ขาชาข้างเดียวเกิดจากอะไร เช็กอาการ โรคที่ซ่อนอยู่ วิธีรักษา

  • อาการขาชาข้างเดียวที่ควรรีบไปพบแพทย์ คืออาการขาชาข้างเดียวต่อเนื่องร่วมกับอาการอ่อนแรง ปวดหลัง เดินลำบาก ลามขึ้นจากเท้าไปต้นขา อาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือหลอดเลือด หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
  • อาการขาชาข้างเดียวอาจบ่งบอกถึงโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลายประสาทอักเสบ หรือการไหลเวียนเลือดผิดปกติ ซึ่งแต่ละโรคมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน แต่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง
  • ป้องกันอาการขาชาข้างเดียว ได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี และตรวจสุขภาพเป็นประจำ

เคยรู้สึกขาชาข้างเดียวโดยไม่ทราบสาเหตุไหม? หลายคนอาจคิดว่าแค่ “นั่งทับขานาน” แล้วสักพักก็หาย แต่จริงๆ แล้วอาการชาข้างเดียวอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคทางระบบประสาทหรือหมอนรองกระดูกทับเส้น ที่ควรได้รับการตรวจอย่างละเอียด อย่าปล่อยให้อาการเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตรวจหาสาเหตุได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี โดยแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา พร้อมเครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัย เช่น MRI, CT Scan และ EMG/NCS เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษาแม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัย!

ขาชาข้างเดียวคืออะไร? สัญญาณเตือนสุขภาพ

อาการ “ขาชาข้างเดียว” คือภาวะที่รู้สึกชาหรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณขาข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขวาหรือขาซ้าย ซึ่งต่างจากอาการชาทั่วไปที่มักเกิดชั่วคราวจากการนั่งหรือนอนทับเส้นประสาท เมื่อเปลี่ยนท่าก็จะหายเองในไม่กี่นาที แต่หากอาการชาข้างเดียวเกิดขึ้นบ่อย หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น อ่อนแรง ปวดแปลบ หรือรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต แสดงว่าอาจมีความผิดปกติของระบบประสาทหรือหลอดเลือดที่ต้องตรวจเพิ่มเติม

ระวัง! อาการขาชาข้างเดียวและควรรีบไปพบแพทย์

ระวัง! อาการขาชาข้างเดียวและควรรีบไปพบแพทย์

อาการขาชาข้างเดียวอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือหลอดเลือด หากพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดทันที

  • ชาต่อเนื่องนานเกิน30 นาที หรือหลายชั่วโมงโดยไม่ดีขึ้น
  • ชาเกิดขึ้นทันทีหรือฉับพลัน ร่วมกับอาการอ่อนแรงของขาข้างเดียว
  • ชาร่วมกับปวดหลังรุนแรง 
  • ชาเริ่มจากปลายเท้าแล้วลามขึ้นมาถึงต้นขา หรือมีแนวเส้นชัดเจน
  • มีอาการชาร่วมกับปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หน้ามืด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  • ชาข้างเดียวร่วมกับอาการปวดหลังส่วนล่างมาก หรือปวดร้าวลงขา (อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน)
  • ขาชาพร้อมรู้สึกเหมือนไฟช็อตหรือเข็มทิ่มแทง โดยเฉพาะบริเวณปลายเท้า
  • ขาชาและอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เดินลำบาก หรือยกขาไม่ขึ้น
  • ขาชาพร้อมกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ (อาจเป็นภาวะกดทับไขสันหลัง ต้องรีบรักษาด่วน)
  • ขาชาพร้อมผิวซีด เย็น หรือไม่มีชีพจรบริเวณเท้า (อาจเกิดจากหลอดเลือดอุดตัน)
  • อาการชาที่เกิดซ้ำบ่อย โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน

หากเกิดอาการชาข้างเดียวร่วมกับอาการอ่อนแรงเฉียบพลันที่เกิดขึ้นพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น หน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาด่วนที่สุด

ระวัง! อาการขาชาข้างเดียวและควรรีบไปพบแพทย์

ขาชาข้างเดียวเกิดจากอะไร เสี่ยงโรคอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไร

เคยสงสัยไหมว่าอาการขาชาข้างเดียวเกิดจากอะไรได้บ้าง? อาการขาชาข้างเดียวจากการนั่งขัดสมาธิหรือนั่งทับขานานๆ เมื่อขยับหรือเปลี่ยนท่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่นาที หากอาการหายภายในเวลาสั้นๆ ถือว่าไม่อันตราย เรียกอาการชาแบบนี้ว่า การกดทับเส้นประสาทชั่วคราว”

แต่หากพบว่าชาเรื้อรังหรือไม่หายแม้เปลี่ยนท่า อาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาท สมอง หรือระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งบางโรคอาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการเคลื่อนไหว เข้าสู่ภาวะอัมพาต หากพบอาการชาข้างเดียวที่ไม่หายภายในระยะสั้น ควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุโดยแพทย์เฉพาะทาง

โรคปลายประสาทถูกกดทับ

ภาวะนี้เกิดจากแรงกดที่กระทำต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ส่งผลให้การส่งสัญญาณจากสมองไปยังขาผิดปกติ สาเหตุที่พบบ่อย เช่น

  • หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท (Herniated Disc) ทำให้ปวดหลังร้าวลงขาข้างเดียว ร่วมกับอาการชาและอ่อนแรง
  • กระดูกสันหลังเสื่อม (Spinal Stenosis) ช่องกระดูกแคบลงกดทับเส้นประสาท ทำให้ปวดชาเมื่อยืนหรือเดินนาน
  • เส้นประสาทถูกกดจากกล้ามเนื้อ (Piriformis Syndrome) กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทไซอาติก ทำให้ปวดและชาร้าวลงขา

หากปล่อยไว้นานเส้นประสาทอาจเสื่อมถาวร และอาการอ่อนแรงอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้

วิธีรักษา

ในกรณีที่เกิดจากโรคปลายประสาทถูกกดทับ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท แนวทางการรักษาคือแพทย์มักแนะนำให้พักการใช้งาน ลดกิจกรรมที่ทำให้ปวดหรือชา เช่น การนั่งนานหรือยกของหนัก ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อและลดแรงกดต่อเส้นประสาท หากอาการไม่ดีขึ้นอาจใช้ยาลดอักเสบหรือยาคลายกล้ามเนื้อ รวมถึงการฉีดยาลดอักเสบเฉพาะจุด ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือมีภาวะขาอ่อนแรง อาจต้องพิจารณาผ่าตัดเพื่อลดการกดทับ

โรคปลายประสาทอักเสบ

โรคปลายประสาทอักเสบเกิดจากการอักเสบหรือเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลายทำให้การรับความรู้สึกผิดปกติ พบบ่อยในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง การขาดวิตามิน B1, B6, B12 หรือการได้รับสารพิษบางชนิด เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาการชาที่พบมักเริ่มจากปลายเท้าและลามขึ้นมายังขา รู้สึกเหมือนเท้าชาเย็น หรือ แสบๆ ร้อนๆ โดยเฉพาะเวลากลางคืน ในบางรายอาจสูญเสียการรับรู้สัมผัส เช่น ไม่รู้สึกเมื่อเหยียบของมีคม หรือเดินบนพื้นร้อน

วิธีรักษา

การรักษาหลักของโรคปลายประสาทอักเสบคือควบคุมโรคต้นเหตุให้ดี เช่น คุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม พร้อมเสริมวิตามินบีรวม (B1, B6, B12) เพื่อช่วยฟื้นฟูเส้นประสาท แพทย์อาจให้ยาลดอาการปวดแสบร้อนหรือชา เช่น ยากลุ่ม Gabapentin หรือ Pregabalin ร่วมกับกายภาพบำบัดเพื่อกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาท และควรงดดื่มแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการเสื่อมของเส้นประสาทเพิ่มขึ้น

 โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง

อาการชาข้างเดียวเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกกันว่า Stroke โดยเกิดจากการตีบ อุดตัน หรือแตกของหลอดเลือดในสมอง ทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวขาข้างนั้นทำงานผิดปกติ อาการที่มักพบร่วม ได้แก่

  • แขนขาอ่อนแรงข้างเดียว
  • ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
  • เดินเซหรือทรงตัวลำบาก

โรคนี้ต้องรีบเข้ารับการรักษาภายใน4 ชั่วโมงครึ่งแรก เพื่อป้องกันสมองถูกทำลายถาวร

วิธีรักษา

สำหรับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ต้องรีบทำการรักษาโดยเร็วที่สุดหากเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดภายใน 3–4 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ หากมีเลือดออกในสมองอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤต หลังพ้นระยะอันตรายจะต้องทำกายภาพบำบัดฝึกสมองเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทรงตัว รวมถึงควบคุมความดันโลหิต น้ำตาล และไขมันในเลือดอย่างต่อเนื่องเพื่อลดโอกาสเกิดซ้ำ

การไหลเวียนเลือดผิดปกติ

การไหลเวียนเลือดผิดปกติ เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขามีการตีบแคบหรืออุดตัน ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาไม่เพียงพอ เสี่ยงเกิดในผู้ที่สูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง มักรู้สึกชา ปวด หรือเป็นตะคริวบริเวณน่อง โดยเฉพาะเวลายืนหรือเดินไกลๆเมื่อพักอาการจะทุเลา ในบางรายเท้าเย็น ซีด หรือมีแผลที่เท้าหายช้า

วิธีรักษา

กรณีการไหลเวียนเลือดผิดปกติ เช่น หลอดเลือดตีบหรืออุดตัน การรักษาจะเน้นไปที่การปรับพฤติกรรม เช่น งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนัก พร้อมใช้ยาขยายหลอดเลือดหรือยาลดไขมันในเลือด ในบางรายแพทย์อาจพิจารณาทำการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงขาได้เพียงพอและลดอาการชา

การบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อ

การบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อมักเกิดจากอุบัติเหตุ การกระแทก การหกล้ม หรือการยืดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง จนไปกระทบเส้นประสาท ทำให้เกิดการชาเฉพาะจุดหรือเฉพาะแนวเส้นประสาท เช่น ชาต้นขาด้านนอกจากเส้นประสาท Lateral femoral cutaneous nerve ถูกกด อาจมีอาการปวดหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย หากเป็นการบาดเจ็บรุนแรง เส้นประสาทอาจถูกตัดขาดทำให้สูญเสียการรับรู้ถาวร

วิธีรักษา

การรักษาการบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อ เริ่มจากการพักและประคบเย็นในช่วงแรกเพื่อลดการอักเสบ อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาลดอักเสบเพื่อบรรเทาอาการร่วมกับกายภาพบำบัด เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การใช้คลื่นอัลตราซาวด์บำบัด หรือการกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟูเส้นประสาท หากเกิดการฉีกขาดของเส้นประสาท อาจต้องผ่าตัดซ่อมแซมโดยศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการ

โรคระบบประสาทส่วนกลาง

โรคระบบประสาทส่วนกลางเกิดจากความผิดปกติของสมองหรือไขสันหลังที่ควบคุมการรับรู้และการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) เนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง และการติดเชื้อที่กระทบต่อระบบประสาท มักชาข้างเดียวหรือชาทั้งสองข้างสลับกัน อาการเป็นๆ หายๆ อาจมีปัญหาการทรงตัว กล้ามเนื้อเกร็ง หรือการมองเห็นผิดปกติร่วมด้วย

วิธีรักษา

กรณีโรคระบบประสาทส่วนกลาง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือเนื้องอกในสมอง จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วย MRI เพื่อหาความผิดปกติ แพทย์จะให้ยาลดการอักเสบของระบบประสาทหรือยาชะลอการดำเนินของโรคทำกายภาพบำบัดฝึกสมองเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว การทรงตัว และการประสานงานของกล้ามเนื้อ โดยต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่องกับแพทย์เฉพาะทางระบบประสาท

การรักษาขาชาข้างเดียวเบื้องต้นด้วยตัวเอง

หากมีอาการขาชาข้างเดียวไม่รุนแรงหรือเกิดขึ้นชั่วคราว จากการนั่งทับหรือนั่งท่าเดิมนานๆ สามารถดูแลและบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองก่อนเบื้องต้น ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดการกดทับเส้นประสาท และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง แนวทางการดูแลตนเองมีดังนี้

  • เปลี่ยนท่าทางหรือพักการใช้งาน หลีกเลี่ยงการนั่งขัดสมาธิ ห้อยขา หรือยืนท่าเดิมนานเกินไป ควรลุกขยับทุก 30-60 นาที เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และลดแรงกดทับเส้นประสาทบริเวณขา
  • ออกกำลังกายยืดเหยียด ทำท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อขาและสะโพกเป็นประจำ เช่น ท่ายืดกล้ามเนื้อน่อง (Calf stretch) ท่ายืดสะโพก (Hip stretch) ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อที่อาจกดทับเส้นประสาท และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
  • ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน สวมรองเท้าที่พอดีเท้า ไม่คับหรือหลวมเกินไป หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างบ่อยๆ ลดการยกของหนักผิดท่า และควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดทับส่วนล่างมากเกินไป
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพออาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดเกร็งหรือระบบประสาททำงานผิดปกติได้ ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และหากเครียดควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น เดินเบาๆ ทำสมาธิ หรือฟังเพลง
  • หากไม่หายควรรีบไปพบแพทย์ หากอาการชาข้างเดียวไม่ทุเลาภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการร่วม เช่น ปวดร้าว แขนขาอ่อนแรง เดินเซ หรือปากเบี้ยว ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทหรือกระดูกและข้อ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม

 

การป้องกันและการดูแลตัวเอง

การป้องกันและการดูแลตัวเอง

อาการขาชาข้างเดียวสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด รวมถึงช่วยให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น หากเริ่มมีอาการเล็กน้อย การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีก็สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้เช่นกัน

  • หลีกเลี่ยงการนั่ง หรือยืนท่าเดิมนานเกินไป เพื่อป้องกันการกดทับเส้นประสาทและช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อและการบริหารกล้ามเนื้อขา จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดการตึงของกล้ามเนื้อ
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน เพราะโรคเหล่านี้อาจส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาทและหลอดเลือดส่วนปลาย
  • รับประทานอาหารครบหมู่ เน้นอาหารที่มีวิตามินบีรวม ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาท และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงที่อาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด
  • จัดท่านั่งและการทำงานให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ควรปรับเก้าอี้ โต๊ะ และจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสรีระ
  • การตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อประเมินความเสี่ยงและตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาทหรือหลอดเลือดตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที

 

ตรวจสุขภาพ หาสาเหตุขาชาข้างเดียว ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

หากสังเกตแล้วพบว่าตัวเองหรือคนที่คุณรักมีอาการ เข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงหาสาเหตุขาชาข้างเดียว และตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาทหรือหลอดเลือดที่โรงพยาบาลวิภาวดี โดยแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติอาการอย่างละเอียด ประเมินอาการชาตามตำแหน่ง ตรวจระบบประสาท กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือด จากนั้นอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด การตรวจ X-ray หรือ MRI เพื่อดูภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของเส้นประสาทได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ โรงพยาบาลวิภาวดีมีแพทย์เฉพาะทางและอุปกรณ์การตรวจที่ทันสมัย เพื่อช่วยวางแผนการรักษาและป้องกันโรคได้ตรงจุดและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

สรุป

อาการขาชาข้างเดียวอาจไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่หลายคนคิด เพราะบางครั้งร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนถึงโรคสำคัญที่ซ่อนอยู่ ทั้งโรคปลายประสาทถูกกดทับ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือภาวะปลายประสาทอักเสบ หากละเลยไม่รีบตรวจ อาการชาอาจลุกลามจนส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและการใช้ชีวิตประจำวันได้ การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการชาเริ่มได้จากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อระบบประสาท และหลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป หากมีอาการชาที่ไม่หายภายในไม่กี่วัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือตรวจที่ทันสมัย แพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ครอบคลุม พร้อมดูแลทุกปัญหาสุขภาพ เพื่อคุณและคนที่คุณรักมีสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ


FAQ

อาการขาชาที่เกิดจากการนั่งหรือยืนท่าเดิมนานๆ มักจะหายไปเองเมื่อขยับเปลี่ยนท่าหรือพักขา แต่หากมีอาการชาต่อเนื่องนานหลายวัน ชาเฉพาะข้างเดียว หรือชาร่วมกับอาการอ่อนแรง ปวดหลัง หรือเดินลำบาก ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทหรือหลอดเลือด

อาการขาชาข้างซ้ายอาจเกิดจากเส้นประสาทที่ข้างซ้ายถูกกดทับ เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทบริเวณเอว หรือกล้ามเนื้อสะโพกกดทับเส้นประสาท และอาจเกิดจากการไหลเวียนเลือดที่ขาซ้ายไม่ดี หรือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งควรสังเกตหากมีอาการอื่นร่วม เช่น แขนซ้ายชา พูดไม่ชัด หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะอาจต้องรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

สามารถทำท่ายืดกล้ามเนื้อขาและสะโพกเบาๆ เช่น ท่ายืดเอ็นหลังเข่า (Hamstring stretch) หรือท่ายืดสะโพก (Piriformis stretch) เพื่อช่วยลดแรงกดทับเส้นประสาทและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด แต่หากทำแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือชามากขึ้น ควรหยุดและปรึกษาแพทย์ก่อนฝึกต่อ

ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ โดยเฉพาะหากมีอาการชาเกิดขึ้นบ่อย ชานาน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือทรงตัวไม่ดี เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเส้นประสาทถูกกดทับ หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

บทความที่เกี่ยวข้อง