ปวดส้นเท้าสัญญาณบอกโรคอะไร หาสาเหตุ พร้อมวิธีรักษาและป้องกัน

  • อาการปวดส้นเท้าที่ควรไปพบแพทย์ คือ มีอาการปวดส้นเท้ารุนแรง เดินลงน้ำหนักไม่ได้ ปวดต่อเนื่องนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือปวดร่วมกับบวม แดง ร้อน เพราะอาจเป็นภาวะอักเสบของพังผืด เอ็น หรือกระดูก ที่ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง
  • อาการปวดส้นเท้าอาจเกิดจากหลายโรค เช่น พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ เอ็นร้อยหวายอักเสบ กระดูกส้นเท้างอก หรือเส้นประสาทถูกกดทับ หากละเลยการรักษา อาจลุกลามจนทำให้เดินลำบากและปวดเรื้อรังได้
  • แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดในกรณีที่รักษาด้วยวิธีทั่วไป เช่น กายภาพบำบัด ยา หรือการฉีดแล้วไม่ดีขึ้น และมีพังผืดหรือกระดูกงอกขนาดใหญ่กดทับเส้นประสาท หรือเอ็นร้อยหวายฉีกขาดรุนแรง เพื่อแก้ไขและบรรเทาอาการอย่างถาวร

มีอาการเจ็บส้นเท้าทำอย่างไรให้หาย? ปล่อยไว้จะหายเองไหม? อาการ “ปวดส้นเท้า” อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส้นเท้าเป็นจุดที่รองรับน้ำหนักตัวเกือบทั้งหมดในการเดิน ยืน หรือออกกำลังกาย หากเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บ อาจส่งผลให้เจ็บมากจนเดินลำบาก หรือกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ หลายคนอาจไม่รู้ว่าอาการปวดส้นเท้าอาจเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ได้

การทำความเข้าใจสาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันคือกุญแจสำคัญ โรงพยาบาลวิภาวดีมีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านออร์โธปิดิกส์พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

อาการปวดส้นเท้าแบบไหน ไม่ควรมองข้าม?

อาการปวดส้นเท้าแบบไหน ไม่ควรมองข้าม?

อาการปวดส้นเท้าที่เป็นมากกว่าความเมื่อยทั่วไปจากการเดินหรือยืนนาน อาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติที่ต้องรักษา เพราะหากละเลย สามารถกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเดินและการใช้ชีวิตประจำวันได้ อาการปวดที่ควรระวังและไม่ควรมองข้าม ได้แก่

  • ปวดจี๊ดหรือแสบส้นเท้าตอนก้าวแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า แล้วค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเริ่มเดิน นี่มักเป็นสัญญาณของ โรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) ซึ่งเกิดจากพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบจากการใช้งานมากเกินไป
  • ปวดบริเวณด้านหลังส้นเท้า โดยเฉพาะเวลาขยับข้อเท้าหรือขึ้นลงบันได อาจเป็น เอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles Tendinitis) ซึ่งเกิดจากการออกแรงหรือออกกำลังกายโดยไม่อบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ
  • ปวดบวม แดง ร้อนบริเวณส้นเท้า โดยเฉพาะถ้าปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หรือกดแล้วเจ็บมาก อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษา
  • ปวดร้าวลึกๆ หรือมีอาการชาที่ส้นเท้า อาจเกี่ยวข้องกับ เส้นประสาทบริเวณส้นเท้าถูกกดทับ (Tarsal Tunnel Syndrome) ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายรังสีหรือ MRI
  • ปวดเรื้อรังแม้พักหรือไม่ดีขึ้นหลังดูแลตัวเองหลายสัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณของ กระดูกส้นเท้างอก หรือ ภาวะกระดูกอักเสบ ที่ต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง เช่น การกายภาพบำบัด การฉีดลดการอักเสบ หรือการปรับรองเท้าให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำอีก

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดส้นเท้า

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดส้นเท้า

อาการปวดส้นเท้ามักเกิดจากการใช้งานเท้าอย่างต่อเนื่องร่วมกับปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้เอ็น พังผืด หรือกระดูกส้นเท้ารับแรงมากเกินไป การรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยป้องกันและลดโอกาสเกิดอาการได้

  • น้ำหนักตัวเกินหรือภาวะอ้วน ทำให้เท้าและส้นเท้ารับน้ำหนักมากขึ้น ส่งผลให้พังผืดและเอ็นเกิดการอักเสบได้ง่าย
  • การใช้งานเท้าหนักและเป็นเวลานาน เช่น การยืนนาน เดินหรือวิ่งระยะไกลโดยไม่พัก ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณส้นเท้าถูกใช้งานเกินขีดจำกัด
  • ความผิดปกติของโครงสร้างเท้า เช่น เท้าแบน เท้าโก่ง หรือรูปเท้าที่ผิดปกติ ทำให้แรงกระจายน้ำหนักไม่สมดุลและเกิดแรงกดที่ส้นเท้ามากกว่าปกติ
  • อายุที่เพิ่มขึ้น พังผืดและเอ็นร้อยหวายมีความยืดหยุ่นลดลงตามอายุ ทำให้เกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น
  • การใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าที่พื้นแข็ง ไม่มีแผ่นรองรับอุ้งเท้า หรือส้นสูงเกินไป ทำให้ส้นเท้ารับแรงกระแทกโดยตรง
  • ภาวะกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายตึง เพิ่มแรงดึงรั้งต่อพังผืดใต้ฝ่าเท้า ทำให้เกิดอาการปวดส้นเท้าได้บ่อย
  • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือเกาต์ ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณเท้า
ปวดส้นเท้าเสี่ยงโรคอะไรบ้าง

ปวดส้นเท้าเสี่ยงโรคอะไรบ้าง

อาการปวดส้นเท้าไม่ได้เกิดจากการเดินหรือยืนนานเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติหลายอย่าง ดังนี้

โรครองช้ำ

โรครองช้ำเป็นภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าซึ่งยึดระหว่างกระดูกส้นเท้าและปลายเท้าเกิดการอักเสบจากแรงกดซ้ำๆ มักมีอาการปวดจี๊ดที่ส้นเท้า โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนก้าวแรก หรือหลังพักเท้านานๆ อาการมักดีขึ้นเมื่อเดินไปสักระยะ แต่จะกลับมาเจ็บอีกเมื่อใช้งานเท้ามาก โรคนี้พบบ่อยในผู้ที่ต้องยืนหรือเดินนาน เช่น พนักงานขาย พยาบาล และนักกีฬา

โรคจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบ

โรคจุดเกาะเอ็นร้อยหวายอักเสบเกิดจากการอักเสบที่บริเวณจุดที่เอ็นร้อยหวายเกาะติดกับกระดูกส้นเท้า มักปวดบริเวณหลังส้นเท้า ปวดมากเวลาเดินขึ้นบันไดหรือยกปลายเท้า พบมากในผู้ที่ออกกำลังกายหนักเกินไปโดยไม่ได้วอร์มอัป หรือผู้ที่กล้ามเนื้อน่องตึงเรื้อรัง หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้เอ็นร้อยหวายหนา แข็ง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการฉีกขาดได้

กระดูกส้นเท้าอักเสบ หรือกระดูกงอกที่ส้นเท้า

กระดูกส้นเท้าอักเสบหรือกระดูกงอกที่ส้นเท้า เกิดจากการที่กระดูกส้นเท้าถูกแรงดึงหรือแรงกดซ้ำๆ จากพังผืดใต้ฝ่าเท้า จนร่างกายสร้างกระดูกงอกออกมาเป็นปุ่มเล็กๆ ที่ปลายส้นเท้า มักรู้สึกปวดเหมือนเหยียบของแข็งโดยเฉพาะตอนเช้าหรือเมื่อยืนนาน โรคนี้มักเกิดร่วมกับโรครองช้ำ

โรคเส้นประสาทบริเวณข้อเท้ามีการกดทับ

โรคเส้นประสาทบริเวณข้อเท้ามีการกดทับเป็นภาวะที่เส้นประสาทด้านในข้อเท้า (Tibial Nerve) ถูกกดทับในช่องแคบ ทำให้มีอาการปวดแปลบ ชา หรือแสบร้อนที่ส้นเท้า ฝ่าเท้า หรือปลายนิ้วเท้า อาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อยืนนานหรือเดินมาก โรคนี้คล้ายอาการปลายประสาทอักเสบ และต้องวินิจฉัยด้วยการตรวจระบบประสาทหรือ MRI

กระดูกร้าว หรือแตกหัก

กระดูกร้าวหรือแตกหัก เกิดจากแรงกระแทกหรือการใช้งานเท้าซ้ำๆ เช่น วิ่งหรือกระโดดต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยร้าวขนาดเล็กในกระดูกส้นเท้า จะรู้สึกปวดลึกๆ ในเท้า ปวดมากขึ้นเมื่อเดินหรือรับน้ำหนัก แม้พักก็ยังไม่หายดี มักพบในนักกีฬาหรือผู้ที่เพิ่มระดับการออกกำลังกายเร็วเกินไป

ถุงน้ำอักเสบ

ถุงน้ำเป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยลดแรงเสียดสีระหว่างเส้นเอ็นกับกระดูก หากถุงน้ำอักเสบเกิดจะทำให้บริเวณส้นเท้าบวม แดง ร้อน และปวดมาก โดยเฉพาะเวลาสวมรองเท้าที่เสียดสีกับจุดอักเสบ โรคนี้มักเกิดจากรองเท้ากัดหรือกดทับเป็นประจำ

ภาวะไขมันที่ส้นเท้าฝ่อลีบ

ใต้ส้นเท้าจะมีชั้นไขมันหนาที่ช่วยรองรับแรงกระแทก เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีการกดซ้ำๆ ชั้นไขมันนี้จะบางลง อาจทำให้เกิดภาวะไขมันที่ส้นเท้าฝ่อลีบ ทำให้รู้สึกเหมือนส้นเท้ากระแทกพื้นโดยตรง เจ็บแสบเวลายืนนานหรือเดินเท้าเปล่า พบบ่อยในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ใส่รองเท้าพื้นแข็งนานๆ

โรคข้ออักเสบ

โรคข้ออักเสบ ได้แก่ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) และ โรคเกาต์ (Gout) ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อรอบส้นเท้าและฝ่าเท้า จะรู้สึกปวด บวม ร้อน เคลื่อนไหวลำบาก โดยเฉพาะช่วงเช้า หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ข้อเสื่อมและเกิดความพิการของข้อในระยะยาว

การวินิจฉัยอาการปวดส้นเท้า

การวินิจฉัยอาการปวดส้นเท้า

การตรวจวินิจฉัยทำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดส้นเท้า และแยกหลายโรคที่อาจมีอาการคล้ายกันออกจากกัน โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ซักประวัติและอาการปวด เช่น ปวดตอนไหน ปวดลักษณะใด ปวดมากเวลายืน เดิน หรือหลังพักเท้า รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานเท้า การออกกำลังกาย การสวมรองเท้า และโรคประจำตัวที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น เบาหวาน หรือโรคข้ออักเสบ
  2. ตรวจร่างกายและการเดิน แพทย์จะคลำและกดบริเวณส้นเท้าเพื่อดูจุดที่ปวดหรือบวม ตรวจดูการเคลื่อนไหวของข้อเท้า ลักษณะการเดิน และโครงสร้างเท้า เช่น เท้าแบน เท้าโก่ง หรือแนวการลงน้ำหนักเวลายืนและเดิน
  3. การตรวจทางภาพถ่าย หากจำเป็น แพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น X-ray เพื่อดูความผิดปกติของกระดูก (กระดูกงอกหรือร้าว) Ultrasound เพื่อดูการอักเสบของเอ็น พังผืด หรือถุงน้ำ หรือ MRI เพื่อดูรายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อน เส้นเอ็น หรือเส้นประสาทที่อาจถูกกดทับ
  4. การตรวจเลือด ใช้ในกรณีที่สงสัยโรคข้ออักเสบหรือโรคเกาต์ เพื่อหาสารบ่งชี้การอักเสบหรือกรดยูริกในเลือด

เมื่อทราบสาเหตุที่แน่ชัด แพทย์จะวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล เพื่อช่วยบรรเทาอาการ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และฟื้นฟูการใช้งานเท้าให้กลับมาเป็นปกติ

วิธีรักษาอาการปวดส้นเท้า

วิธีรักษาอาการปวดส้นเท้าขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ หากเป็นอาการเล็กน้อยสามารถดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการได้ แต่หากอาการเรื้อรัง ปวดมาก หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรเข้ารับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด

การรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเอง

เป็นขั้นตอนแรกที่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อลดอาการปวดและป้องกันการอักเสบเพิ่มขึ้น ได้แก่

  • ไม่ใช้งานเท้ามากเกินไป หลีกเลี่ยงการยืน เดิน หรือวิ่งเป็นเวลานาน ให้เท้ามีเวลาฟื้นตัว
  • ประคบเย็น วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที ใช้ผ้าห่อถุงน้ำแข็งวางบริเวณส้นเท้า ช่วยลดการอักเสบและบวม
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและพังผืดใต้ฝ่าเท้า เช่น ท่ายืดน่อง ท่ากลิ้งฝ่าเท้าด้วยลูกเทนนิส เพื่อคลายความตึงและเพิ่มความยืดหยุ่น
  • ใส่รองเท้าที่เหมาะสม ควรมีพื้นนุ่ม รองรับอุ้งเท้าได้ดี และส้นไม่สูงเกินไป
  • ใช้แผ่นรองส้นเท้า (Heel Pad / Insole) เพื่อลดแรงกระแทกขณะเดินหรือยืน
  • ปรับพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

การรักษาโดยแพทย์

หากอาการไม่ดีขึ้นด้วยการดูแลตัวเอง แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาอาการและเร่งการฟื้นฟู เช่น

  • การใช้ยาแก้ปวดหรือลดการอักเสบ (NSAIDs) ช่วยลดอาการปวดและบวมเฉียบพลัน
  • การทำกายภาพบำบัด (Physical Therapy) เช่น อัลตราซาวด์บำบัด คลื่นกระแทก (Shockwave Therapy) หรือเทคนิคยืดเหยียดเฉพาะจุด เพื่อฟื้นฟูพังผืดและเอ็นที่อักเสบ
  • การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะจุด ในกรณีที่อาการอักเสบรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันผลข้างเคียง
  • การปรับรองเท้า หรือ ทำแผ่นรองเท้าพิเศษ เพื่อช่วยกระจายน้ำหนักและลดแรงกดที่ส้นเท้า

การรักษาเฉพาะทาง หรือผ่าตัด

ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีทั่วไปแล้วยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาวิธีรักษาเฉพาะทาง เช่น

  • การผ่าตัดเอาพังผืดใต้ฝ่าเท้าบางส่วนออก เพื่อคลายแรงดึงรั้งและลดอาการปวดในผู้ป่วยโรครองช้ำเรื้อรัง
  • การผ่าตัดเอากระดูกงอกที่ส้นเท้าออก ในกรณีที่ปุ่มกระดูกงอกกดทับเนื้อเยื่อหรือเส้นเอ็นจนปวดมาก
  • การรักษาเส้นประสาทหรือเอ็นร้อยหวาย สำหรับผู้ที่มีภาวะเส้นประสาทถูกกดทับหรือเอ็นร้อยหวายอักเสบรุนแรง

หลังผ่าตัดแพทย์จะวางแผนการฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้ตามปกติอย่างปลอดภัยและป้องกันการเกิดซ้ำในอนาคต

การป้องกันอาการปวดส้นเท้า

การป้องกันอาการปวดส้นเท้า

การดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดส้นเท้าสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ไปดูกันว่าสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

  1. เลือกรองเท้าให้เหมาะสม ควรเลือกรองเท้าที่พื้นนุ่ม รองรับอุ้งเท้าได้ดี มีขนาดพอดี ไม่บีบหรือหลวมเกินไป หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงหรือพื้นแข็งเกินไป
  2. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้ส้นเท้ารับแรงกดมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า
  3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและพังผืดเท้าเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อคลายความตึงของกล้ามเนื้อน่องและพังผืดใต้ฝ่าเท้า เช่น ท่ายืดน่องหรือกลิ้งเท้าด้วยลูกบอล
  4. การเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับกิจกรรม หากต้องยืน เดิน หรือวิ่งนาน ควรใช้รองเท้ากีฬาเฉพาะประเภท เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกและลดการบาดเจ็บ
  5. ใช้แผ่นรองส้นเท้า (Heel Pad หรือ Insole) เพื่อช่วยซับแรงกระแทกขณะเดินหรือวิ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องยืนหรือเดินนานในแต่ละวัน
  6. การควบคุมน้ำหนักตัว ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อลดแรงกดบนเท้าและลดความเสี่ยงต่อภาวะเอ็นอักเสบ
  7. การปรับพฤติกรรมการใช้เท้า หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง การยืนนานโดยไม่พัก หรือการเพิ่มระดับการออกกำลังกายเร็วเกินไป ควรค่อยๆ เพิ่มความหนักของกิจกรรมอย่างเหมาะสม

การดูแลเท้าอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการปวดส้นเท้า และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเดินและการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว

รักษาอาการปวดส้นเท้า ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจและรักษาอาการปวดส้นเท้าโดยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อที่มีประสบการณ์ พร้อมเทคโนโลยีการวินิจฉัยทันสมัย เช่น X-ray, MRI เพื่อให้เห็นรายละเอียดของพังผืด เอ็น กระดูกอย่างแม่นยำ เลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น กายภาพบำบัด ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การปรับรองเท้า การใช้ Shockwave Therapy เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูของพังผืดและเอ็น ลดการอักเสบโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือ การฉีดลดการอักเสบเฉพาะจุด หรือ PRP เพื่อเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในกรณีที่อาการเรื้อรัง รวมทั้งการรักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะรุนแรง

การรักษาที่โรงพยาบาลวิภาวดีมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้อย่างมั่นใจ ลดอาการปวด และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสบายและปลอดภัยในระยะยาว

สรุป

อาการปวดส้นเท้าอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะผิดปกติที่ควรใส่ใจ เช่น โรครองช้ำ เอ็นร้อยหวายอักเสบ กระดูกส้นเท้าอักเสบ โรคเส้นประสาทบริเวณข้อเท้ามีการกดทับ หรือโรคข้ออักเสบจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือ โรคเกาต์ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจทำให้เดินลำบากและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ การดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การพักเท้า ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และเลือกรองเท้าที่เหมาะสม สามารถช่วยลดอาการได้มาก แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียด

หากคุณมีอาการปวดส้นเท้าซ้ำๆ เดินลำบาก หรือเจ็บมากในตอนเช้า อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอาการปวดส้นเท้าอย่างละเอียด พร้อมทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อ และเทคนิคการรักษาที่ทันสมัย เช่น กายภาพบำบัด การทำ Shockwave Therapy หรือการปรับรองเท้าเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ปวดส้นเท้าเรื้อรังอันตรายไหม?

หากอาการปวดส้นเท้าเป็นๆ หายๆ หรือเรื้อรังนานหลายสัปดาห์ อาจบ่งบอกถึงภาวะพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ หรือเอ็นร้อยหวายอักเสบ ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง เดินลงน้ำหนักไม่ได้ หรือส่งผลต่อข้อต่อส่วนอื่นของขาได้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด

มีท่าบริหารแก้ปวดส้นเท้าไหม?

การยืดเหยียดพังผืดใต้ฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อน่องเป็นวิธีช่วยลดอาการปวดได้ เช่น ท่ากลิ้งเท้าด้วยลูกบอลเล็กๆ หรือขวดน้ำเย็น ท่าดึงปลายเท้าเข้าหาตัวในท่านั่งเหยียดขา และการยืดกล้ามเนื้อน่องกับผนัง ควรทำอย่างสม่ำเสมอวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้พังผืดและกล้ามเนื้อยืดหยุ่นดีขึ้น

ปวดส้นเท้าต้องพักกี่วันถึงจะหาย?

ระยะเวลาพักขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ หากเป็นจากการใช้งานเท้ามากเกินไป มักดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์หลังพักและดูแลอย่างเหมาะสม แต่หากเกิดจากพังผืดอักเสบหรือเอ็นร้อยหวายอักเสบ อาจต้องใช้เวลารักษาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน โดยเฉพาะในรายที่ไม่ได้พักเพียงพอหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

อาการปวดส้นเท้ารักษาหายขาดได้หรือไม่?

ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยถูกต้องและดูแลอย่างต่อเนื่อง การพักเท้า ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ใช้รองเท้าที่เหมาะสม และทำกายภาพบำบัดช่วยให้ฟื้นตัวได้ดี แต่ถ้ายังมีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักตัวเกิน หรือใส่รองเท้าไม่เหมาะสม อาการอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ จึงควรดูแลเท้าอย่างสม่ำเสมอหลังการรักษา


บทความที่เกี่ยวข้อง