Key Takeaway
อาการปวดหลังเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายส่วนของหลัง เช่น บริเวณกลางหลัง บั้นเอว หรือกระดูกสันหลังส่วนล่าง หากคุณประสบปัญหาปวดหลังที่รุนแรงหรือเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง พร้อมทั้งรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองให้ถูกต้อง เพื่อบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโอกาสปวดหลังนั้นมีหลายประการ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและสภาพร่างกาย เช่น
อาการปวดหลังสามารถแยกสาเหตุได้ตามประเภทต่างๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องแตกต่างกัน ดังนี้
อาการปวดหลังแบบทั่วไปมักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อหรือกระดูกสันหลังมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบกระดูกสันหลังตึงหรืออักเสบ อาการปวดหลังประเภทนี้มักมีลักษณะ คือ
ท่าทาง อิริยาบถ และการเคลื่อนไหวหรือใช้งานหลังที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน เป็นสาเหตุสำคัญของอาการปวดหลังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ (โดยเฉพาะโน้ตบุ๊ก) หากไม่นั่งให้ถูกหลัก มักเกิดพฤติกรรมหลังงอ ไหล่ห่อ และก้มคอเข้าหาจอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักเกินไป นอกจากนี้การยกของหนักด้วยการก้มหลังแทนการย่อตัว ยังเพิ่มแรงกดต่อกระดูกสันหลังส่วนโค้ง ทำให้เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บมากขึ้น โดยอาการปวดหลังจากพฤติกรรมเหล่านี้มักมีลักษณะ ดังนี้
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเฉพาะบริเวณหลังหรือปวดร้าวลงไปที่สะโพกหรือขา โดยเฉพาะอาการปวดหลังช่วงเอวซึ่งพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย มักเกิดจากการกดทับเส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง ทำให้มีอาการปวดขาร้าวตามแนวของเส้นประสาทนั้น
ลักษณะอาการในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน บางรายปวดแหลมเหมือนถูกมีดแทง บางรายรู้สึกปวดหน่วง หนักที่ขา หรือในบางรายอาจมีอาการชาหรือเหน็บคล้ายเวลานั่งทับขานานๆ โดยอาการปวดหลังลักษณะนี้สามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ ดังนี้
อาการปวดหลังที่เกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะสุขภาพ มักเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย ภาวะเรื้อรัง หรือโรคที่กระทบต่อกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท หรืออวัยวะภายใน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง โดยลักษณะอาการจะเปลี่ยนไปตามตำแหน่งและความรุนแรงของโรคที่เป็นต้นเหตุ โดยปวดหลังลักษณะนี้มักมีอาการเฉพาะเจาะจงและสัมพันธ์กับโรคพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
อาการปวดหลังที่เกิดจากปัญหาของร่างกาย มักมีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลหรือความผิดปกติของระบบต่างๆ ในร่างกาย เมื่อระบบเหล่านี้ทำงานผิดปกติ อาจทำให้เกิดแรงกดหรือแรงดึงในจุดที่ไม่เหมาะสม โดยปวดหลังประเภทนี้ มักแสดงอาการในลักษณะดังนี้
อาการปวดหลังที่สัมพันธ์กับการทำงานมักเกิดจากการใช้งานร่างกายซ้ำๆ หรือท่าทางที่ไม่เหมาะสมในระหว่างทำงาน ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้รับแรงกดทับหรือดึงมากเกินไป ส่งผลให้เกิดความเครียดและอักเสบในกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็น และนำไปสู่การเกิดอาการปวดหลัง โดยอาการปวดหลังประเภทนี้มักมีลักษณะดังนี้
หากปวดหลังรุนแรงและมีอาการร่วมอื่นๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหากลายเป็นอาการเรื้อรังหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยอาการที่ควรสังเกต คือ
อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ และในบางกรณีสามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้น ดังนี้
การประคบเย็นช่วยลดการอักเสบได้ดี โดยแนะนำให้ประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มมีอาการปวดหรืออักเสบ โดยวางถุงน้ำแข็งบนบริเวณที่มีอาการปวดเป็นเวลา 20 นาที ทุก 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นการประคบร้อนเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ การประคบร้อนช่วยขยายหลอดเลือดและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ทำให้อาการปวดลดลงได้ภายใน 15-20 นาที
เมื่อมีอาการปวดหลัง ควรเลือกที่นอนที่ไม่ทั้งนุ่มหรือแข็งเกินไป โดยควรมีพื้นราบเพื่อให้สามารถนอนสบาย เช่น เสื่อโยคะ จากนั้นให้ดันแผ่นหลังติดพื้นและวางแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว พร้อมเกร็งหน้าท้องค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีแล้วพัก จากนั้นทำซ้ำ 2-3 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยปรับสภาพแผ่นหลังที่อ่อนล้าและปวดเมื่อยให้กลับมาเข้าที่ ช่วยจัดกระดูกและกล้ามเนื้อให้กลับสู่สภาพปกติ ลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท่าโยคะนี้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังส่วนล่าง โดยยืดกล้ามเนื้อกระดูกสันหลัง เปิดหัวไหล่และสะโพก เพิ่มความยืดหยุ่นและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เริ่มจากนั่งขัดสมาธิ ยกขาขวาทับขาซ้าย มือแตะพื้นและท้ายทอย บิดลำตัวไปทางขวา ค้างไว้ 3–5 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำทั้งสองฝั่ง ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังและเอวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาการปวดหลัง เอว และขา สามารถบรรเทาได้ด้วยการนวดด้วยตนเอง ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และส่งเสริมการทำงานของต่อมและอวัยวะต่างๆ โดยเริ่มจากท่าแรก นั่งขัดสมาธิ กำหมัดทั้งสองวางที่บั้นเอว หายใจเข้า พร้อมกดหมัดลงเบาๆ แอ่นหน้าอก กลั้นหายใจนับ 1–5 แล้วหายใจออกพร้อมคลายแรงกด จากนั้นเข้าสู่ท่าที่สอง ขยับหมัดมาที่กลางบั้นเอว ทำเช่นเดียวกัน คือกด แอ่นอก กลั้นหายใจ แล้วคลายตามจังหวะลมหายใจ ปิดท้ายด้วยการใช้หมัดคลึงหรือทุบเบาๆ บริเวณหลังที่ปวด ทำซ้ำประมาณ 2–3 รอบ เพื่อช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
น้ำหนักตัวมีผลต่ออาการปวดหลังโดยตรง โดยเฉพาะไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องที่ทำให้แรงโน้มถ่วงของร่างกายโน้มไปด้านหน้า ส่งผลให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการปวดหลัง ดังนั้นจึงควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
อย่างไรก็ตามคนที่ผอมมากก็อาจปวดหลังได้เช่นกัน เนื่องจากภาวะมวลกระดูกต่ำหรือโรคกระดูกพรุนที่พบในผู้ที่น้ำหนักตัวต่ำ ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดคือรับประทานอาหารอย่างสมดุลในปริมาณพอเหมาะ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงอยู่เสมอ
อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ท่าทางที่ไม่เหมาะสม การใช้งานหลังหนักเกินไป หรือโรคบางชนิด หากมีอาการปวดรุนแรง ปวดร้าวลงขา ควบคุมขับถ่ายไม่ได้ หรือมีอาการชาร่วม ควรพบแพทย์ทันที การบรรเทาเบื้องต้นทำได้ด้วยการประคบเย็น-ร้อน ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือนวดคลายกล้ามเนื้อ การควบคุมน้ำหนักก็มีส่วนสำคัญ โดยควรดูแลอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันอาการเรื้อรังในระยะยาว
ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหลังช่วงเอว ปวดร้าวลงสะโพก หรือปวดหลังจากออฟฟิศซินโดรม โรคกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลวิภาวดี Vibhavadi Hospital มีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านโรคกระดูกสันหลัง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด โดยเน้นการรักษาโรคปวดหลังโดยไม่ต้องผ่าตัด เพื่อบรรเทาอาการและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ
หลายคนอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการปวดหลัง ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด รุนแรงแค่ไหน หรือควรดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อช่วยให้เข้าใจอาการปวดหลังได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อไขข้อข้องใจเหล่านี้อย่างตรงจุด
ปวดหลังที่ถือว่าอันตรายคืออาการที่รุนแรงและมีสัญญาณร่วม เช่น ปวดร้าวลงขา ขาอ่อนแรง ชา ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ หรือปวดหลังหลังจากได้รับบาดเจ็บ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ทันที
ปวดหลังที่บ่งบอกว่าอาจเกี่ยวข้องกับไต มักปวดบริเวณเอวด้านข้างหรือหลังช่วงล่าง ใต้ชายโครง อาจปวดตื้อๆ หรือปวดร้าวร่วมกับอาการอื่น เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะเป็นเลือด มีไข้ หนาวสั่น หรือคลื่นไส้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ปวดหลังช่วงเอวในผู้หญิงสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งครรภ์ ความเครียดจากการทำงาน ท่าทางการนั่งที่ไม่เหมาะสม ปัญหากระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรืออาจเกิดจากการมีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคกระดูกพรุนหรือปัญหาฮอร์โมน
หากปวดหลังมากจนไม่สามารถนอนหลับได้ ควรลองเปลี่ยนท่านอนให้เหมาะสม เช่น นอนหงายแล้ววางหมอนรองใต้เข่า หรือถ้านอนตะแคงให้ข้างที่ปวดอยู่ข้างล่างและวางหมอนระหว่างขา หากอาการยังไม่ทุเลา ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาต่อไป
โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการปวดหลังอย่างครบวงจร โดยมีศูนย์โรคกระดูกสันหลังที่พร้อมให้บริการ พร้อมทั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังให้คำปรึกษาและรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved