อรั่วออกมา
  • การใช้งานข้อซ้ำๆ เช่น การพิมพ์งาน จับเมาส์ หรือเล่นกีฬา ใช้มือบ่อยๆ ทำให้เกิดแรงกดและการเสียดสีซ้ำที่ข้อ
  • ความไม่สมดุลของแรงดันภายในข้อ เมื่อแรงดันในข้อเพิ่มขึ้นอาจทำให้ของเหลวภายในข้อดันออกมาสู่เนื้อเยื่อรอบข้างจนเกิดเป็นถุงน้ำ

 

สัญญาณอาการ Ganglion Cyst ที่ควรพบแพทย์

สัญญาณอาการ Ganglion Cyst ที่ควรพบแพทย์

โดยทั่วไป Ganglion Cyst ไม่เป็นอันตรายและอาจหายได้เอง แต่หากมีอาการผิดปกติบางอย่าง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะอาการบางอย่างอาจบ่งชี้ถึงการกดทับเส้นประสาทหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

  • ก้อนมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างผิดปกติ
  • มีอาการปวด บวม แดง หรือร้อนบริเวณก้อน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการอักเสบหรือการติดเชื้อ
  • รู้สึกชา หรือมีอาการอ่อนแรงของมือ นิ้ว หรือข้อใกล้เคียง จากการที่ถุงน้ำกดทับเส้นประสาท
  • ขยับข้อต่อได้ลำบาก หรือมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว
  • ก้อนแตกเองหรือมีของเหลวไหลออกมา ควรหลีกเลี่ยงการกดหรือบีบ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อ
  • ไม่แน่ใจว่าก้อนที่เกิดขึ้นเป็นถุงน้ำ Ganglion Cyst หรือเนื้องอกชนิดอื่น ควรให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยเพื่อความมั่นใจ

การตรวจวินิจฉัย Ganglion Cyst

  1. ซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูตำแหน่ง ขนาด รูปร่าง ความยืดหยุ่น และอาการเจ็บของก้อน
  2. การส่องแสงผ่านก้อน (Transillumination test) ใช้แสงส่องดูว่าก้อนโปร่งแสงหรือไม่ หากโปร่งแสงมักเป็น Ganglion Cyst
  3. การ Ultrasound ช่วยยืนยันว่าก้อนเป็นของเหลวหรือเนื้อแข็ง และแยกจากภาวะอื่น เช่น ซีสต์หรือเนื้องอก
  4. การ MRI (Magnetic Resonance Imaging) ใช้ในกรณีที่ก้อนอยู่ลึก มองเห็นยาก หรือมีความซับซ้อน เพื่อช่วยในการวินิจฉัยอย่างละเอียด
  5. การเจาะดูดของเหลว (Aspiration) อาจทำในบางกรณีเพื่อยืนยันว่าเป็นของเหลวใสคล้ายเจล ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Ganglion Cyst

 

วิธีรักษา Ganglion Cyst

วิธีรักษา Ganglion Cyst

การรักษา Ganglion Cyst หรือเมื่อถุงน้ำข้อเท้าอักเสบขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และอาการของผู้ป่วย ในบางรายก้อนอาจยุบหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่หากก้อนมีขนาดใหญ่ เจ็บ หรือรบกวนการใช้งาน ควรได้รับการดูแลจากแพทย์เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม โดยมีแนวทางหลักดังนี้

การรักษาโดยไม่ผ่าตัด

การรักษาโดยไม่ผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ที่มีก้อนขนาดเล็กและไม่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการไปก่อน เนื่องจากถุงน้ำบางก้อนสามารถยุบหายได้เอง ควรหลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือเจาะก้อนด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรืออักเสบได้ นอกจากนี้อาจใช้การพันผ้ายืด หรือ ใส่อุปกรณ์พยุงข้อ ช่วยลดแรงกดและการเคลื่อนไหวของข้อ เพื่อลดอาการปวดและให้ก้อนค่อยๆ ยุบลง

การรักษาโดยการเจาะดูดน้ำ

แพทย์จะใช้เข็มเจาะเข้าไปในก้อนเพื่อดูดของเหลวออก ซึ่งช่วยลดขนาดของถุงน้ำและบรรเทาอาการปวดได้ทันที บางครั้งแพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์ร่วมด้วยเพื่อลดการอักเสบและป้องกันการกลับมาเกิดซ้ำ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่หายขาด เพราะถุงน้ำสามารถกลับมาได้อีก โดยเฉพาะหากยังมีแรงกดหรือการใช้งานข้อซ้ำๆ

การรักษาโดยการผ่าตัด

รักษาโดยการผ่าตัดใช้ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่ เจ็บปวดมาก หรือกลับมาเกิดซ้ำบ่อย แพทย์จะทำการผ่าตัดนำถุงน้ำและรากที่เชื่อมต่อกับข้อต่อหรือปลอกหุ้มเอ็นออกทั้งหมด เพื่อลดโอกาสการเกิดซ้ำการผ่าตัดทำได้ทั้งแบบเปิด หรือส่องกล้อง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของก้อน หลังผ่าตัดอาจต้องพักการใช้งานบริเวณนั้นชั่วคราว และทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของข้อให้กลับมาเป็นปกติ

การฟื้นฟูหลังรักษา Ganglion Cyst

หลังจากการรักษาไม่ว่าจะเป็นการเจาะดูดน้ำหรือการผ่าตัดควรดูแลและฟื้นฟูข้อต่ออย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการอักเสบ การกลับมาเกิดซ้ำ และช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อกลับมาเป็นปกติ การดูแลตนเองมีแนวทางดังนี้

  1. พักข้อ 1-2 วันเพื่อลดการอักเสบ
  2. ประคบเย็น วันละหลายครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที เพื่อลดบวมและปวด
  3. ใส่อุปกรณ์พยุงข้อ (เฝือกหรือผ้ารัด) หากแพทย์แนะนำ
  4. เคลื่อนไหวข้อเบาๆ งอ-เหยียดช้าๆ ลดความตึงตัวของข้อ
  5. ฝึกกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อ
  6. ประคบอุ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  7. ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง เช่น บีบลูกบอลยางหรือใช้ยางยืดบริหารข้อ
  8. ปรับพฤติกรรมการใช้งานข้อ หลีกเลี่ยงการกดหรือเคลื่อนไหวซ้ำๆ
  9. ติดตามแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจสอบโอกาสเกิดก้อนซ้ำ

การป้องกันการเกิด Ganglion Cyst

แม้ว่ายังไม่สามารถป้องกันการเกิด Ganglion Cyst ได้ทั้งหมด เพราะสาเหตุที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่สามารถลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้ด้วยการดูแลข้อต่อและเอ็นให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงแรงกดหรือการใช้งานข้อที่มากเกินไป โดยแนวทางการป้องกันมีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมือหรือข้อเท้าในท่าซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น พิมพ์งาน จับเมาส์ หรือยกของหนัก
  • ปรับท่าทางการทำงานให้ถูกต้อง เพื่อลดแรงกดและแรงบิดที่ข้อต่อ
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเอ็นรอบข้อก่อนและหลังทำกิจกรรม เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
  • พักข้อต่อเป็นระยะ หากต้องใช้มือหรือเท้าทำงานต่อเนื่องนานๆ
  • ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ เช่น บีบลูกบอลยาง หรือหมุนข้อมือช้าๆ
  • หลีกเลี่ยงการกระแทกหรือบาดเจ็บบริเวณข้อต่อ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดถุงน้ำได้
  • สังเกตความผิดปกติของข้อ หากมีก้อนหรืออาการปวดซ้ำ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

 

รักษา Ganglion Cyst ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

รักษา Ganglion Cyst ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

แม้ว่า Ganglion Cyst จะไม่ใช่เนื้องอกร้ายแรงแต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอาจทำให้ก้อนโตขึ้นจนกดทับเส้นประสาท เกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงบริเวณมือ นิ้ว หรือข้อเท้าได้ อีกทั้งยังอาจรบกวนการเคลื่อนไหวและการใช้งานข้อต่อในชีวิตประจำวัน หากก้อนแตกหรือพยายามเจาะเองก็อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอักเสบตามมา โรงพยาบาลวิภาวดีมีแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ (Orthopedics) ให้บริการตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Ultrasound หรือ MRI เพื่อประเมินลักษณะของก้อนอย่างละเอียด ก่อนวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ทั้งการเจาะดูดของเหลวเพื่อบรรเทาอาการ และการผ่าตัดเอาก้อนออก เพื่อป้องกันการกลับมาเกิดซ้ำ พร้อมได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยภายใต้การรักษาของแพทย์เฉพาะทาง พร้อมบริการฟื้นฟูและกายภาพบำบัดหลังการรักษา เพื่อให้สามารถกลับมาเคลื่อนไหวและใช้งานข้อต่อได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

สรุป

Ganglion Cyst คือก้อนน้ำที่เกิดจากการสะสมของของเหลวภายในข้อหรือปลอกหุ้มเอ็น มักพบที่ข้อมือหรือข้อเท้า แม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็อาจสร้างความรำคาญหรือปวดเมื่อกดทับเส้นประสาทได้ การวินิจฉัยทำได้โดยแพทย์เฉพาะทางด้วยการตรวจร่างกายและอาจใช้การ Ultrasound หรือ MRI เพื่อยืนยันผล การรักษามีทั้งแบบไม่ผ่าตัด การเจาะดูดน้ำ และการผ่าตัดเอาก้อนออก ทั้งนี้การดูแลหลังการรักษาและการป้องกันก็สำคัญ เช่น การพักข้อ ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง และปรับพฤติกรรมการใช้งานข้อ หากมีก้อนผิดปกติหรืออาการเจ็บเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินอย่างถูกต้องและรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้กลับมาใช้งานข้อได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

หากมีก้อนถุงน้ำ Ganglion Cyst อย่าปล่อยทิ้งไว้! เข้ารับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสมที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมด้วยบริการวินิจฉัยด้วย Ultrasound หรือ MRI และรักษาโดยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ผู้ชำนาญการ ทั้งการเจาะดูดน้ำหรือผ่าตัดเอาก้อนออกอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณกลับมาใช้มือหรือข้อเท้าได้อย่างมั่นใจ และลดโอกาสการเกิดซ้ำในอนาคต!

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

จะรู้ได้อย่างไรว่ามีก้อน Ganglion Cyst?

ผู้ที่มีก้อน Ganglion Cyst มักสังเกตเห็นก้อนนูนใต้ผิวหนังบริเวณข้อมือ ฝ่ามือ หรือข้อเท้า ก้อนจะมีลักษณะกลมหรือรี ผิวเรียบ ขยับได้เมื่อจับ และมักไม่เจ็บปวด ในบางรายอาจรู้สึกปวดตื้อๆ หรือแน่นเวลาใช้งานข้อ หากไม่แน่ใจ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจยืนยันด้วยอัลตราซาวนด์หรือ MRI

ก้อนถุงน้ำที่ข้อมือ Ganglion Cyst หายเองได้ไหม?

ในบางกรณี Ganglion Cyst สามารถยุบหายได้เอง โดยเฉพาะก้อนขนาดเล็กที่ไม่เจ็บและไม่ได้กดทับเส้นประสาท แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการไปก่อน แต่หากก้อนโตขึ้น เจ็บ หรือรบกวนการใช้งาน ควรเข้ารับการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ก้อนถุงน้ำที่ข้อมือ Ganglion Cyst สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม?

ถุงน้ำ Ganglion Cyst มีโอกาสกลับมาเกิดซ้ำได้แม้จะได้รับการรักษาแล้วหากยังมีแรงกดหรือใช้งานข้อมือซ้ำๆ การผ่าตัดเอาถุงน้ำและรากที่เชื่อมกับข้อออกทั้งหมดจะช่วยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำได้ดี

การนวดหรือบีบก้อนถุงน้ำ Ganglion Cyst ช่วยให้หายไหม?

ไม่ควรนวดหรือบีบก้อนถุงน้ำด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้ถุงแตก ของเหลวรั่ว และเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ แม้บางครั้งก้อนอาจยุบลงชั่วคราว แต่มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีก ควรให้แพทย์ประเมินและรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อความปลอดภัย


บทความที่เกี่ยวข้อง