มีอาการเจ็บส้นเท้าทำอย่างไรให้หาย? ปล่อยไว้จะหายเองไหม? อาการ “ปวดส้นเท้า” อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส้นเท้าเป็นจุดที่รองรับน้ำหนักตัวเกือบทั้งหมดในการเดิน ยืน หรือออกกำลังกาย หากเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บ อาจส่งผลให้เจ็บมากจนเดินลำบาก หรือกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ หลายคนอาจไม่รู้ว่าอาการปวดส้นเท้าอาจเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ได้
การทำความเข้าใจสาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันคือกุญแจสำคัญ โรงพยาบาลวิภาวดีมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านออร์โธปิดิกส์พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%20Article%208%20(%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%20%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2)_Article.jpg)
อาการปวดส้นเท้าที่เป็นมากกว่าความเมื่อยทั่วไปจากการเดินหรือยืนนาน อาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติที่ต้องรักษา เพราะหากละเลย สามารถกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเดินและการใช้ชีวิตประจำวันได้ อาการปวดที่ควรระวังและไม่ควรมองข้าม ได้แก่
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง เช่น การกายภาพบำบัด การฉีดลดการอักเสบ หรือการปรับรองเท้าให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำอีก
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%20Article%208%20(%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%20%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2)_Article2.jpg)
อาการปวดส้นเท้ามักเกิดจากการใช้งานเท้าอย่างต่อเนื่องร่วมกับปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้เอ็น พังผืด หรือกระดูกส้นเท้ารับแรงมากเกินไป การรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยป้องกันและลดโอกาสเกิดอาการได้
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%20Article%208%20(%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%20%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2)_Article3.jpg)
อาการปวดส้นเท้าไม่ได้เกิดจากการเดินหรือยืนนานเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติหลายอย่าง ดังนี้
โรครองช้ำเป็นภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าซึ่งยึดระหว่างกระดูกส้นเท้าและปลายเท้าเกิดการอักเสบจากแรงกดซ้ำๆ มักมีอาการปวดจี๊ดที่ส้นเท้า โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนก้าวแรก หรือหลังพักเท้านานๆ อาการมักดีขึ้นเมื่อเดินไปสักระยะ แต่จะกลับมาเจ็บอีกเมื่อใช้งานเท้ามาก โรคนี้พบบ่อยในผู้ที่ต้องยืนหรือเดินนาน เช่น พนักงานขาย พยาบาล และนักกีฬา
โรคจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบเกิดจากการอักเสบที่บริเวณจุดที่เอ็นร้อยหวายเกาะติดกับกระดูกส้นเท้า มักปวดบริเวณหลังส้นเท้า ปวดมากเวลาเดินขึ้นบันไดหรือยกปลายเท้า พบมากในผู้ที่ออกกำลังกายหนักเกินไปโดยไม่ได้วอร์มอัป หรือผู้ที่กล้ามเนื้อน่องตึงเรื้อรัง หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้เอ็นร้อยหวายหนา แข็ง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการฉีกขาดได้
กระดูกส้นเท้าอักเสบหรือกระดูกงอกที่ส้นเท้า เกิดจากการที่กระดูกส้นเท้าถูกแรงดึงหรือแรงกดซ้ำๆ จากพังผืดใต้ฝ่าเท้า จนร่างกายสร้างกระดูกงอกออกมาเป็นปุ่มเล็กๆ ที่ปลายส้นเท้า มักรู้สึกปวดเหมือนเหยียบของแข็งโดยเฉพาะตอนเช้าหรือเมื่อยืนนาน โรคนี้มักเกิดร่วมกับโรครองช้ำ
โรคเส้นประสาทบริเวณข้อเท้ามีการกดทับเป็นภาวะที่เส้นประสาทด้านในข้อเท้า (Tibial Nerve) ถูกกดทับในช่องแคบ ทำให้มีอาการปวดแปลบ ชา หรือแสบร้อนที่ส้นเท้า ฝ่าเท้า หรือปลายนิ้วเท้า อาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อยืนนานหรือเดินมาก โรคนี้คล้ายอาการปลายประสาทอักเสบ และต้องวินิจฉัยด้วยการตรวจระบบประสาทหรือ MRI
กระดูกร้าวหรือแตกหัก เกิดจากแรงกระแทกหรือการใช้งานเท้าซ้ำๆ เช่น วิ่งหรือกระโดดต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยร้าวขนาดเล็กในกระดูกส้นเท้า จะรู้สึกปวดลึกๆ ในเท้า ปวดมากขึ้นเมื่อเดินหรือรับน้ำหนัก แม้พักก็ยังไม่หายดี มักพบในนักกีฬาหรือผู้ที่เพิ่มระดับการออกกำลังกายเร็วเกินไป
ถุงน้ำเป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยลดแรงเสียดสีระหว่างเส้นเอ็นกับกระดูก หากถุงน้ำอักเสบเกิดจะทำให้บริเวณส้นเท้าบวม แดง ร้อน และปวดมาก โดยเฉพาะเวลาสวมรองเท้าที่เสียดสีกับจุดอักเสบ โรคนี้มักเกิดจากรองเท้ากัดหรือกดทับเป็นประจำ
ใต้ส้นเท้าจะมีชั้นไขมันหนาที่ช่วยรองรับแรงกระแทก เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีการกดซ้ำๆ ชั้นไขมันนี้จะบางลง อาจทำให้เกิดภาวะไขมันที่ส้นเท้าฝ่อลีบ ทำให้รู้สึกเหมือนส้นเท้ากระแทกพื้นโดยตรง เจ็บแสบเวลายืนนานหรือเดินเท้าเปล่า พบบ่อยในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ใส่รองเท้าพื้นแข็งนานๆ
โรคข้ออักเสบ ได้แก่ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) และ โรคเกาต์ (Gout) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อรอบส้นเท้าและฝ่าเท้า จะรู้สึกปวด บวม ร้อน เคลื่อนไหวลำบาก โดยเฉพาะช่วงเช้า หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ข้อเสื่อมและเกิดความพิการของข้อในระยะยาว
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%20Article%208%20(%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%20%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2)_Article4.jpg)
การตรวจวินิจฉัยทำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดส้นเท้า และแยกหลายโรคที่อาจมีอาการคล้ายกันออกจากกัน โดยมีขั้นตอนดังนี้
เมื่อทราบสาเหตุที่แน่ชัด แพทย์จะวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล เพื่อช่วยบรรเทาอาการ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และฟื้นฟูการใช้งานเท้าให้กลับมาเป็นปกติ
วิธีรักษาอาการปวดส้นเท้าขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ หากเป็นอาการเล็กน้อยสามารถดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการได้ แต่หากอาการเรื้อรัง ปวดมาก หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรเข้ารับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด
เป็นขั้นตอนแรกที่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อลดอาการปวดและป้องกันการอักเสบเพิ่มขึ้น ได้แก่
หากอาการไม่ดีขึ้นด้วยการดูแลตัวเอง แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาอาการและเร่งการฟื้นฟู เช่น
ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีทั่วไปแล้วยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาวิธีรักษาเฉพาะทาง เช่น
หลังผ่าตัดแพทย์จะวางแผนการฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้ตามปกติอย่างปลอดภัยและป้องกันการเกิดซ้ำในอนาคต
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%20Article%208%20(%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%20%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2)_Article5.jpg)
การดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดส้นเท้าสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ไปดูกันว่าสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
การดูแลเท้าอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการปวดส้นเท้า และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเดินและการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว
โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจและรักษาอาการปวดส้นเท้าโดยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อที่มีประสบการณ์ พร้อมเทคโนโลยีการวินิจฉัยทันสมัย เช่น X-ray, MRI เพื่อให้เห็นรายละเอียดของพังผืด เอ็น กระดูกอย่างแม่นยำ เลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น กายภาพบำบัด ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การปรับรองเท้า การใช้ Shockwave Therapy เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูของพังผืดและเอ็น ลดการอักเสบโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือ การฉีดลดการอักเสบเฉพาะจุด หรือ PRP เพื่อเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในกรณีที่อาการเรื้อรัง รวมทั้งการรักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะรุนแรง
การรักษาที่โรงพยาบาลวิภาวดีมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้อย่างมั่นใจ ลดอาการปวด และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายและปลอดภัยในระยะยาว
อาการปวดส้นเท้าอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะผิดปกติที่ควรใส่ใจ เช่น โรครองช้ำ เอ็นร้อยหวายอักเสบ กระดูกส้นเท้าอักเสบ โรคเส้นประสาทบริเวณข้อเท้ามีการกดทับ หรือโรคข้ออักเสบจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือ โรคเกาต์ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจทำให้เดินลำบากและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ การดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การพักเท้า ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และเลือกรองเท้าที่เหมาะสม สามารถช่วยลดอาการได้มาก แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียด
หากคุณมีอาการปวดส้นเท้าซ้ำๆ เดินลำบาก หรือเจ็บมากในตอนเช้า อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอาการปวดส้นเท้าอย่างละเอียด พร้อมทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อ และเทคนิคการรักษาที่ทันสมัย เช่น กายภาพบำบัด การทำ Shockwave Therapy หรือการปรับรองเท้าเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
หากอาการปวดส้นเท้าเป็นๆ หายๆ หรือเรื้อรังนานหลายสัปดาห์ อาจบ่งบอกถึงภาวะพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ หรือเอ็นร้อยหวายอักเสบ ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง เดินลงน้ำหนักไม่ได้ หรือส่งผลต่อข้อต่อส่วนอื่นของขาได้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด
การยืดเหยียดพังผืดใต้ฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อน่องเป็นวิธีช่วยลดอาการปวดได้ เช่น ท่ากลิ้งเท้าด้วยลูกบอลเล็กๆ หรือขวดน้ำเย็น ท่าดึงปลายเท้าเข้าหาตัวในท่านั่งเหยียดขา และการยืดกล้ามเนื้อน่องกับผนัง ควรทำอย่างสม่ำเสมอวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้พังผืดและกล้ามเนื้อยืดหยุ่นดีขึ้น
ระยะเวลาพักขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ หากเป็นจากการใช้งานเท้ามากเกินไป มักดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์หลังพักและดูแลอย่างเหมาะสม แต่หากเกิดจากพังผืดอักเสบหรือเอ็นร้อยหวายอักเสบ อาจต้องใช้เวลารักษาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน โดยเฉพาะในรายที่ไม่ได้พักเพียงพอหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยถูกต้องและดูแลอย่างต่อเนื่อง การพักเท้า ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ใช้รองเท้าที่เหมาะสม และทำกายภาพบำบัดช่วยให้ฟื้นตัวได้ดี แต่ถ้ายังมีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักตัวเกิน หรือใส่รองเท้าไม่เหมาะสม อาการอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ จึงควรดูแลเท้าอย่างสม่ำเสมอหลังการรักษา
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved