เนื้องอกในสมองปวดหัวแบบไหน? รู้ทันสาเหตุ อาการ แนวทางรักษา

  • เนื้องอกในสมองคือก้อนเนื้อที่เกิดจากการเจริญผิดปกติของเซลล์สมอง สามารถแบ่งเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Benign) และ เนื้องอกชนิดร้ายแรง (Malignant) ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการแพร่กระจาย
  • ผู้ป่วยเนื้องอกในสมองจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน มองเห็นหรือพูดผิดปกติ อ่อนแรง หรือสูญเสียการทรงตัว ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของเนื้องอก
  • การรักษาเนื้องอกในสมองขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของเนื้องอก รวมถึงอายุและสุขภาพของผู้ป่วย อาจใช้ การผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด หรือการรักษาแบบมุ่งเป้า เพื่อควบคุมอาการและยืดอายุขัย

เนื้องอกในสมองเกิดจากอะไร? โรคนี้อาจดูน่ากังวล แต่หากเข้าใจสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง อาการเตือน และแนวทางการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้ารับการดูแลได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น แผนกอายุรกรรม ประสาทและสมอง โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมบริการตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น MRI และ CT Scan เพื่อให้แพทย์ผู้ชำนาญการ วิเคราะห์และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

เนื้องอกในสมองคืออะไร?

เนื้องอกในสมอง (Brain Tumor) คือการเกิดก้อนเนื้อที่เจริญเติบโตผิดปกติภายในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Benign) หรือ เนื้องอกชนิดร้ายแรง (Malignant) ก็ได้ โดยเนื้องอกอาจเกิดขึ้นจากเซลล์สมองเอง (Primary Brain Tumor) หรือเกิดจากการกระจายของเซลล์มะเร็งจากอวัยวะอื่นเข้าสู่สมอง (Secondary หรือ Metastatic Brain Tumor)

การเจริญเติบโตของเนื้องอกจะทำให้เกิดแรงกดทับเนื้อสมองส่วนต่างๆส่งผลต่อการทำงานของสมอง เช่น การเคลื่อนไหว การพูด การมองเห็น หรือความจำ และยังอาจทำให้ความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้น เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือชักได้ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ขนาด และชนิดของเนื้องอก

เนื้องอกในสมองมีกี่ชนิด

เนื้องอกในสมองมีกี่ชนิด

เนื้องอกในสมองแบ่งได้หลายรูปแบบ โดยทั่วไปแบ่งได้ตามความรุนแรงของเซลล์ แหล่งกำเนิดของเนื้องอก และชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด ซึ่งการแบ่งรูปแบบจะช่วยให้แพทย์เข้าใจลักษณะของโรคและเลือกแนวทางการรักษาได้อย่างเหมาะสม

การแบ่งตามความรุนแรง

เป็นการจำแนกตามลักษณะของการเจริญเติบโตและการลุกลามของเนื้องอก

  • เนื้องอกชนิดไม่ร้าย (Benign Tumor) เซลล์เนื้องอกชนิดนี้เติบโตช้า มีขอบเขตชัดเจน ไม่ลุกลามไปยังเนื้อสมองส่วนอื่น มักสามารถผ่าตัดออกได้หมด และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำน้อย ตัวอย่างเช่น Meningioma
  • เนื้องอกชนิดร้าย (Malignant Tumor) เป็นเนื้องอกที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เซลล์ผิดปกติสามารถแทรกซึมเข้าสู่เนื้อสมองรอบข้างได้ ทำให้รักษายากกว่า และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง เช่น Glioblastoma Multiforme

การแบ่งตามแหล่งกำเนิด

จำแนกตามตำแหน่งหรือจุดที่เนื้องอกเริ่มเกิดขึ้น

  • เนื้องอกปฐมภูมิ (Primary Brain Tumor) เกิดจากเซลล์ในสมองเอง เช่น เซลล์ประสาท เยื่อหุ้มสมอง หรือเซลล์ต่อมใต้สมอง ซึ่งอาจเป็นชนิดร้ายหรือไม่ร้ายก็ได้
  • เนื้องอกทุติยภูมิ (Secondary / Metastatic Brain Tumor) เกิดจากมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น เช่น ปอด เต้านม หรือไต ถือเป็นมะเร็งระยะลุกลามที่เข้าสู่สมอง

การแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด

เป็นการจำแนกโดยดูว่าเนื้องอกเกิดจากเซลล์ชนิดใดในสมอง ซึ่งแต่ละชนิดมีพฤติกรรมและแนวทางรักษาต่างกัน

  • เนื้องอกที่เกิดจากเซลล์เกลีย (Gliomas) เป็นกลุ่มเนื้องอกที่พบบ่อยที่สุด สามารถแบ่งย่อยได้อีก เช่น Astrocytoma, Oligodendroglioma และ Glioblastoma
  • เนื้องอกเยื่อหุ้มสมอง (Meningioma) เกิดจากเยื่อหุ้มสมองที่ห่อหุ้มเนื้อสมอง มักเป็นชนิดไม่ร้ายแรง แต่หากโตมากอาจกดทับสมองส่วนสำคัญได้
  • เนื้องอกต่อมใต้สมอง (Pituitary Adenoma) เกิดจากต่อมใต้สมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น น้ำหนักเพิ่มผิดปกติ หรือรอบเดือนขาด
  • เนื้องอกเส้นประสาทหู (Acoustic Neuroma / Vestibular Schwannoma) เกิดบริเวณเส้นประสาทที่ควบคุมการได้ยินและการทรงตัว ทำให้มีอาการหูอื้อ เวียนหัว หรือการได้ยินลดลง
  • เมดัลโลบลาสโตมา (Medulloblastoma) เป็นเนื้องอกชนิดร้ายที่พบมากในเด็ก มักเกิดที่สมองส่วนหลัง (สมองน้อย) และสามารถแพร่กระจายผ่านน้ำหล่อสมองได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของเนื้องอกในสมอง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของเนื้องอกในสมอง

แม้ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดเนื้องอกในสมองได้ แต่พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ความผิดปกติของเซลล์ เกิดจากการที่เซลล์สมองหรือเซลล์เนื้อเยื่อรอบข้างแบ่งตัวผิดปกติ ไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตได้ จนกลายเป็นก้อนเนื้อ
  • การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของยีนบางชนิด เช่น ยีนที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์หรือยีนต้านมะเร็ง อาจกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกในสมอง
  • การแพร่กระจายของมะเร็งจากอวัยวะอื่น เช่น มะเร็งจากปอด เต้านม ไต หรือผิวหนัง สามารถแพร่กระจายเข้าสู่สมองได้ ทำให้เกิดเนื้องอกสมองทุติยภูมิ
  • อายุและเพศ เนื้องอกในสมองบางชนิดเกิดได้บ่อยในผู้สูงอายุ และบางชนิดมีแนวโน้มเกิดในเพศหญิงมากกว่า เช่น Meningioma
  • พันธุกรรม ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นเนื้องอกในสมอง หรือมีโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น Neurofibromatosis หรือ Li-Fraumeni syndrome จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • การสัมผัสสารเคมี รังสี การทำงานหรืออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีอันตราย หรือได้รับรังสีไอออไนซ์ในปริมาณสูง อาจเพิ่มโอกาสเกิดเนื้องอก
  • ประวัติการฉายรังสีที่ศีรษะ เช่น เคยรักษามะเร็งในวัยเด็ก อาจมีความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกในสมองภายหลัง
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ มีโอกาสเกิดเนื้องอกบางชนิด เช่น Primary CNS lymphoma ได้มากขึ้น
อาการของเนื้องอกในสมอง

อาการของเนื้องอกในสมอง

อาการของเนื้องอกในสมองจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่ง ขนาด และอัตราการเติบโตของก้อนเนื้องอก โดยในระยะแรกอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยที่มักถูกมองข้าม แต่เมื่อเนื้องอกโตขึ้นจะเริ่มกดทับเนื้อสมองและส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนต่างๆ ทำให้เกิดอาการที่รุนแรงมากขึ้น สามารถจำแนกอาการได้ดังนี้

เนื้องอกในสมองอาการเริ่มแรก

ในระยะเริ่มต้น อาการมักเกิดจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นภายในกะโหลกศีรษะ หรือการรบกวนการทำงานของสมองบางส่วน

  • ปวดศีรษะบ่อย หรือปวดศีรษะรูปแบบใหม่ที่ต่างจากเดิม โดยเฉพาะในตอนเช้าหรือเวลานอนตื่น
  • คลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะตอนเช้า มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะจากความดันในสมองสูง
  • เวียนศีรษะหรือเสียการทรงตัว เดินไม่ตรง หรือรู้สึกเหมือนพื้นเอียง
  • เห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด หรือสูญเสียการมองบางส่วน หากเนื้องอกอยู่ใกล้เส้นประสาทการมองเห็น
  • ปัญหาความจำหรือสมาธิลดลง ทำงานหรือเรียนรู้ได้ช้ากว่าปกติ
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพโดยไม่ทราบสาเหตุ

เนื้องอกในสมองอาการที่รุนแรงขึ้น

เมื่อก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือเริ่มกดทับสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การสื่อสาร หรือการรับรู้ อาการจะรุนแรงและชัดเจนมากขึ้น

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือชา อาจถึงขั้นเคลื่อนไหวลำบาก
  • พูดลำบาก พูดไม่ชัด หรือสื่อสารผิดปกติ หากเนื้องอกอยู่บริเวณสมองที่ควบคุมการพูด
  • เกร็งกระตุก หรือมีอาการชักโดยไม่เคยมีมาก่อน เป็นสัญญาณสำคัญที่พบบ่อยในผู้ป่วยเนื้องอกสมอง
  • การมองเห็นหรือการได้ยินเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว นื่องจากเส้นประสาทรับรู้ถูกกดทับ
  • การรับรู้ผิดปกติ เช่น สับสน เดินเซ หรือมีปัญหาในการตัดสินใจ สมองอาจทำงานได้ไม่ประสานกัน
  • ความดันในสมองสูง ส่งผลให้ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง และตาพร่ามัว ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

การวินิจฉัยเนื้องอกในสมอง

การวินิจฉัยเนื้องอกในสมองเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถระบุชนิด ขนาด ตำแหน่ง และความรุนแรงของเนื้องอกได้อย่างแม่นยำ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย สอบถามอาการที่ผู้ป่วยพบ เช่น ปวดศีรษะ ชัก หรือการมองเห็นผิดปกติ พร้อมตรวจการทำงานของระบบประสาท เช่น การทรงตัว การตอบสนองของกล้ามเนื้อ และการพูด เพื่อประเมินบริเวณสมองที่อาจได้รับผลกระทบ
  2. การตรวจด้วยภาพทางรังสี เช่น CT Scan, MR เป็นการตรวจที่ใช้ภาพถ่ายสมองเพื่อตรวจหาตำแหน่งและลักษณะของเนื้องอก โดย MRI ให้ภาพที่ละเอียดกว่าจึงนิยมใช้มากกว่า ส่วน CT Scan มักใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือผู้ที่ไม่สามารถตรวจ MRI ได้
  3. การตรวจด้วยสารทึบรังสี (Contrast Study) ใช้สารทึบรังสีฉีดเข้าสู่ร่างกายก่อนการถ่ายภาพ เพื่อช่วยให้เห็นรายละเอียดของก้อนเนื้องอกและหลอดเลือดในสมองชัดเจนขึ้น ช่วยแยกแยะขอบเขตของเนื้องอกได้ดีกว่า
  4. การตรวจชิ้นเนื้อสมอง (Biopsy) เป็นขั้นตอนสำคัญในการยืนยันชนิดของเนื้องอก โดยการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากก้อนเพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกว่าเป็นเนื้องอกชนิดร้ายหรือไม่ร้าย และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  5. การตรวจอื่นๆ เสริม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของคลื่นสมองในผู้ที่มีอาการชัก การตรวจเลือดหาฮอร์โมนในกรณีสงสัยเนื้องอกต่อมใต้สมอง หรือการตรวจน้ำไขสันหลัง เพื่อหาการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในระบบประสาทส่วนกลาง
แนวทางรักษาเนื้องอกในสมอง

แนวทางรักษาเนื้องอกในสมอง

การรักษาเนื้องอกในสมองขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้องอก ตำแหน่ง ขนาด และสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวม โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งอาจใช้เพียงวิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกัน เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของเนื้องอก บรรเทาอาการ และยืดอายุผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

การผ่าตัด

การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษาเนื้องอกในสมอง โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดเนื้องอกออกให้ได้มากที่สุดโดยไม่กระทบต่อเนื้อสมองที่สำคัญ แพทย์อาจใช้เทคโนโลยีช่วยในการผ่าตัด เช่น กล้องจุลทรรศน์ผ่าตัด (Microsurgery) ระบบนำทางด้วยภาพ (Image-Guided Surgery) หรือเทคนิคผ่าตัดแบบตื่น (Awake Surgery) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความแม่นยำ หากไม่สามารถตัดออกได้ทั้งหมด อาจเหลือบางส่วนไว้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทำลายสมองส่วนสำคัญ แล้วเสริมด้วยการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดในภายหลัง

การฉายรังสี

การฉายรังสีเป็นการใช้พลังงานรังสีในการทำลายเซลล์เนื้องอกที่เหลือหลังการผ่าตัดหรือในกรณีที่ผ่าตัดไม่ได้ เช่น เนื้องอกอยู่ในตำแหน่งลึกหรือใกล้สมองส่วนสำคัญ ปัจจุบันมีเทคนิคฉายรังสีที่แม่นยำสูง เช่น Stereotactic Radiosurgery (SRS) และ Intensity-Modulated Radiation Therapy (IMRT) ที่สามารถส่งรังสีเฉพาะจุด ลดผลกระทบต่อเนื้อสมองรอบข้างได้อย่างมาก

การให้ยาเคมีบำบัด

การให้ยาเคมีบำบัดเป็นการใช้ยาต้านมะเร็งเพื่อทำลายหรือยับยั้งการเจริญของเซลล์เนื้องอก มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือฉายรังสี โดยเฉพาะในเนื้องอกชนิดร้าย เช่น Glioblastoma ยาที่ใช้บ่อยคือ Temozolomide (TMZ) ซึ่งสามารถผ่านแนวกั้นเลือดสมองได้ดี ทำให้เกิดผลในการรักษามากขึ้น ซึ่งการให้ยาเคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หรือเม็ดเลือดลดลง ซึ่งแพทย์จะติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

การรักษาแบบประคับประคอง

การรักษาแบบประคับประคอง คือการเน้นบรรเทาอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เช่น การให้ยาลดอาการปวด ยาลดบวมในสมอง (เช่น Dexamethasone) หรือยากันชักในผู้ที่มีอาการชัก การรักษาประคับประคองไม่ใช่เพียงเพื่อระยะสุดท้ายแต่ยังใช้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย

การติดตามอย่างใกล้ชิด

หลังการรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการติดตามอาการและตรวจภาพสมองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำของเนื้องอกหรือภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา แพทย์อาจนัดตรวจ MRI หรือ CT Scan เป็นระยะ พร้อมประเมินการทำงานของระบบประสาทและคุณภาพชีวิตโดยรวม เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมต่อไป

การดูแลผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง

การดูแลผู้ป่วยเนื้องอกในสมองเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำอย่างครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด และลดผลกระทบจากโรคหรือการรักษา โดยแนวทางการดูแลมีดังนี้

  • การดูแลด้านร่างกาย ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายตามสภาพร่างกาย ควบคุมอาการต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ ชัก หรืออ่อนแรง ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากยาและการรักษาอย่างใกล้ชิด
  • การดูแลด้านจิตใจ ดูแลไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว จัดให้มีการพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อช่วยลดความวิตกกังวล ซึมเศร้า และส่งเสริมให้ผู้ป่วยยอมรับและปรับตัวต่อการรักษาได้ดีขึ้น
  • การฟื้นฟูสมรรถภาพ เข้ารับการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว การพูด หรือการทรงตัว รวมถึงกิจกรรมบำบัดเพื่อช่วยให้กลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองมากที่สุด
    การเฝ้าระวังและติดตามผล เข้ารับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจ MRI หรือ CT Scan เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำของเนื้องอก และติดตามอาการทางระบบประสาทหรือผลข้างเคียงจากการรักษาอย่างต่อเนื่อง
  • การดูแลด้านสังคม เช่น การเข้าถึงสิทธิรักษาพยาบาล หรือสิทธิคนพิการ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในสังคม และได้รับการดูแลในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นจากครอบครัวและชุมชน

การป้องกันและการดูแลตัวเองจากเนื้องอกในสมอง

แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันเนื้องอกในสมองได้อย่างแน่นอน แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและดูแลสุขภาพสมองให้แข็งแรงได้ด้วยการใส่ใจตัวเองและสังเกตอาการผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนี้

  • การดูแลสุขภาพทั่วไป รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเพียงพอ และหลีกเลี่ยงสารพิษหรือสารเคมีอันตราย
  • การป้องกันปัจจัยเสี่ยงเฉพาะ ลดการสัมผัสรังสีอันตราย สารเคมี และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก
  • การสังเกตอาการผิดปกติ เช่น อาการปวดศีรษะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน ชัก หรือปัญหาการทรงตัว หากพบควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • การตรวจสุขภาพและคัดกรอง การตรวจสุขภาพประจำปี หรือ MRI/CT Scan ตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีความเสี่ยงสูงหรือมีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับเนื้องอก
  • การรักษาสมองให้แข็งแรง ฝึกสมองด้วยกิจกรรมกระตุ้นความคิด เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง หรือทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ช่วยเสริมสุขภาพสมองและการทำงานของระบบประสาท
ตรวจคัดกรอง รักษาเนื้องอกในสมองที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ตรวจคัดกรอง รักษาเนื้องอกในสมองที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติและรักษาเนื้องอกในสมองครบวงจร ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรกรรมประสาทและสมองที่มีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาอย่างเป็นรายบุคคล พร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในการวินิจฉัย เช่น MRI และ CT Scan เพื่อให้สามารถระบุชนิด ขนาด และตำแหน่งของเนื้องอกได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การฉายรังสี หรือการรักษาแบบประคับประคอง พร้อมติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สรุป

เนื้องอกในสมองคือการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ภายในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งอาจเป็นชนิดไม่ร้ายหรือชนิดร้ายก็ได้ สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งความผิดปกติของเซลล์ การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม การแพร่กระจายของมะเร็งจากอวัยวะอื่น รวมถึงปัจจัยด้านอายุ เพศ และสิ่งแวดล้อม เนื้องอกในสมองอาการเริ่มแรกอาจปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะ แต่หากเนื้องอกโตขึ้นอาการจะรุนแรงขึ้นตาม เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดลำบาก หรือชัก แนวทางรักษามีทั้งผ่าตัด ฉายรังสี เคมีบำบัด และการดูแลประคับประคอง ขณะเดียวกันผู้ป่วยควรได้รับการดูแลครบทั้งร่างกาย จิตใจ ฟื้นฟูสมรรถภาพ และการติดตามผล การดูแลสุขภาพทั่วไป หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ และตรวจคัดกรองเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

บริการตรวจคัดกรองหาสาเหตุปัญหาสุขภาพสมองและระบบประสาทตั้งแต่เนิ่นๆ ที่แผนกอายุรกรรม ประสาทและสมอง ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น MRI และ CT Scan เพื่อตรวจพบความผิดปกติและวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสฟื้นฟูสุขภาพอย่างเต็มที่ โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด ตอบโจทย์ทั้งการป้องกันและการดูแลรักษาโรคสมองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

เนื้องอกในสมองรักษาหายไหม?

เนื้องอกบางชนิดสามารถผ่าตัดหรือรักษาโดยการฉายรังสีและเคมีบำบัดจนหายขาดได้ ในขณะที่บางชนิดอาจควบคุมอาการและยืดอายุขัยได้ การรักษาเนื้องอกในสมองขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด และตำแหน่งของเนื้องอก รวมถึงอายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย

จะรู้ได้อย่างไรว่ามีเนื้องอกในสมอง?

ผู้ป่วยอาจมีอาการหลากหลาย เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน การมองเห็นหรือพูดผิดปกติ หรือมีปัญหาการทรงตัว แต่การวินิจฉัยที่ชัดเจนต้องอาศัยการตรวจด้วย MRI หรือ CT Scan และประเมินโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ

เนื้องอกในสมอง ปวดหัวแบบไหน?

อาการปวดหัวจากเนื้องอกในสมอง มักปวดหัวเรื้อรังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือปวดร่วมกับ คลื่นไส้อาเจียนและมองเห็นพร่ามัว ลักษณะปวดอาจเป็นตื้อๆ หรือปวดแบบบีบศีรษะ และไม่ทุเลาด้วยยาทั่วไป ทำให้สังเกตความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก

ผู้ป่วยเนื้องอกในสมองอยู่ได้นานแค่ไหน?

อายุขัยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของเนื้องอก ตำแหน่ง ระยะที่ตรวจพบ และการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยบางรายสามารถมีคุณภาพชีวิตปกติได้นานหลายปี ในขณะที่บางรายอาจอยู่ได้น้อยลง แต่การติดตามและรักษาอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยเพิ่มโอกาสและคุณภาพชีวิตได้

อาการเนื้องอกในสมองระยะท้ายมีลักษณะอย่างไร?

ในระยะท้ายผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรง เช่น ปวดศีรษะมากขึ้น อาเจียนผิดปกติ อ่อนแรงครึ่งตัว สมองทำงานผิดปกติ ส่งผลต่อการพูด การมองเห็น และการทรงตัวอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป การดูแลแบบประคับประคองและการรักษาอาการเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความสบายของผู้ป่วย


บทความที่เกี่ยวข้อง