เคยรู้สึกขาชาข้างเดียวโดยไม่ทราบสาเหตุไหม? หลายคนอาจคิดว่าแค่ “นั่งทับขานาน” แล้วสักพักก็หาย แต่จริงๆ แล้วอาการชาข้างเดียวอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคทางระบบประสาทหรือหมอนรองกระดูกทับเส้น ที่ควรได้รับการตรวจอย่างละเอียด อย่าปล่อยให้อาการเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตรวจหาสาเหตุได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี โดยแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา พร้อมเครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัย เช่น MRI, CT Scan และ EMG/NCS เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษาแม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัย!
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%2010%20(%E0%B8%82%E0%B8%B2%20%E0%B8%8A%E0%B8%B2%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%20%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)%20(1).jpg)
อาการ “ขาชาข้างเดียว” คือภาวะที่รู้สึกชาหรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณขาข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นขาขวาหรือขาซ้าย ซึ่งต่างจากอาการชาทั่วไปที่มักเกิดชั่วคราวจากการนั่งหรือนอนทับเส้นประสาท เมื่อเปลี่ยนท่าก็จะหายเองในไม่กี่นาที แต่หากอาการชาข้างเดียวเกิดขึ้นบ่อย หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น อ่อนแรง ปวดแปลบ หรือรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต แสดงว่าอาจมีความผิดปกติของระบบประสาทหรือหลอดเลือดที่ต้องตรวจเพิ่มเติม
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%2010%20(%E0%B8%82%E0%B8%B2%20%E0%B8%8A%E0%B8%B2%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%20%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)%20(3).jpg)
อาการขาชาข้างเดียวอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือหลอดเลือด หากพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดทันที
หากเกิดอาการชาข้างเดียวร่วมกับอาการอ่อนแรงเฉียบพลันที่เกิดขึ้นพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น หน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาด่วนที่สุด
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%2010%20(%E0%B8%82%E0%B8%B2%20%E0%B8%8A%E0%B8%B2%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%20%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)%20(4).jpg)
เคยสงสัยไหมว่าอาการขาชาข้างเดียวเกิดจากอะไรได้บ้าง? อาการขาชาข้างเดียวจากการนั่งขัดสมาธิหรือนั่งทับขานานๆ เมื่อขยับหรือเปลี่ยนท่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่นาที หากอาการหายภายในเวลาสั้นๆ ถือว่าไม่อันตราย เรียกอาการชาแบบนี้ว่า “การกดทับเส้นประสาทชั่วคราว”
แต่หากพบว่าชาเรื้อรังหรือไม่หายแม้เปลี่ยนท่า อาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาท สมอง หรือระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งบางโรคอาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการเคลื่อนไหว เข้าสู่ภาวะอัมพาต หากพบอาการชาข้างเดียวที่ไม่หายภายในระยะสั้น ควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุโดยแพทย์เฉพาะทาง
ภาวะนี้เกิดจากแรงกดที่กระทำต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ส่งผลให้การส่งสัญญาณจากสมองไปยังขาผิดปกติ สาเหตุที่พบบ่อย เช่น
หากปล่อยไว้นานเส้นประสาทอาจเสื่อมถาวร และอาการอ่อนแรงอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้
วิธีรักษา
ในกรณีที่เกิดจากโรคปลายประสาทถูกกดทับ เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท แนวทางการรักษาคือแพทย์มักแนะนำให้พักการใช้งาน ลดกิจกรรมที่ทำให้ปวดหรือชา เช่น การนั่งนานหรือยกของหนัก ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อและลดแรงกดต่อเส้นประสาท หากอาการไม่ดีขึ้นอาจใช้ยาลดอักเสบหรือยาคลายกล้ามเนื้อ รวมถึงการฉีดยาลดอักเสบเฉพาะจุด ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือมีภาวะขาอ่อนแรง อาจต้องพิจารณาผ่าตัดเพื่อลดการกดทับ
โรคปลายประสาทอักเสบเกิดจากการอักเสบหรือเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลายทำให้การรับความรู้สึกผิดปกติ พบบ่อยในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง การขาดวิตามิน B1, B6, B12 หรือการได้รับสารพิษบางชนิด เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาการชาที่พบมักเริ่มจากปลายเท้าและลามขึ้นมายังขา รู้สึกเหมือนเท้าชาเย็น หรือ แสบๆ ร้อนๆ โดยเฉพาะเวลากลางคืน ในบางรายอาจสูญเสียการรับรู้สัมผัส เช่น ไม่รู้สึกเมื่อเหยียบของมีคม หรือเดินบนพื้นร้อน
วิธีรักษา
การรักษาหลักของโรคปลายประสาทอักเสบคือควบคุมโรคต้นเหตุให้ดี เช่น คุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม พร้อมเสริมวิตามินบีรวม (B1, B6, B12) เพื่อช่วยฟื้นฟูเส้นประสาท แพทย์อาจให้ยาลดอาการปวดแสบร้อนหรือชา เช่น ยากลุ่ม Gabapentin หรือ Pregabalin ร่วมกับกายภาพบำบัดเพื่อกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาท และควรงดดื่มแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการเสื่อมของเส้นประสาทเพิ่มขึ้น
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%2010%20(%E0%B8%82%E0%B8%B2%20%E0%B8%8A%E0%B8%B2%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%20%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)%20(5).jpg)
อาการชาข้างเดียวเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกกันว่า Stroke โดยเกิดจากการตีบ อุดตัน หรือแตกของหลอดเลือดในสมอง ทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวขาข้างนั้นทำงานผิดปกติ อาการที่มักพบร่วม ได้แก่
โรคนี้ต้องรีบเข้ารับการรักษาภายใน4 ชั่วโมงครึ่งแรก เพื่อป้องกันสมองถูกทำลายถาวร
วิธีรักษา
สำหรับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ต้องรีบทำการรักษาโดยเร็วที่สุดหากเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดภายใน 3–4 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ หากมีเลือดออกในสมองอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤต หลังพ้นระยะอันตรายจะต้องทำกายภาพบำบัดฝึกสมองเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทรงตัว รวมถึงควบคุมความดันโลหิต น้ำตาล และไขมันในเลือดอย่างต่อเนื่องเพื่อลดโอกาสเกิดซ้ำ
การไหลเวียนเลือดผิดปกติ เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขามีการตีบแคบหรืออุดตัน ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขาไม่เพียงพอ เสี่ยงเกิดในผู้ที่สูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง มักรู้สึกชา ปวด หรือเป็นตะคริวบริเวณน่อง โดยเฉพาะเวลายืนหรือเดินไกลๆเมื่อพักอาการจะทุเลา ในบางรายเท้าเย็น ซีด หรือมีแผลที่เท้าหายช้า
วิธีรักษา
กรณีการไหลเวียนเลือดผิดปกติ เช่น หลอดเลือดตีบหรืออุดตัน การรักษาจะเน้นไปที่การปรับพฤติกรรม เช่น งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนัก พร้อมใช้ยาขยายหลอดเลือดหรือยาลดไขมันในเลือด ในบางรายแพทย์อาจพิจารณาทำการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงขาได้เพียงพอและลดอาการชา
การบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อมักเกิดจากอุบัติเหตุ การกระแทก การหกล้ม หรือการยืดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง จนไปกระทบเส้นประสาท ทำให้เกิดการชาเฉพาะจุดหรือเฉพาะแนวเส้นประสาท เช่น ชาต้นขาด้านนอกจากเส้นประสาท Lateral femoral cutaneous nerve ถูกกด อาจมีอาการปวดหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย หากเป็นการบาดเจ็บรุนแรง เส้นประสาทอาจถูกตัดขาดทำให้สูญเสียการรับรู้ถาวร
วิธีรักษา
การรักษาการบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อ เริ่มจากการพักและประคบเย็นในช่วงแรกเพื่อลดการอักเสบ อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาลดอักเสบเพื่อบรรเทาอาการร่วมกับกายภาพบำบัด เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การใช้คลื่นอัลตราซาวด์บำบัด หรือการกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟูเส้นประสาท หากเกิดการฉีกขาดของเส้นประสาท อาจต้องผ่าตัดซ่อมแซมโดยศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการ
โรคระบบประสาทส่วนกลางเกิดจากความผิดปกติของสมองหรือไขสันหลังที่ควบคุมการรับรู้และการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) เนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง และการติดเชื้อที่กระทบต่อระบบประสาท มักชาข้างเดียวหรือชาทั้งสองข้างสลับกัน อาการเป็นๆ หายๆ อาจมีปัญหาการทรงตัว กล้ามเนื้อเกร็ง หรือการมองเห็นผิดปกติร่วมด้วย
วิธีรักษา
กรณีโรคระบบประสาทส่วนกลาง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือเนื้องอกในสมอง จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วย MRI เพื่อหาความผิดปกติ แพทย์จะให้ยาลดการอักเสบของระบบประสาทหรือยาชะลอการดำเนินของโรคทำกายภาพบำบัดฝึกสมองเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว การทรงตัว และการประสานงานของกล้ามเนื้อ โดยต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่องกับแพทย์เฉพาะทางระบบประสาท
หากมีอาการขาชาข้างเดียวไม่รุนแรงหรือเกิดขึ้นชั่วคราว จากการนั่งทับหรือนั่งท่าเดิมนานๆ สามารถดูแลและบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองก่อนเบื้องต้น ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดการกดทับเส้นประสาท และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง แนวทางการดูแลตนเองมีดังนี้
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Sep%2010%20(%E0%B8%82%E0%B8%B2%20%E0%B8%8A%E0%B8%B2%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%20%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%20%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%20%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)%20(6).jpg)
อาการขาชาข้างเดียวสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด รวมถึงช่วยให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น หากเริ่มมีอาการเล็กน้อย การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีก็สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้เช่นกัน
หากสังเกตแล้วพบว่าตัวเองหรือคนที่คุณรักมีอาการ เข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงหาสาเหตุขาชาข้างเดียว และตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาทหรือหลอดเลือดที่โรงพยาบาลวิภาวดี โดยแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติอาการอย่างละเอียด ประเมินอาการชาตามตำแหน่ง ตรวจระบบประสาท กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือด จากนั้นอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด การตรวจ X-ray หรือ MRI เพื่อดูภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของเส้นประสาทได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ โรงพยาบาลวิภาวดีมีแพทย์เฉพาะทางและอุปกรณ์การตรวจที่ทันสมัย เพื่อช่วยวางแผนการรักษาและป้องกันโรคได้ตรงจุดและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
อาการขาชาข้างเดียวอาจไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่หลายคนคิด เพราะบางครั้งร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนถึงโรคสำคัญที่ซ่อนอยู่ ทั้งโรคปลายประสาทถูกกดทับ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือภาวะปลายประสาทอักเสบ หากละเลยไม่รีบตรวจ อาการชาอาจลุกลามจนส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและการใช้ชีวิตประจำวันได้ การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการชาเริ่มได้จากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อระบบประสาท และหลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป หากมีอาการชาที่ไม่หายภายในไม่กี่วัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือตรวจที่ทันสมัย แพ็กเกจตรวจสุขภาพที่ครอบคลุม พร้อมดูแลทุกปัญหาสุขภาพ เพื่อคุณและคนที่คุณรักมีสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved