รองช้ำคืออะไร? รองช้ำคืออะไร สาเหตุอาการปวดส้นเท้า วิธีรักษา

  • รองช้ำคือภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ มักเกิดอาการปวดบริเวณส้นเท้า โดยเฉพาะช่วงก้าวแรกหลังตื่นนอนหรือหลังยืนนานๆ อาการปวดอาจดีขึ้นเมื่อได้พักแต่จะกลับมาเป็นซ้ำหากใช้งานเท้ามากเกินไป
  • รองช้ำเกิดจากการใช้งานเท้าอย่างหนัก เช่น เดินหรือยืนนาน ใส่รองเท้าที่ไม่พอดี หรือมีน้ำหนักตัวเกิน ทำให้พังผืดฝ่าเท้าถูกยืดและอักเสบ นอกจากนี้โครงสร้างเท้าที่ผิดปกติ เช่น เท้าแบน หรืออุ้งเท้าสูง ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรองช้ำได้
  • การรักษารองช้ำเริ่มจากการพักการใช้งานเท้า ควบคู่กับการยืดกล้ามเนื้อและกายภาพบำบัด ในบางรายแพทย์อาจให้ยาเพื่อลดการอักเสบ หรือใช้เทคโนโลยี Shockwave Therapy เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ช่วยให้อาการดีขึ้นและกลับมาเดินได้อย่างปกติอีกครั้ง

ปวดส้นเท้าบ่อยๆ อาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา รู้จัก “โรครองช้ำ” ภาวะที่ส่งผลต่อพังผืดใต้ฝ่าเท้า ทำให้ปวด เจ็บ และเดินลำบาก หากปล่อยไว้อาจเรื้อรังจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน มาทำความรู้จักกับโรครองช้ำคืออะไร สาเหตุ อาการที่ควรสังเกต และวิธีรักษาโรครองช้ำที่ส้นเท้าที่ถูกต้อง โดยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อจาก โรงพยาบาลวิภาวดี ที่พร้อมดูแลด้วยวิธีรักษาครอบคลุม ทั้งการใช้ยา การทำกายภาพบำบัด และเทคโนโลยีฟื้นฟูเฉพาะทาง เพื่อให้คุณกลับมาเดินได้อย่างสบายอีกครั้ง!

รู้จักรองช้ำ คืออะไร?

รู้จักรองช้ำ คืออะไร?

เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ หรือ รองช้ำ (Plantar Fasciitis) คือภาวะที่พังผืดใต้ฝ่าเท้า ซึ่งเป็นเส้นเอ็นขนาดใหญ่ที่พาดจากส้นเท้าไปยังปลายเท้า เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง พังผืดส่วนนี้มีหน้าที่รองรับน้ำหนักและดูดซับแรงกระแทกขณะเดินหรือวิ่ง เมื่อใช้งานมากเกินไปหรือมีแรงกดซ้ำๆ ที่ส้นเท้า จะทำให้เนื้อเยื่อเกิดการบาดเจ็บเล็กๆ สะสมจนเกิดการอักเสบ

เมื่อเกิดการอักเสบจะทำให้รู้สึกปวดบริเวณส้นเท้า โดยเฉพาะก้าวแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังจากนั่งพักนานๆ แล้วลุกขึ้นเดินความเจ็บปวดมักจะลดลงเมื่อเดินต่อไปสักพัก แต่จะกลับมาเป็นอีกหากใช้งานเท้ามาก ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ใส่รองเท้าพื้นแข็งหรือไม่มีการรองรับที่เหมาะสม นักวิ่ง หรือผู้ที่ต้องยืนทำงานเป็นเวลานาน มักมีความเสี่ยงต่อการเกิดรองช้ำมากกว่าคนทั่วไป

รองช้ำมีอาการอย่างไร

ผู้ที่เป็นรองช้ำมักมีอาการปวดส้นเท้าที่ค่อยๆ เป็นมากขึ้นตามการใช้งาน โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือหลังพักเท้านานๆ ซึ่งอาการเหล่านี้มักรบกวนการเดินและการใช้ชีวิตประจำวัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปวดส้นเท้า โดยเฉพาะด้านในหรือกลางส้น
  • ปวดมากช่วงเช้า ขณะก้าวเท้าลงจากเตียง หรือหลังตื่นนอน
  • ปวดมากขึ้นเมื่อยืนนาน เดินหรือวิ่ง แต่ปวดน้อยลงเมื่อพัก
  • รู้สึกตึงหรือเจ็บบริเวณฝ่าเท้า โดยเฉพาะใต้ส้นเท้า
  • ปวดแสบหรือปวดทิ่มเหมือนมีเข็มแทงที่ส้นเท้า
  • เดินหรือยืนบนพื้นแข็งแล้วรู้สึกเจ็บมากขึ้น
  • ในบางราย อาจมีบวมเล็กน้อยหรือแดงที่ส้นเท้า

 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงการเป็นรองช้ำ

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงการเป็นรองช้ำ

ภาวะรองช้ำเกิดจากการใช้งานเท้ามากเกินไปหรือมีแรงกดซ้ำ ที่พังผืดใต้ฝ่าเท้า จนทำให้เกิดการอักเสบและเจ็บปวด นอกจากนี้ยังมีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคได้ง่ายขึ้น ได้แก่

  • ใช้เท้ามากเกินไป เช่น ยืน เดิน หรือวิ่งเป็นเวลานาน
  • ใส่รองเท้าไม่เหมาะสม หรือรองเท้าส้นสูง หรือส้นบางที่ไม่รองรับส้นเท้าและฝ่าเท้า
  • น้ำหนักตัวเกิน ทำให้แรงกดบริเวณส้นเท้าเพิ่มขึ้น
  • โครงสร้างเท้าไม่ปกติ เช่น เท้าแบน หรือเท้าสูง
  • อายุที่มากขึ้น เนื่องจากเอ็นฝ่าเท้าเริ่มเสื่อมสภาพ
  • การบาดเจ็บเล็กน้อยซ้ำๆที่ส้นเท้าหรือฝ่าเท้า
  • กิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่อฝ่าเท้าสูง เช่น วิ่งบนพื้นแข็ง กระโดด

 

วิธีแก้อาการรองช้ำด้วยตัวเอง

สำหรับผู้ที่มีอาการรองช้ำระยะแรกหรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถดูแลตนเองได้ที่บ้านเพื่อลดอาการปวดและช่วยให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • พักเท้า ลดกิจกรรมที่ทำให้ส้นเท้าเจ็บ เช่น การวิ่ง ยืนนาน หรือเดินระยะไกล
  • ประคบเย็น บริเวณส้นเท้า วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 10-15 นาที เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบวม
  • ยืดกล้ามเนื้อน่องและฝ่าเท้า เป็นประจำก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของเอ็นและกล้ามเนื้อ
  • ใส่รองเท้าที่เหมาะสม โดยเลือกรองเท้าที่มีพื้นนุ่ม รองรับอุ้งเท้าและส้นเท้าได้ดี หรือใช้แผ่นรองส้นเท้าช่วยลดแรงกด
  • นวดฝ่าเท้า ด้วยมือหรือลูกบอลเล็กๆ เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดความตึงของพังผืดใต้ฝ่าเท้า

 

สัญญาณเตือน! อาการรองช้ำที่ควรปรึกษาแพทย์

สัญญาณเตือน! อาการรองช้ำที่ควรปรึกษาแพทย์

แม้อาการรองช้ำส่วนใหญ่สามารถดีขึ้นได้ด้วยการดูแลตนเอง แต่หากอาการปวดรุนแรงหรือเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่รุนแรงกว่าหรือมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้

  • ปวดส้นเท้าอย่างรุนแรง หรือปวดต่อเนื่องเกิน 2–3 สัปดาห์ แม้พักหรือประคบเย็นแล้วไม่ดีขึ้น
  • อาการปวดรบกวนการเดินหรือทำกิจวัตรประจำวัน
  • ปวดเฉียบพลันหลังจากบาดเจ็บหรือกระแทกที่ส้นเท้า
  • มีบวม แดง ร้อน หรือมีรอยช้ำร่วมกับอาการปวด
  • ปวดฝ่าเท้าทั้งสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • การดูแลตัวเองและพักการใช้งานไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
  • เคยมีประวัติการผ่าตัดหรือโรคกระดูก หรือข้อร่วมกับอาการปวดส้น

 

วิธีตรวจวินิจฉัยรองช้ำ

การวินิจฉัยภาวะรองช้ำทำโดยแพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ โดยอาศัยการซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก เพื่อแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น กระดูกส้นเท้างอก หรือเอ็นร้อยหวายอักเสบ ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยมีดังนี้

  1. ซักประวัติอาการ แพทย์จะสอบถามถึงลักษณะอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด ระยะเวลาที่เป็น และกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น เดินหรือยืนนาน
  2. ตรวจร่างกายบริเวณเท้าและส้นเท้า ตรวจหาจุดกดเจ็บ บริเวณพังผืดใต้ฝ่าเท้า สังเกตอาการบวม แดง หรือผิดรูป รวมถึงประเมินการเคลื่อนไหวของข้อเท้าและกล้ามเนื้อน่อง
  3. ทดสอบการยืดเหยียดพังผืดใต้ฝ่าเท้า แพทย์อาจให้ผู้ป่วยยืดปลายเท้าขึ้นเพื่อดูว่ามีอาการปวดเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งช่วยบ่งชี้ถึงการอักเสบของพังผืด
  4. การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี (X-ray) ใช้เพื่อแยกโรคอื่น เช่น กระดูกส้นเท้างอก หรือกระดูกหักที่อาจมีอาการคล้ายกัน
  5. การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ใช้ตรวจดูความหนาและการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า เหมาะสำหรับยืนยันการวินิจฉัยโดยไม่ต้องใช้รังสี
  6. การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging) อาจใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือซับซ้อน เพื่อประเมินพังผืด กล้ามเนื้อ หรือเอ็นโดยละเอียด

 

แนวทางการรักษารองช้ำ

แนวทางการรักษารองช้ำ

อยากรักษารองช้ำให้หายขาดเป็นไปได้ไหม? การรักษารองช้ำให้หายนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่เป็น เพื่อบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูการใช้งานของฝ่าเท้าให้กลับมาเป็นปกติ โดยมีแนวทางรักษาดังนี้

ยาลดปวดและอักเสบ

แพทย์มักให้ยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือนาโปรเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้าในช่วงที่อาการกำเริบ ยาจะช่วยให้สามารถเดินและทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารหรือไต ควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

กายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดเป็นวิธีรักษาที่ช่วยทั้งลดอาการปวดและเร่งการฟื้นฟูพังผืดใต้ฝ่าเท้าให้แข็งแรงขึ้น โดยนักกายภาพบำบัดจะประเมินสภาพเท้าและจัดโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล เช่น

  • ยืดกล้ามเนื้อน่องและพังผืดใต้ฝ่าเท้า เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดแรงดึงบริเวณส้นเท้า
  • นวดคลายกล้ามเนื้อฝ่าเท้าและเอ็นร้อยหวาย
  • ประคบอุ่นหรือใช้คลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound therapy) เพื่อลดการอักเสบ
  • ฝึกเดินและปรับท่าทางการลงน้ำหนักเพื่อลดแรงกระแทก

 

การฉีดสเตียรอยด์

ในกรณีที่อาการปวดรุนแรงมากหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะจุดบริเวณที่อักเสบ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการปวดได้อย่างรวดเร็ว วิธีนี้ให้ผลดีในระยะสั้น แต่ไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าอ่อนแอหรือเสี่ยงต่อการฉีกขาด จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น

การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเท้า

การใช้อุปกรณ์เสริมช่วยลดแรงกดและพยุงเท้าให้รับน้ำหนักได้อย่างสมดุล เช่น

  • แผ่นรองส้นเท้า หรือ แผ่นเสริมรองเท้า เพื่อกระจายน้ำหนักและลดแรงกระแทก
  • เฝือกดามข้อเท้าตอนกลางคืน เพื่อยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้าและเอ็นร้อยหวายในขณะนอนหลับ ช่วยลดอาการปวดตอนเช้า

การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

การรักษาเฉพาะทางอื่นๆ

สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังเกิน 3-6 เดือน หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป แพทย์อาจพิจารณาใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น คลื่นกระแทก Shockwave Therapy รักษาด้วยการใช้คลื่นเสียงพลังงานสูงส่งไปยังก้อนพังผืดใต้ฝ่าเท้า เพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดอาการอักเสบ ช่วยให้อาการดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

ในบางกรณีที่มีความเสียหายรุนแรงมากหรือรักษาแบบอื่นไม่ได้ผล อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดพังผืดใต้ฝ่าเท้า ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายหลังจากรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative treatment) ครบทุกวิธีแล้ว

การป้องกันรองช้ำ

รองช้ำสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลเท้าและลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ การปรับพฤติกรรมเล็กน้อยในชีวิตประจำวันจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดส้นเท้าได้อย่างมาก วิธีป้องกันทำได้ดังนี้

  • ใส่รองเท้าที่เหมาะสม เลือกรองเท้าที่พื้นนุ่ม มีแผ่นรองรับอุ้งเท้าและส้นเท้าได้ดี หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นแข็งหรือส้นสูงเกินไป
  • ใช้แผ่นรองส้นเท้า หรืออุปกรณ์เสริมรองเท้า เพื่อช่วยกระจายน้ำหนักและลดแรงกดบริเวณส้นเท้า
  • ยืดกล้ามเนื้อน่องและฝ่าเท้า โดยเฉพาะก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืดและเอ็นร้อยหวาย
  • ควบคุมน้ำหนักตัว เพื่อไม่ให้แรงกดบริเวณส้นเท้ามากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการอักเสบ
  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินบนพื้นแข็งนานๆ หากจำเป็นควรใส่รองเท้าหรือแผ่นรองเท้าที่ซับแรงกระแทกได้ดี
  • เพิ่มกิจกรรมทางกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหม โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย
  • พักเท้าให้เพียงพอ เมื่อมีอาการล้า ควรยกเท้าพักและหลีกเลี่ยงการใช้งานต่อเนื่อง
  • สังเกตอาการเจ็บส้นเท้า หากเริ่มมีอาการปวด ควรหยุดพักและดูแลทันที เพื่อป้องกันการอักเสบเรื้อรัง

 

รักษารองช้ำ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

อาการรองช้ำเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนทำงาน คนยืนนาน นักกีฬา หรือผู้ที่ใส่รองเท้าพื้นแข็งติดต่อกันเป็นเวลานาน หลายคนเริ่มจากอาการปวดส้นเท้าเล็กน้อยตอนเช้า แต่หากปล่อยไว้นานอาจรุนแรงถึงขั้นเดินลำบาก ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและการทำงานโดยตรง โรงพยาบาลวิภาวดีมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ ที่เชี่ยวชำนาญการในการวินิจฉัยและรักษาอาการรองช้ำอย่างตรงจุด พร้อมแนวทางการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ทั้งการใช้ยาและปรับพฤติกรรม กายภาพบำบัด หรือการใช้เทคโนโลยีทันสมัยด้วยคลื่นกระแทก Chockwave Therapy เพื่อการรักษาได้ตรงจุด ลดอาการปวด และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว

สรุป

รองช้ำเป็นภาวะที่เกิดจากพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ มักทำให้ปวดส้นเท้า โดยเฉพาะช่วงก้าวแรกหลังตื่นนอน อาการอาจเริ่มจากเล็กน้อยแต่หากละเลยอาจพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังจนเดินลำบาก การดูแลรักษาเริ่มได้จากการพักเท้า ประคบเย็น ยืดกล้ามเนื้อ และใส่รองเท้าที่เหมาะสม หากอาการไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินและรับการรักษาอย่างถูกวิธี เช่น กายภาพบำบัด การฉีดยา หรือ Shockwave Therapy การใส่ใจดูแลเท้าเป็นประจำ และป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดรองช้ำ และช่วยให้คุณกลับมาเดินได้อย่างสบายอีกครั้ง

อย่าปล่อยให้อาการปวดส้นเท้าหรือรองช้ำรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โรงพยาบาลวิภาวดีมีแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ ที่พร้อมให้การดูแลอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัยอาการอย่างละเอียด ไปจนถึงการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้คุณกลับมาเดิน วิ่ง และใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง!


FAQ

รองช้ำสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่ระยะแรก โดยเฉพาะการพักการใช้งานเท้า การทำกายภาพบำบัด และการใช้ Shockwave Therapy ซึ่งช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่รักษายากขึ้น

ระยะเวลาในการรักษารองช้ำขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการดูแลของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปหากรักษาอย่างต่อเนื่องจะใช้เวลาประมาณ 6-12 สัปดาห์จนอาการดีขึ้น แต่ในบางรายที่มีการอักเสบเรื้อรังหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น น้ำหนักเกิน หรือใส่รองเท้าไม่เหมาะสม อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น

รองช้ำมักเกิดที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน แต่ในบางกรณีในผู้ที่มีพฤติกรรมยืนหรือเดินนานเป็นประจำ หรือมีโครงสร้างเท้าที่ผิดปกติ อาจเกิดได้ทั้งสองข้างพร้อมกัน การตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงและแนะนำแนวทางป้องกันที่เหมาะสมได้

การนวดฝ่าเท้าอาจช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดความตึงของพังผืดฝ่าเท้าได้บางส่วน แต่ไม่ใช่วิธีรักษาหลัก หากนวดแรงเกินไปอาจทำให้เนื้อเยื่ออักเสบมากขึ้น ควรนวดเบาๆ หรือตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง