- การทำหมันหญิงเหมาะกับผู้ที่มั่นใจว่าจะไม่ต้องการมีบุตรในอนาคต หรือมีเหตุผลทางสุขภาพที่ทำให้ตั้งครรภ์เสี่ยงสูง เช่น ปัญหาสุขภาพร่างกายหรือภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด
- วิธีการทำหมันหญิงที่นิยมคือการส่องกล้องตัดหรือผูกท่อนำไข่ ซึ่งแผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว และ การผ่าตัดเปิดแผลเล็ก เพื่อเข้าถึงท่อนำไข่และทำการตัดหรือผูกปิด
- ช่วงเวลาที่เหมาะกับการทำหมันหญิงคือ หลังประจำเดือนหมดและไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือ หลังคลอดทันที ซึ่งการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
การวางแผนครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน และการทำหมันหญิงถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ปลอดภัยและถาวร แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “การทำหมันหญิงมีกี่แบบ ต้องเตรียมตัวอย่างไร ขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง?” บทความนี้พามาทำความรู้จักกับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมตัวไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังทำหมัน เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย!
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2010%20(%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87)_Article.jpg)
รู้จักการทำหมันหญิง วิธีคุมกำเนิดที่ได้ผลสูง
การทำหมันหญิง คือวิธีคุมกำเนิดแบบถาวรที่มุ่งป้องกันการตั้งครรภ์โดยการปิดกั้นหรือทำให้ท่อนำไข่ไม่สามารถนำไข่ไปผสมกับอสุจิได้ เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมากและให้ผลในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีบุตรเพียงพอแล้วหรือไม่ต้องการตั้งครรภ์อีกในอนาคต
ซึ่งการทำหมันหญิงไม่ส่งผลต่อการตกไข่ ฮอร์โมน หรือความรู้สึกทางเพศ ร่างกายยังคงมีประจำเดือนตามปกติ เพียงแต่ไข่ที่ตกจะไม่สามารถผสมกับอสุจิได้ วิธีนี้ถือเป็นทางเลือกที่ให้ความมั่นใจสูงในระยะยาว และช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำหมันหญิงเหมาะกับใครบ้าง?
การทำหมันหญิงเป็นวิธีคุมกำเนิดแบบถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับผู้ที่มั่นใจในแผนการมีบุตรของตนเองและต้องการความปลอดภัยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ก่อนตัดสินใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพและความพร้อมอย่างรอบด้าน ผู้ที่เหมาะกับการทำหมันหญิง ได้แก่
- ผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรอีก เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนครอบครัวเสร็จสมบูรณ์แล้ว และต้องการคุมกำเนิดแบบถาวรเพื่อลดความเสี่ยงตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจในอนาคต
- มีความพร้อมด้านสุขภาพ ผู้ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด และได้รับการประเมินโดยแพทย์ว่าปลอดภัยต่อการทำหัตถการ
- เข้าใจและยอมรับผลถาวรของการทำหมัน เหมาะกับผู้ที่มั่นใจในการตัดสินใจระยะยาวและเข้าใจผลลัพธ์อย่างชัดเจน
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่อาจมีอันตรายต่อการตั้งครรภ์ การทำหมันช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในระยะยาว
- ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ ไม่ได้หรือไม่เหมาะสม เช่น มีผลข้างเคียงจากยาเม็ดคุมกำเนิด ใส่ห่วงอนามัยไม่ได้ หรือแพ้วิธีคุมกำเนิดรูปแบบอื่น
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2010%20(%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87)_Article2.jpg)
รูปแบบวิธีการทำหมันหญิงที่นิยม
การทำหมันหญิงสามารถทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ความเหมาะสมทางการแพทย์ และภาวะสุขภาพของผู้รับการรักษา แพทย์จะประเมินวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้ป่วย
การทำหมันหลังคลอด (Postpartum Tubal Ligation)
การทำหมันหญิงหลังคลอด หรือที่หลายคนเรียกว่า “หมันเปียก” คือการทำหมันในช่วงหลังคลอดทันที โดยมักทำภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังคลอดบุตร เนื่องจากเป็นช่วงที่มดลูกยังขยายอยู่ ทำให้เข้าถึงท่อนำไข่ได้ง่ายและสะดวกต่อการผ่าตัด การทำหมันหลังคลอดเหมาะกับผู้ที่วางแผนว่าจะไม่มีบุตรเพิ่มหลังคลอด คุณแม่ที่คลอดทางช่องคลอดและสุขภาพโดยรวมแข็งแรง ผู้ที่ต้องการลดขั้นตอนการผ่าตัดเพิ่มเติม เพราะสามารถทำร่วมกับการคลอดได้ทันที
ขั้นตอนการทำหมันหญิง
การทำหมันหลังคลอด ทำได้ทั้งในคุณแม่ที่คลอดทางช่องคลอดหรือผ่าคลอด โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้
- หลังคลอดทางช่องคลอด แพทย์จะทำแผลเล็กเหนือหัวหน่าวประมาณ 2-3 ซม. จากนั้นเลื่อนมดลูกขึ้นเพื่อเข้าถึงท่อนำไข่ แล้วทำการตัดและผูกปิดท่อนำไข่ทั้งสองข้าง วิธีนี้เหมาะกับคุณแม่ที่อยู่ในช่วงหลังคลอดและไม่สะดวกส่องกล้อง
- หลังผ่าคลอด หากคุณแม่ต้องผ่าคลอดอยู่แล้ว แพทย์สามารถทำการตัดและผูกปิดท่อนำไข่ในขณะผ่าคลอดได้เลย ไม่ต้องผ่าซ้ำ ซึ่งสะดวกและปลอดภัย เพราะสามารถมองเห็นท่อนำไข่ชัดเจน
การทำหมันเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์ (Interval Tubal Ligation)
การทำหมันเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์ หรือ “หมันแห้ง” เป็นคือการทำหมันหญิงในช่วงที่ไม่ได้อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอดทันที โดยแพทย์จะนัดประเมินสภาพร่างกาย งดอาหารและน้ำตาม งดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด และกำหนดวันที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัด การทำหมันเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์เหมาะกับผู้ที่พร้อมทางร่างกายและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดแบบถาวร ผู้ที่ต้องการผ่าตัดที่มีระยะพักฟื้นสั้นและวางแผนล่วงหน้าก่อนทำได้
ขั้นตอนการทำหมันหญิง
การทำหมันหญิงเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์จะทำหลังประจำเดือนหมดไปแล้วไม่กี่วัน เพื่อยืนยันว่าไม่มีการตั้งครรภ์และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน วิธีการทำมี 2 แนวทาง ดังนี้
- การส่องกล้องทำหมัน แพทย์จะทำแผลทำหมันผู้หญิงเล็กบริเวณสะดือ จากนั้นใส่กล้องส่อง (Laparoscope) และอุปกรณ์เข้าไปในช่องท้องเพื่อมองเห็นท่อนำไข่ชัดเจน แล้วทำการตัด ปิด ผูก หรือใช้คลิป/แหวนเพื่อปิดท่อนำไข่ วิธีนี้เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และมักกลับบ้านได้ในวันเดียว
- การผ่าตัดเปิดแผลเล็ก เป็นการเปิดแผลขนาดเล็กบริเวณเหนือหัวหน่าวเพื่อนำท่อนำไข่ออกมาตัดและผูกปิดถาวร วิธีนี้ยังคงทำได้ดีและใช้บ่อย แต่ฟื้นตัวอาจช้ากว่าการส่องกล้องเล็กน้อย
การผ่าตัดเอาท่อนำไข่ออกทั้งหมด (Salpingectomy)
การทำหมันหญิงด้วยการผ่าตัดเอาท่อนำไข่ออกทั้งหมด เป็นวิธีคุมกำเนิดถาวรที่แพทย์ตัดท่อนำไข่ออกทั้งสองข้าง ทำให้ไม่สามารถเกิดการปฏิสนธิได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่บางชนิดในอนาคตได้ด้วย ทำได้ทั้งแบบส่องกล้อง และแบบผ่าตัดเปิดแผล วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถส่องกล้องได้หรือมีภาวะแทรกซ้อน
การเตรียมตัวก่อนทำหมันหญิง
- ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อประเมินความพร้อมด้านสุขภาพ อธิบายขั้นตอน ความเสี่ยง และผลถาวรของการทำหมัน
- ตรวจสุขภาพและเตรียมร่างกาย เช่น ตรวจเลือด ตรวจร่างกายทั่วไป รวมถึงงดสูบบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวทั้งหมด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- แจ้งรายการยาที่กำลังรับประทานอยู่ทั้งหมด รวมถึงยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อเอง วิตามิน สมุนไพร และอาหารเสริมต่างๆ
- แจ้งประวัติการแพ้ยา เพื่อให้แพทย์เลือกใช้ยาที่ปลอดภัยต่อผู้ป่วย
- หยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- การงดอาหารและน้ำ โดยทั่วไปควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด หรือเป็นไปตามคำแนะนำเฉพาะของแพทย์ผู้ดูแล
- เตรียมใจและทำความเข้าใจขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อช่วยลดความกังวล และให้พร้อมสำหรับการดูแลตนเองหลังผ่าตัด
- การคุมกำเนิดก่อนเข้ารับการทำหมัน ควรใช้วิธีคุมกำเนิดชั่วคราว เช่น ถุงยางอนามัย หรือยาคุมกำเนิด จนถึงวันที่เข้ารับการทำหมัน
- เอกสารการยินยอม ลงนามยินยอมก่อนทำหัตถการ เพื่อยืนยันว่าเข้าใจขั้นตอน ความเสี่ยง และผลถาวรของการทำหมัน
- การเตรียมของใช้และการเดินทาง เตรียมเสื้อผ้าที่สวมสบาย รวมถึงให้มีผู้ดูแลหรือญาติพาเดินทางกลับบ้านหลังทำหัตถการ
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2010%20(%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87)_Article3.jpg)
วิธีดูแลตัวเองหลังทำหมันหญิง
- ดูแลแผลผ่าตัดอย่างเคร่งครัด ห้ามให้แผลโดนน้ำเด็ดขาดในช่วงแรก รักษาความสะอาดและทำแผลตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- สังเกตอาการของแผลผ่าตัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ แผลบวมแดง ปวดมากผิดปกติ หรือมีน้ำหนอง ควรติดต่อแพทย์ทันที
- งดทำกิจกรรมหนักและพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ออกกำลังกายหนัก หรือเคลื่อนไหวมากเกินไป และควรป้องกันไม่ให้ท้องผูกเพื่อลดแรงดันบริเวณหน้าท้อง
- งดการมีเพศสัมพันธ์ตามระยะเวลาที่เหมาะสม ทำหมันเปียก (หลังคลอด) ควรงดประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือจนกว่าน้ำคาวปลาจะหมด และแพทย์อนุญาต ทำหมันแห้ง (ส่องกล้อง) ควรงดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายดี
- รับประทานยาและไปพบแพทย์ตามนัด ควรทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และมาพบแพทย์ตามกำหนดเพื่อติดตามการฟื้นตัวของแผลทำหมันผู้หญิงและประเมินความพร้อมของร่างกาย
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2010%20(%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87)_Article4.jpg)
การทำหมันหญิงมีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง
การทำหมันหญิงเป็นวิธีคุมกำเนิดถาวรสำหรับผู้ที่มั่นใจแล้วว่าจะไม่ต้องการมีบุตรเพิ่มเติม และการทำหมันเป็นการผ่าตัดที่ต้องพิจารณาทั้งข้อดีและข้อจำกัดเพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ โดยการทำหมันหญิงข้อดี ข้อเสียมีดังนี้
ข้อดีการทำหมันหญิง
- คุมกำเนิดได้ถาวร เป็นวิธีที่ให้ผลต่อเนื่อง ไม่ต้องพึ่งพาวิธีคุมกำเนิดชั่วคราว เช่น ยาคุมหรือถุงยาง ทำให้ลดโอกาสตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจได้อย่างมาก
- ไม่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน ไม่เกี่ยวกับระบบฮอร์โมนของร่างกาย จึงไม่มีผลต่อรอบเดือน อารมณ์ หรือสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย
- ไม่มีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ ไม่กระทบความรู้สึกทางเพศ ความใกล้ชิด หรือความสุขทางเพศ
- ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่บางชนิด ในกรณีที่เป็นการตัดท่อนำไข่ออกทั้งหมด (Salpingectomy) ซึ่งมีรายงานว่าช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ได้ในบางกลุ่มผู้หญิง
ข้อเสียการทำหมันหญิง
- เป็นการคุมกำเนิดถาวร การกลับคืนการมีบุตรทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง
- เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ต้องผ่าตัด มีความเสี่ยงจากการดมยา การติดเชื้อ การมีเลือดออก หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ แม้โอกาสเกิดจะไม่สูงก็ตาม
- อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ปวดหน่วงบริเวณแผล หรือพังผืดในช่องท้องในบางราย ซึ่งต้องได้รับการติดตามและรักษาเพิ่มเติม
- ต้องมีการวางแผนและปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า เพื่อประเมินความเหมาะสมด้านสุขภาพ ความพร้อมด้านจิตใจ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด
ข้อควรรู้ก่อนทำหมันหญิง
ก่อนตัดสินใจทำหมันหญิงควรทำความเข้าใจข้อมูลสำคัญต่างๆ อย่างละเอียด ทั้งด้านขั้นตอน ข้อจำกัด และผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมกับสภาวะของตนเองที่สุด
- ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำหมันหญิง การทำหมันคือวิธีคุมกำเนิดแบบถาวรที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ง่าย ดังนั้นควรตัดสินใจอย่างรอบคอบ
- มีหลายรูปแบบการทำหมันหญิง เช่น การทำหมันหลังคลอด (หมันเปียก) การทำหมันเมื่อไม่ตั้งครรภ์ (หมันแห้ง) การผ่าตัดส่องกล้อง หรือการตัดท่อนำไข่ออกทั้งหมด
- มีขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนและดูแลตัวเองหลังทำหมัน เช่น ตรวจสุขภาพ งดยาบางชนิด งดอาหารก่อนผ่าตัด รวมถึงการดูแลหลังทำ เช่น ดูแลแผล งดกิจกรรมหนัก และมาตรวจติดตามกับแพทย์ตามนัด
- ผลข้างเคียงและการฟื้นตัว อาจมีอาการเจ็บแผล บวมเล็กน้อย หรืออ่อนเพลียหลังผ่าตัด ซึ่งมักดีขึ้นภายในไม่กี่วัน ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ แผลบวมแดง หรือมีเลือดออก
- ไม่ส่งผลต่อฮอร์โมนหรือประจำเดือน การทำหมันไม่กระทบต่อรอบเดือน ฮอร์โมนเพศ หรือความรู้สึกทางเพศ จึงยังดำเนินชีวิตตามปกติได้
/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2010%20(%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87)_Article5.jpg)
ทำหมันหญิง ที่โรงพยาบาลวิภาวดี
การทำหมันหญิงเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญจากสูตินรีแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ปลอดภัย สะดวกสบาย และมีมาตรฐานสูง โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการทำหมันหญิงทั้งแบบหลังคลอดและแบบไม่ตั้งครรภ์ พร้อมระบบตรวจประเมินก่อนผ่าตัดและการดูแลหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ผู้ป่วยมั่นใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การผ่าตัด ไปจนถึงการฟื้นตัว
ด้วยโปรแกรมผ่าตัดเหมาจ่ายทางนรีเวช ซึ่งครอบคลุมการรักษาและหัตถการทางนรีเวชหลายประเภท ผ่าตัดมดลูก ผ่าตัดซีสต์รังไข่ และเนื้องอก โดยได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทาง พร้อมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรอง ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สรุป
การทำหมันหญิงเป็นวิธีคุมกำเนิดถาวรที่ช่วยให้ผู้หญิงตัดความกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ได้อย่างมั่นใจ เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนครอบครัวเรียบร้อยแล้วและต้องการวิธีที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และไม่กระทบฮอร์โมน การทำหมันสามารถทำได้ทั้งหลังคลอดและช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โดยแพทย์จะช่วยประเมินวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน หลังการผ่าตัดเพียงดูแลแผลและพักฟื้นตามคำแนะนำร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงตามปกติได้ไม่ยาก
หากยังไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งมีแพทย์และโปรแกรมผ่าตัดนรีเวชแบบเหมาจ่ายรองรับอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจในทุกขั้นตอน
FAQ
หลังการทำหมันหญิงแล้วถือว่าเป็นการคุมกำเนิดถาวร การตั้งครรภ์ตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้ยากมาก แม้จะสามารถทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรือเทคนิคช่วยเจริญพันธุ์อื่นๆ ได้ในบางกรณี แต่โอกาสสำเร็จขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและวิธีที่ทำหมันไว้ ดังนั้นควรตัดสินใจให้มั่นใจก่อนทำ
ระยะเวลาการเจ็บแผลขึ้นอยู่กับวิธีทำหมัน หากทำส่องกล้อง แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว ใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน ส่วนการผ่าตัดเปิดแผลเล็ก ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-7 วันหรือมากกว่าเล็กน้อย แนะนำพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก และทำตามคำแนะนำแพทย์เพื่อให้แผลหายเร็ว
การทำหมันหญิงมักทำภายใต้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่ จึงลดความเจ็บปวดระหว่างทำได้มาก หลังทำอาจมีอาการปวดเล็กน้อยหรือตึงแผลบ้าง ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด การทำหมันถือเป็นหัตถการปลอดภัย มีอัตราภาวะแทรกซ้อนต่ำ โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำหลังผ่าตัด
ช่วงเวลาที่เหมาะคือหลังประจำเดือนหมด และไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดทันที ซึ่งหลังคลอดทำได้ทั้งทางช่องคลอดหรือร่วมกับการผ่าคลอด การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะช่วยลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนและทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น