โรคเกาต์ สาเหตุ อาการเสี่ยง และอาหารที่ควรเลี่ยง

  • โรคเกาต์คือโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายมากเกินไป ทำให้กรดยูริกตกผลึกเข้าไปในข้อ ทำให้เกิดปวด บวม แดง ร้อน มักเริ่มจากนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า
  • อาการโรคเกาต์จะปวดข้ออย่างเฉียบพลัน บวม แดง ร้อน ขยับข้อได้ลำบาก อาการมักเป็นๆ หายๆ และอาจพัฒนาจนเป็นเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดก้อนโทฟัสใต้ผิวหนังหรือนิ่วในไต
  • ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรงดอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต สมอง) เนื้อแดงเข้มข้น อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปู หอย และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ รวมถึงเครื่องดื่มน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นและกระตุ้นให้เกาต์กำเริบ

ปวดข้อ บวม แดง จนแตะไม่ได้อาจไม่ใช่อาการธรรมดา เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของ “โรคเกาต์ (Gout)” ภาวะที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในเลือดจนตกผลึกในข้อ ทำให้เกิดอาการปวดทรมานเป็นๆ หายๆ บางคนอาจต้องหยุดทำงานหรือเดินแทบไม่ได้เลย บทความนี้พาไปทำความเข้าใจ สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อช่วยให้คุณรับมือโรคเกาต์ได้อย่างถูกวิธีและลดโอกาสอาการกำเริบในอนาคต

โรคเกาต์คืออะไร ปล่อยทิ้งไว้อันตรายไหม?

โรคเกาต์คืออะไร ปล่อยทิ้งไว้อันตรายไหม?

โรคเกาต์ (Gout) คือโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริก (Uric acid) ในร่างกายมากเกินไป กรดยูริกที่สะสมจะตกผลึกเป็นรูปเข็มเล็กๆ เข้าไปในข้อต่างๆ ทำให้เกิดอาการปวดบวม แดง ร้อน และเคลื่อนไหวข้อลำบาก โดยมักเริ่มที่ข้อเท้า นิ้วหัวแม่เท้า หรือข้อเข่า ถ้าเป็นมากอาจทำให้เกิดนิ่วในไตร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการปวดข้ออาจเกิดซ้ำเรื้อรังและนำไปสู่ความเสียหายของข้อในระยะยาวได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงโรคเกาต์

  1. กรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ในผู้ชายยูริกไม่ควรที่จะเกิน 8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ในผู้หญิงยูริก ไม่ควรเกิน 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  2. พันธุกรรม หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเกาต์ โอกาสเกิดโรคจะสูงขึ้น
  3. โรคหรือภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โรคไตเรื้อรัง ทำให้ร่างกายขับยูริกได้น้อย โรคเมตาบอลิก เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ภาวะเลือดผิดปกติบางชนิด เช่น ภาวะเพิ่มการสร้างเซลล์เม็ดเลือด
  4. ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด ยาอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการขับยูริก
  5. อาหารและเครื่องดื่ม อาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม
  6. เพศและอายุ ผู้ชายมีโอกาสเป็นเกาต์สูงกว่าผู้หญิง อายุ 30-50 ปีมักพบเกาต์บ่อย
  7. น้ำหนักตัวและการใช้ชีวิต ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายจัดการกรดยูริกได้น้อย
  8. ประวัติสุขภาพอื่นๆ มีโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ

 

อาการของโรคเกาต์

อาการของโรคเกาต์

โรคเกาต์อาการมักเกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อ ส่งผลให้เกิดการสะสมของผลึกยูเรตในข้อและเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้เกิดการอักเสบและอาการเจ็บปวดได้ มักเกิดอาการอย่างเฉียบพลันและเป็นๆ หายๆ ดังนี้

  • ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณข้อ โดยเฉพาะที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบได้บ่อยที่สุด แม้มักเริ่มจากข้อเดียว แต่บางรายอาจปวดหลายข้อพร้อมกันได้
  • อาการปวดเป็นๆ หายๆ หรืออาจพัฒนาจนกลายเป็นอาการเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
  • อาการแทรกซ้อนในรายที่เป็นนาน เช่น การเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน
  • มักปวดมากช่วงกลางคืน และอาการจะหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยมีปัจจัยกระตุ้น เช่น อาหารที่มีพิวรีนสูง การดื่มแอลกอฮอล์ และความเครียด
  • ข้อมีความรู้สึกตึงหรือเคลื่อนไหวลำบาก เนื่องจากการอักเสบทำให้ข้อขยับไม่สะดวก
  • ผิวหนังบริเวณข้ออักเสบลอกหรือคัน หลังจากอาการปวดเริ่มทุเลา
  • มีก้อนโทฟัส (Tophi) ในผู้ที่เป็นเรื้อรัง เป็นก้อนเล็กๆ ใต้ผิวหนังบริเวณใบหู ข้อศอก หรือข้อนิ้ว
  • ไข้ต่ำๆ หรือรู้สึกหนาวสั่น ในช่วงข้ออักเสบเฉียบพลัน
  • รู้สึกเหมือนข้อถูกกดทับหรือหนักขึ้น ทำให้ยืน เดิน หรือลงน้ำหนักได้ลำบาก

การตรวจวินิจฉัยโรคเกาต์

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะสอบถามอาการปวดข้อ ลักษณะการบวม แดง ร้อน รวมถึงประวัติการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม และตรวจข้อเพื่อตรวจหาอาการอักเสบ
  • ตรวจกรดยูริกในเลือด เจาะเลือดเพื่อตรวจระดับกรดยูริก หากสูงเกินไปอาจสนับสนุนการวินิจฉัยโรคเกาต์
  • การเจาะน้ำไขข้อ อาจเจาะน้ำไขข้อจากข้อที่อักเสบ เพื่อตรวจผลึกกรดยูริกในน้ำไขข้อ
  • การตรวจภาพรังสีหรืออัลตราซาวด์ เพื่อดูความเสียหายของข้อ หรือหาผลึกกรดยูริกในข้อ ซึ่งช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของโรค

 

โรคเกาต์มีวิธีรักษาอย่างไร?

โรคเกาต์มีวิธีรักษาอย่างไร?

การรักษาโรคเกาต์ต้องมุ่งลดอาการปวดเฉียบพลัน ควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด และปรับพฤติกรรมระยะยาวเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ การดูแลอย่างสม่ำเสมอและการปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการใช้ยาผิดประเภทหรือผิดขนาดอาจทำให้อาการแย่ลงได้

การรักษาด้วยยา

การรักษาโรคเกาต์ด้วยยามีจุดประสงค์เพื่อลดการอักเสบเฉียบพลันและควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดไม่ให้สูงเกินไป และยาทุกชนิดควรใช้ภายใต้การดูแลแพทย์อย่างเคร่งครัด

  • ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ (NSAIDs) ช่วยลดอาการปวด บวม แดง ร้อนในช่วงอาการกำเริบ
  • ยาลดกรดยูริก (ULT เช่น Allopurinol, Febuxostat) ใช้ควบคุมระดับกรดยูริกระยะยาว ป้องกันการกำเริบซ้ำ ต้องใช้ตามแพทย์สั่ง
  • Colchicine (0.6 mg) ลดอาการปวดเกาต์เฉียบพลัน ควรหยุดทันทีเมื่ออาการดีขึ้นหรือมีอาการท้องเสีย
  • Corticosteroids ใช้เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถใช้ NSAIDs หรือ Colchicine ได้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลแพทย์

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

พฤติกรรมบางอย่างสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการโรคเกาต์กำเริบ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการ

  • ดื่มน้ำมากขึ้น ช่วยขับกรดยูริกออกทางไต ลดความเสี่ยงการตกผลึกที่ข้อ
  • ลดน้ำหนักอย่างเหมาะสม ภาวะอ้วนเพิ่มระดับกรดยูริก ควบคุมน้ำหนักจึงช่วยลดการกำเริบ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยปรับสมดุลร่างกาย แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงปวดกำเริบ

การควบคุมอาหาร

อาหารบางชนิดมีผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย การปรับอาหารจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคเกาต์กำเริบ

  • หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง ซุปกระดูก อาหารทะเลบางชนิด
  • ลดอาหาร/เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะฟรุกโตส เพราะเพิ่มการสร้างกรดยูริก
  • เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับยูริกและสนับสนุนสุขภาพโดยรวม
  • เลือกโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ไข่ เต้าหู้ ปลาไขมันต่ำ แทนเนื้อแดงหรืออาหารทะเล

 

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

สงสัยไหมว่าอาหารสำหรับโรคเกาต์ห้ามกินอะไร และกินอะไรได้บ้าง? โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามปริมาณสารพิวรีนที่มีอยู่ในอาหาร ดังนี้

1. อาหารที่มีสารพิวรีนสูง (มากกว่า 150 มก.)

อาหารกลุ่มนี้ควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น ได้แก่

  • เนื้อไก่ เป็ด นก และเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต สมอง
  • น้ำต้มเนื้อ น้ำเกาเหลา น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น
  • ปลาไส้ตัน น้ำปลาและกะปิจากปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน
  • ยีสต์และอาหารหมักจากยีสต์ เช่น เบียร์
  • อาหารทะเลบางชนิด เช่น หอยเชลล์ ปลาทู ปลารัง ไข่ปลา
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เบียร์ เหล้า เพราะทำให้กรดยูริกสูง

2. อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง (50–150 มก.)

อาหารกลุ่มนี้รับประทานได้ ในปริมาณจำกัด ได้แก่

  • เนื้อวัว กระเพาะ ผ้าขี้ริ้ว เอ็น
  • เนื้อหมู เนื้อปลา ปู กุ้ง หอย
  • ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว
  • ผักหน่อไม้ฝรั่ง ผักขม เห็ด ดอกกะหล่ำ ชะอม กระถิน

3. อาหารที่มีสารพิวรีนน้อยหรือแทบไม่มี (0–50 มก.)

อาหารกลุ่มนี้รับประทานได้ โดยไม่จำกัด ได้แก่

  • ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด วุ้นเส้น บะหมี่ เส้นหมี่
  • ขนมปัง มักกะโรนี ข้าวโพด แคร็กเกอร์สีขาว
  • ไข่ นมและผลิตภัณฑ์นม เช่น เนยแข็ง ไอศกรีม
  • น้ำมันพืช กะทิ เนย น้ำมันหมู
  • ผักและผลไม้ทุกชนิด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์
  • ขนมหวานต่างๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เค้ก คุกกี้
  • เครื่องดื่มทั่วไป เช่น กาแฟ ชา โกโก้ ช็อกโกแลต

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

  • ทานยาตามแพทย์สั่ง อย่างต่อเนื่อง หากมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง หรือถ่ายยา รีบปรึกษาแพทย์
  • ดื่มน้ำมากๆ ช่วยลดความเข้มข้นของปัสสาวะและป้องกันนิ่ว
  • งดแอลกอฮอล์ เพราะทำให้กรดยูริกสะสมในร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงอาหารสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ตับ ไต สมอง หัวใจ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • มาพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามอาการ

 

รักษาโรคเกาต์ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

รักษาโรคเกาต์ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการดูแลและรักษาโรคเกาต์อย่างครบวงจร โดยศัลยกรรมกระดูกและข้อ พร้อมระบบตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัย และการประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากโรคเกาต์ ทั้งในระบบไตและระบบหัวใจ-หลอดเลือด โดยใช้แนวทางการรักษาด้วยยาเมื่ออักเสบเฉียบพลัน การควบคุมระดับกรดยูริกระยะยาว การดูแลภาวะแทรกซ้อน รวมถึงคำแนะนำด้านโภชนาการและปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันการกำเริบซ้ำ โดยแพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคลตามความรุนแรงของอาการและโรคร่วมที่มี ติดตามอาการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ

สรุป

โรคเกาต์คือโรคข้ออักเสบที่เกิดจากกรดยูริกสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้เกิดอาการ ปวด บวม แดง ร้อน โดยมักเริ่มจากนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า สาเหตุหลักมาจาก กรดยูริกสูง พันธุกรรม โรคอื่นๆ ยาบางชนิด และอาหาร เครื่องดื่มที่มีพิวรีนหรือแอลกอฮอล์ อาการอาจเป็นๆ หายๆ หรือเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษา การวินิจฉัยทำได้จากตรวจเลือด เจาะน้ำไขข้อ และภาพรังสี อัลตราซาวด์ รักษาด้วยยาเมื่อเกิดการอักเสบเฉียบพลัน การปรับพฤติกรรม และควบคุมอาหาร ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงอาหารพิวรีนสูง งดแอลกอฮอล์ และมาติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำและลดความเสียหายของข้อในระยะยาว

หากมีอาการปวดข้อบวมแดงเป็นๆ หายๆ หรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคเกาต์ เข้ารับการตรวจและประเมินอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยในระยะยาวได้ทันที


FAQ

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต สมอง) เนื้อแดง อาหารทะเลบางชนิด เช่น ปู กุ้ง หอย และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ รวมถึงเครื่องดื่มน้ำตาลสูง เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นและกระตุ้นให้เกาต์กำเริบได้

สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่จำเป็นต้องงดผักทั้งหมด เพราะผักส่วนใหญ่มีพิวรีนน้อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรระวังผักบางชนิดที่มีพิวรีนปานกลาง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ผักขม เห็ด ดอกกะหล่ำ ชะอม และกระถิน สามารถทานได้แต่ควรจำกัดปริมาณ ส่วนผักที่พิวรีนน้อย เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี แครอท แตงกวา มะเขือเทศ ผักสดทั่วไปสามารถทานได้ตามปกติ และควรทานผักให้หลากหลายเพื่อช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

โรคเกาต์ไม่สามารถหายเองได้ แต่อาการปวดข้อเฉียบพลันอาจทุเลาได้เองในช่วงระยะสั้น หากไม่รักษาและไม่ควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด โรคจะกำเริบซ้ำ และอาจทำให้ข้อเสียหายหรือเกิดนิ่วในไตได้ ดังนั้นการรักษาและปรับพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญ

อาการโรคเกาต์ที่ควรไปพบแพทย์ทันที คือมีอาการปวดข้อรุนแรง บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่เท้า หรือหากอาการเกิดขึ้นซ้ำเรื้อรัง นอกจากนี้ หากมีไข้ต่ำหรือรู้สึกหนาวสั่นร่วมด้วย หรือสงสัยว่ามีก้อนโทฟัสใต้ผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจทำให้ข้อเสียหายถาวรได้


แพทย์ผู้ดูแล

นพ. อนวรรถ ซื่อสุวรรณ

นัดหมายเเพทย์

นพ. อนวรรถ ซื่อสุวรรณ

อายุรกรรม
อายุรศาสตร์
อายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง