สรรพคุณไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง

  • ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ที่ช่วยลดอาการปวด บวม อักเสบ และไข้ เช่น ไมเกรน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดประจำเดือน โดยทำงานผ่านการยับยั้งเอนไซม์ COX ซึ่งมีบทบาทในการสร้างสารพรอสตาแกลนดินที่ทำให้เกิดการอักเสบและปวด 
  • ไอบูโพรเฟนมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามอาการและกลุ่มผู้ป่วย เช่น ยาเม็ดสำหรับรับประทานที่มีทั้งแบบธรรมดาและเม็ดเคลือบฟิล์ม ขนาดที่พบบ่อยคือ 200 และ 400 มิลลิกรัม ส่วนยาน้ำนั้นสำหรับเด็ก มีกลิ่นผลไม้เพื่อให้กินง่าย นอกจากนี้ยังมียาทาภายนอกในรูปแบบเจลหรือครีม ใช้บรรเทาอาการปวดบริเวณข้อและกล้ามเนื้อ 
  • ไอบูโพรเฟนมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวด ลดไข้ และลดการอักเสบ ทั้งในกรณีเฉียบพลันและเรื้อรัง ใช้ได้กับอาการปวดระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ ข้อ และเส้นเอ็นอีกทั้งยังลดไข้จากหวัดหรือการติดเชื้อทั่วไป 
  • ไอบูโพรเฟนเป็นยาที่หาซื้อได้ง่าย แต่การใช้ไม่ระวังอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้น ควรอ่านฉลากให้ละเอียดและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ โดยหลีกเลี่ยงการใช้ต่อเนื่องเกิน 10 วันหากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

หากคุณเคยมีอาการปวดหัว ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีไข้ เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อ “ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)” เป็นอย่างดี เพราะเป็นยาที่หาซื้อได้ง่ายและมักใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว แต่การใช้ยาแก้ปวดไอบูโพรเฟนโดยไม่เข้าใจวิธีใช้ที่ถูกต้องอาจส่งผลข้างเคียงได้ 

บทความนี้จะพามาเจาะลึกเกี่ยวกับไอบูโพรเฟน ตั้งแต่สรรพคุณ ขนาดยาที่เหมาะสม วิธีใช้ที่ถูกต้อง ไปจนถึงข้อควรระวังและผลข้างเคียง เพื่อให้คุณสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย

ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) คืออะไร?

ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือที่เรียกกันว่า NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) นิยมใช้ยาไอบูโพรเฟนเพื่อลดอาการปวดไมเกรน บวม อักเสบ และลดไข้ เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดประจำเดือน ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือไข้จากไข้หวัด

กลไกการออกฤทธิ์ของไอบูโพรเฟน คือการยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อว่า Cyclooxygenase (COX) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ ปวด และไข้ในร่างกาย เมื่อลดยาการผลิตพรอสตาแกลนดินได้ อาการต่างๆ จึงบรรเทาลง

ยาไอบูโพรเฟนสามารถออกฤทธิ์ได้ทั้งในการลดปวดแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง จึงเป็นทางเลือกที่พบได้บ่อยในยาสามัญประจำบ้าน รวมถึงในยาที่จำหน่ายตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์

รูปแบบและส่วนประกอบของไอบูโพรเฟน

รูปแบบและส่วนประกอบของไอบูโพรเฟน

ไอบูโพรเฟนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในอาการและกลุ่มผู้ป่วยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นยาสำหรับรับประทาน ยาน้ำสำหรับเด็ก หรือยาทาภายนอกที่ใช้เฉพาะบริเวณที่ปวด โดยแต่ละรูปแบบมีส่วนประกอบและขนาดยาแตกต่างกัน ดังนี้

  1. ยารับประทานชนิดเม็ด มีทั้งแบบเม็ดธรรมดาและเม็ดเคลือบฟิล์ม ขนาดที่พบได้บ่อย ได้แก่  ยาไอบูโพรเฟน 200 มิลลิกรัม และยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัมต่อเม็ด โดยเม็ดเคลือบฟิล์มมีสรรพคุณช่วยให้กลืนง่ายและลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  2. ยาน้ำ (สำหรับเด็ก) อยู่ในรูปแบบน้ำเชื่อม กลิ่นผลไม้ เพื่อให้เด็กกินง่าย ประกอบด้วยตัวยาไอบูโพรเฟนในรูปแบบแขวนตะกอน ร่วมกับสารแต่งรสและสารกันเสีย มีขนาดที่พบบ่อยที่ความแรง 100 มิลลิกรัมต่อ 5 มิลลิลิตร
  3. ยาทาภายนอก อยู่ในรูปแบบเจลหรือครีม ใช้ทาบริเวณที่มีอาการปวด เช่น ข้อ เข่า หรือกล้ามเนื้อ ซึ่งประกอบด้วยไอบูโพรเฟนเป็นสารออกฤทธิ์หลัก ร่วมกับสารให้ความเย็นหรือสารซึมผ่านผิวหนัง มีลักษณะใส ไม่มีสี หรือสีขาวขุ่น ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละยี่ห้อ

สรรพคุณของไอบูโพรเฟน

ไอบูโพรเฟนจัดเป็นยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการปวด ลดไข้ และลดการอักเสบ โดยสามารถใช้ได้กับอาการหลากหลาย ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ดังนี้

  • ลดอาการปวดระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน ปวดหลัง หรือปวดข้อจากการใช้งานหนัก
  • ลดอาการอักเสบ เช่น อาการอักเสบของกล้ามเนื้อ ข้อ หรือเส้นเอ็น รวมถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และข้อเสื่อม
  • ลดไข้ โดยใช้ในกรณีที่มีไข้จากหวัดหรือไข้จากการติดเชื้อทั่วไป
  • บรรเทาอาการปวดจากไข้หวัดใหญ่ ช่วยให้รู้สึกสบายตัวและลดการอักเสบในร่างกาย

คำเตือนการใช้ยาไอบูโพรเฟน

แม้ว่าไอบูโพรเฟนจะเป็นยาที่หาซื้อได้ง่ายและใช้บรรเทาอาการปวดได้หลากหลาย แต่การใช้ยาอย่างไม่ระมัดระวังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังนั้น ก่อนใช้ยาควรอ่านฉลากอย่างรอบคอบ หรือปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ โดยมีข้อควรระวังสำคัญดังนี้

  • ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ที่แพ้ไอบูโพรเฟนหรือยาในกลุ่ม NSAIDs อื่นๆ เช่น แอสไพริน หรือไดโคลฟีแนค (Diclofenac)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ เพราะยานี้อาจกระตุ้นให้แผลกำเริบหรือเลือดออกได้
  • ควรระวังในผู้ที่มีโรคไต ตับ หรือหัวใจ เพราะอาจทำให้อาการของโรคทรุดลง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
  • ไม่ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องเกิน 10 วัน โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์
  • ควรระวังการใช้ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที

การใช้ยาไอบูโพรเฟนอย่างปลอดภัย

การใช้ยาไอบูโพรเฟนอย่างปลอดภัย

เพื่อให้การใช้ไอบูโพรเฟนได้ผลดีและปลอดภัย ผู้ใช้ควรทราบวิธีใช้ ขนาดยาที่เหมาะสม และข้อควรระวังต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น

ชนิดยาเม็ดรับประทาน 

การใช้ไอบูโพรเฟนชนิดเม็ดรับประทานควรคำนึงถึงอายุ น้ำหนักตัว และข้อจำกัดทางสุขภาพ โดยมีแนวทางทั่วไปดังนี้

  • ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป หากใช้โดยไม่ปรึกษาแพทย์ควรรับประทานครั้งละ 200 – 400 มิลลิกรัม ทุก 4 – 6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน แต่กรณีแพทย์สั่งอาจใช้ได้ถึง 2,400 มิลลิกรัม ต่อวันเป็นระยะสั้น
  • เด็กอายุ 6 – 11 ปี แนะนำให้ใช้ยาน้ำจะเหมาะสมกว่า แต่หากใช้เม็ดควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะต้องคำนวณตามน้ำหนัก ตัวอย่างโดยประมาณ 5 – 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 – 8 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 30 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
  • เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่แนะนำให้ใช้ยาเม็ด ควรใช้ยาในรูปแบบน้ำและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร

หมายเหตุ: ควรรับประทานยาหลังอาหารหรือพร้อมอาหารเสมอ เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 3 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์

ชนิดยาทาภายนอก

ยาแก้ปวดไอบูโพรเฟนชนิดทาภายนอกมักอยู่ในรูปแบบเจล ครีม หรือสเปรย์ ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ หรือเคล็ดขัดยอกเฉพาะจุด โดยไม่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเท่ากับยารับประทาน จึงมีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมตามช่วงอายุ ดังนี้

  • ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ใช้ปริมาณประมาณ 4 – 10 เซนติเมตรของเนื้อเจล (ขึ้นอยู่กับขนาดบริเวณที่ปวด) ทาวันละ 3 – 4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่ควรใช้เกิน 4 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • เด็กอายุ 6 – 11 ปี ใช้ปริมาณไม่เกิน 4 เซนติเมตรของเนื้อเจลต่อครั้ง ทาได้วันละ 2 – 3 ครั้ง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง และหลีกเลี่ยงการใช้ติดต่อกันเกิน 3 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่แนะนำให้ใช้ยาทาภายนอกที่มีส่วนผสมของไอบูโพรเฟน เว้นแต่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

ข้อควรระวัง: ห้ามทาบริเวณแผลเปิด ผิวหนังที่มีการอักเสบอย่างรุนแรง หรือบริเวณใกล้ดวงตา และควรล้างมือหลังใช้ทุกครั้ง

ปฏิกิริยาระหว่างยาไอบูโพรเฟนกับยาอื่น

การใช้ยาแก้ปวดไอบูโพรเฟนร่วมกับยาอื่นบางชนิดอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาเปลี่ยนแปลง เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง หรือเกิดอันตรายต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ผู้ใช้ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งหากมีการใช้ยาอื่นร่วมด้วย โดยยาที่ควรระวังเป็นพิเศษมีดังนี้

  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) อาจเพิ่มความเสี่ยงของเลือดออกในทางเดินอาหารหรืออวัยวะอื่น
  • ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) มีโอกาสเพิ่มการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
  • ยาความดันโลหิต เช่น ยาในกลุ่ม ACE inhibitors และ ARBs การใช้ร่วมกับไอบูโพรเฟนอาจลดประสิทธิภาพในการควบคุมความดัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อไต
  • ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เช่น ฟูโรเซไมด์ (Furosemide) อาจลดประสิทธิภาพของยาขับปัสสาวะและเพิ่มภาระต่อไต
  • ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
  • ยาลิเทียม (Lithium) ไอบูโพรเฟนอาจเพิ่มระดับลิเทียมในเลือดจนเป็นอันตราย
  • ยาต้านซึมเศร้าในกลุ่ม SSRI เช่น ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) การใช้ร่วมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงของเลือดออกผิดปกติ

ข้อควรระวังในการใช้ไอบูโพรเฟน

ข้อควรระวังในการใช้ไอบูโพรเฟน

ไอบูโพรเฟนจะเป็นยาที่ใช้บ่อยในการบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ผู้ใช้ควรตระหนัก เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

  • ควรใช้ในขนาดและระยะเวลาที่แพทย์หรือฉลากแนะนำ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเองหรือใช้ติดต่อกันเกิน 10 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • ควรรับประทานหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ที่มีประวัติแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ หรือผู้ที่มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
  • ผู้ที่มีโรคตับ ไต หรือโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากยานี้อาจส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะเหล่านี้
  • ไม่ควรใช้ยาแก้ปวดไอบูโพรเฟนร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือเลือดออกภายใน
  • หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์
  • หากมีอาการแพ้ยาไอบูโพรเฟน เช่น ผื่น คัน หายใจลำบาก หรือบวมบริเวณหน้าและลำคอ ควรหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที

ผลข้างเคียงของยาไอบูโพรเฟน

ถึงแม้ไอบูโพรเฟนจะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ แต่การใช้ยาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงในบางราย โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ในขนาดสูงกว่าที่แนะนำ โดยผลข้างเคียงที่พบได้มีทั้งแบบทั่วไปและรุนแรง ดังนี้

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย 

  • ปวดท้อง แน่นท้อง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องเสียหรือท้องผูก
  • เวียนศีรษะหรือปวดศีรษะ
  • แสบร้อนกลางอกหรือมีกรดไหลย้อน

ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย แต่ควรระวัง 

  • แพ้ยา มีผื่น ลมพิษ หรือบวมบริเวณใบหน้าและลำคอ
  • เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ซึ่งอาจแสดงออกด้วยอาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระสีดำ
  • การทำงานของไตลดลง หรือมีอาการบวมจากการคั่งของของเหลว
  • ความดันโลหิตสูง หรือภาวะหัวใจล้มเหลว (ในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจอยู่เดิม)

การเก็บรักษายาไอบูโพรเฟน

เพื่อให้ไอบูโพรเฟนยังคงประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อการใช้ ควรเก็บรักษายาอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำดังนี้

  • เก็บในที่แห้งและอุณหภูมิห้อง ประมาณ 25 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงความร้อน แสงแดด และความชื้น
  • ไม่ควรเก็บในห้องน้ำหรือบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ใกล้อ่างล้างมือ หรือใกล้หน้าต่าง
  • เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันการหยิบใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ
  • หากเป็นยาน้ำควรปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้ และหลีกเลี่ยงการใช้ช้อนที่ไม่สะอาดตักยา
  • ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้เสมอ หากยาหมดอายุหรือมีการเปลี่ยนสี ลักษณะ หรือกลิ่น ควรทิ้งทันที
  • ไม่ควรทิ้งยาลงในชักโครกหรือท่อน้ำทิ้ง ให้สอบถามวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องจากเภสัชกรหรือร้านขายยา

รักษาอาการแพ้ยา

 

สรุป

ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มีสรรพคุณในการลดปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ โดยมีทั้งแบบเม็ด ยาน้ำ และยาทาภายนอก การใช้ยาอย่างถูกต้องควรเลือกขนาดตามช่วงอายุ ใช้ในระยะเวลาที่เหมาะสม และระวังปฏิกิริยากับยาอื่น เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาความดันโลหิต

หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด หรือสงสัยว่าแพ้ยา ควรรีบพบแพทย์เฉพาะด้านที่โรงพยาบาลวิภาวดี เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และตรงจุด

FAQ

ในส่วนนี้ เราจะมาตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน เพื่อเพิ่มความเข้าใจและสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

Norgesic กับไอบูโพรเฟนกินร่วมกันได้ไหม?

Norgesic กับไอบูโพรเฟน สามารถใช้ร่วมกันได้ในบางกรณี เพราะออกฤทธิ์คนละแบบ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ร่วมกัน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

ไอบูโพรเฟน 400 แก้ปวดหลังได้ไหม?

ไอบูโพรเฟน 400 มก. มีสรรพคุณช่วยลดปวดและอักเสบที่กล้ามเนื้อหรือข้อได้ โดยจะแนะนำให้กินหลังอาหาร และไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกินไป

ไอบูโพรเฟนกับเซตามอลต่างกันอย่างไร?

เซตามอลลดปวดและไข้ แต่ไม่มีฤทธิ์ลดอักเสบ ส่วนไอบูโพรเฟนมีฤทธิ์ลดอักเสบด้วย จึงเหมาะกับอาการปวดที่มีการอักเสบร่วม

Naproxen กับไอบูโพรเฟนต่างกันอย่างไร?

Naproxen กับไอบูโพรเฟน ทั้งสองเป็นยา NSAIDs แต่ Naproxen ออกฤทธิ์นานกว่า ส่วนไอบูโพรเฟนออกฤทธิ์เร็วกว่าและอาจระคายกระเพาะน้อยกว่า

ไอบูโพรเฟนต้องกินจนหมดไหม?

ไอบูโพรเฟนเป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องรับประทานจนหมดเหมือนยาปฏิชีวนะ หากอาการปวดหรืออักเสบหายไปแล้วสามารถหยุดยาได้ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือฉลากยา และหากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที


บทความที่เกี่ยวข้อง