อาการอาหารเป็นพิษ รู้ทันสัญญาณอันตราย รับมือได้ ไม่ต้องทนทรม
- อาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส สารพิษจากจุลินทรีย์ หรือสารเคมี เช่น ฟอร์มาลินหรือสารกำจัดศัตรูพืช
- อาการอาหารเป็นพิษที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย อ่อนเพลีย และอาจมีไข้ร่วมด้วย
- หากมีอาการอาหารเป็นพิษควรดื่มน้ำเกลือแร่ รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม กล้วยน้ำว้า และหลีกเลี่ยงของมันหรือรสจัด
- การรักษาอาหารเป็นพิษเบื้องต้น ควรจิบน้ำเกลือแร่บ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และทานอาหารอ่อนๆ เพื่อลดการทำงานของระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ควรเลือกทานอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ ไม่ค้างคืน เพื่อป้องกันเชื้อโรคหรือสารพิษที่เป็นอาจสาเหตุของอาหารเป็นพิษด้วย
เมื่อร่างกายได้รับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป อาการอาหารเป็นพิษก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่ทันตั้งตัว ซึ่งบางรายอาจเพียงคลื่นไส้ อาเจียน แต่บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นขาดน้ำหรือช็อกได้ ดังนั้น การรู้เท่าทันสาเหตุและสัญญาณเตือนของอาหารเป็นพิษจึงเป็นสิ่งสำคัญ
บทความนี้จึงจะพาทุกคนไปเจาะลึกต้นตอของปัญหา วิธีสังเกตอาการ แนวทางการรักษา รวมถึงอาหารฟื้นฟูร่างกายว่าควรกินอะไร เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้โดยไม่ต้องทนทุกข์กับอาการเหล่านี้นานเกินไป ถ้าพร้อมแล้วอย่ารอช้า ตามไปดูกันได้เลย!
%20-%20Reop/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Mar%2010%20(%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9)%20-%20Reop%20(2).jpg)
สาเหตุของอาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยแต่ละปัจจัยล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่ม ดังนี้
การปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาหารเป็นพิษคือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งมักพบในอาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกหรือถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยเชื้อที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- Salmonella เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบชนิดหนึ่ง มักพบในไข่ดิบ เนื้อสัตว์ดิบ หรืออาหารทะเลที่ไม่สด
- Escherichia Coli เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มักพบในอาหารที่ไม่สะอาด เช่น เนื้อวัวบดที่ปรุงไม่สุก ผักสดที่ล้างไม่สะอาด น้ำแข็งหรือน้ำดื่มที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารมีการปนเปื้อนของอุจจาระ
- Norovirus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารเฉียบพลัน สามารถแพร่กระจายผ่านอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อน และมักระบาดในแหล่งชุมชนหรือร้านอาหารเป็นส่วนใหญ่
- Clostridium Botulinum เป็นแบคทีเรียที่สามารถสร้างสปอร์และสารพิษที่รุนแรงมาก มักเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจน เช่น อาหารกระป๋องที่ปิดผนึกไม่ดี อาหารหมักดองบางประเภท รวมถึงอาหารที่เก็บไว้นานโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
สารพิษจากจุลินทรีย์
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของอาหารเป็นพิษคือสารพิษที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ ซึ่งเกิดได้จากแบคทีเรียบางชนิดที่เจริญเติบโตในอาหาร โดยจุลินทรีย์ที่ผลิตสารพิษและก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ มีดังนี้
- Staphylococcus Aureus พบในอาหารที่สัมผัสโดยตรงจากมือคน เช่น ข้าวกล่อง เบเกอรี่ หรือแซนด์วิช เชื้อนี้สามารถผลิตสารพิษที่ทนต่อความร้อนสูงได้และออกฤทธิ์ค่อนข้างรวดเร็วภายใน 1- 6 ชั่วโมงหลังรับประทาน
- Bacillus Cereus เป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในดินและสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว พาสต้า หรืออาหารทอด ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้สามารถสร้างสารพิษได้ 2 ชนิด คือ Emetic Toxin ทำให้คลื่นไส้อาเจียน และ Diarrheal Toxin ที่ทำให้ท้องเสีย
- Clostridium Perfringens เป็นแบคทีเรียที่มักพบในอาหารที่ถูกปรุงไว้ล่วงหน้าแล้วเก็บในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารประเภทแกง สตูว์ หรือเนื้อสัตว์ปรุงสุกจำนวนมาก โดยเมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเจริญเติบโตในลำไส้ใหญ่และปล่อยสารพิษออกมาใน 6 - 24 ชั่วโมง
อาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน
อาหารบางชนิดอาจปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตราย และเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปรบกวนระบบการทำงานของอวัยวะภายใน และอาจก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ หรืออาจเกิดพิษสะสมในร่างกายจนส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น
- สารฟอร์มาลิน (Formalin) มักพบในอาหารทะเล เห็ด และผักบางชนิด เมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร และหากได้รับเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อตับ ไต และทางเดินหายใจ รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้
- สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง เป็นสารเคมีที่ยังหลงเหลืออยู่บนผลผลิตทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืช อาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษเฉียบพลันและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิดได้เช่นกัน
- โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท หรือแคดเมียม มักพบในอาหารทะเล ปลาใหญ่ ข้าว ผัก หรือธัญพืชที่ปลูกในดินหรือแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก ซึ่งเมื่อสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในระยะยาวได้
%20-%20Reop/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Mar%2010%20(%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9)%20-%20Reop%20(3).jpg)
สังเกตอาการอาหารเป็นพิษ
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนจากอาหารเข้าไป ระบบทางเดินอาหารจะตอบสนองด้วยอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 1 - 48 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร (ขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดเชื้อไวรัส) โดยสามารถสังเกตได้จากอาการ ดังต่อไปนี้
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดท้องหรือบิดเกร็งบริเวณช่องท้อง
- ท้องเสีย อุจจาระเหลว หรือมีมูกเลือด
- เบื่ออาหาร
- มีไข้ หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ปากแห้ง กระหายน้ำ (อาจบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำ)
หากมีอาการอาหารเป็นพิษควรกินอะไร?
เมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมากจากการอาเจียนและท้องเสีย การเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะสมว่าควรกินอะไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยบรรเทาอาการ ลดการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร และฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น โดยอาการที่ควรรับประทานในช่วงมีอาการอาหารเป็นพิษ ได้แก่
- น้ำเกลือแร่หรือน้ำต้มสุกผสมน้ำตาลเล็กน้อย เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป ลดความเสี่ยงของภาวะขาดน้ำ
- ข้าวต้ม โจ๊ก หรืออาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มปลา ข้าวต้มหมู ไม่ใส่เครื่องเทศหรือไขมันมาก จะช่วยให้กระเพาะไม่ทำงานหนักเกินไป
- กล้วยน้ำว้า มันฝรั่งต้ม หรือแคร์รอตต้ม เพราะมีใยอาหารชนิดละลายน้ำ จะช่วยดูดซับน้ำส่วนเกินในลำไส้และบรรเทาอาการท้องเสียได้
- น้ำขิงอุ่น ช่วยลดอาการคลื่นไส้และบรรเทาอาการจุกเสียด
- น้ำเปล่าหรือน้ำมะพร้าว ช่วยเพิ่มความสดชื่นและช่วยคืนสมดุลให้กับร่างกายอย่างอ่อนโยน
อาหารที่ควรเลี่ยง หากมีอาการอาหารเป็นพิษ
ในช่วงที่ร่างกายกำลังเผชิญกับอาการอาหารเป็นพิษ ระบบทางเดินอาหารจะอยู่ในภาวะอ่อนแอและไวต่อการกระตุ้นมาก จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดังต่อไปนี้
- อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด หรือเปรี้ยวจัด เพราะอาจกระตุ้นให้เยื่อบุลำไส้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น ทำให้อาการปวดท้องและท้องเสียแย่ลงได้
- อาหารมันและทอด เช่น ของทอด น้ำมันเยิ้ม เนื้อสัตว์ติดมัน เพราะเป็นอาหารที่ย่อยยากและเพิ่มภาระให้กระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้มากขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าถามว่าอาหารเป็นพิษแล้วมีอาการพะอืดพะอมแก้ยังไง ก็ต้องแก้ด้วยการงดทานอาหารเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก
- ผลิตภัณฑ์นม เช่น นมสด ชีส หรือโยเกิร์ต เพราะอาจทำให้ท้องเสียรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่ร่างกายสูญเสียเอนไซม์แลคเตสจากภาวะท้องเสีย
- อาหารหมักดองและอาหารกระป๋อง เพราะมีโซเดียมสูงและอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์หากเก็บรักษาไม่ดี
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม หรือแอลกอฮอล์ เพราะมีฤทธิ์ขับน้ำ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นได้
การตรวจวินิจฉัยอาการอาหารเป็นพิษ
หากมีอาการที่เข้าข่ายอาหารเป็นพิษและเข้ารับการตรวจที่สถานพยาบาล การวินิจฉัยเบื้องต้นมักประกอบไปด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาหารที่บริโภคในช่วง 24 - 48 ชั่วโมงก่อนเริ่มมีอาการ เพื่อตรวจสอบว่าเข้าข่ายการติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือสารเคมี
- การตรวจอุจจาระ ใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน โดยจะส่งตรวจหาเชื้อโรค เช่น Salmonella, E. coli หรือ Norovirus
- การตรวจเลือด (ในบางกรณี) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจเลือดเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเพื่อดูค่าการทำงานของอวัยวะภายใน ไม่ว่าจะไตหรือตับ
%20-%20Reop/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Mar%2010%20(%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9)%20-%20Reop%20(4).jpg)
การรักษาอาการอาหารเป็นพิษ
โรคอาหารเป็นพิษ การรักษาอาการจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร โดยทั่วไป หากอาการไม่รุนแรงมากจะสามารถหายเองได้ใน 1 - 3 วัน แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการรักษาในทันที ซึ่งอาจมีแนวทางการรักษา ดังนี้
- การดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เพื่อทดแทนของเหลวและแร่ธาตุที่สูญเสียจากอาเจียนและท้องเสีย ช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
- การพักผ่อนและรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม กล้วยต้ม หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรืออาหารที่มีไขมันสูง เพื่อลดภาระของระบบย่อยอาหาร
- การใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ (เช่น พาราเซตามอล) ยาแก้คลื่นไส้ หรือยาลดการบีบตัวของลำไส้ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้ตามความเหมาะสม
- การใช้ยาปฏิชีวนะ (ในบางกรณีเท่านั้น) หากพบว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรง เช่น Salmonella หรือ Shigella แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงหรือดื้อยาได้
- การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในกรณีที่อาการรุนแรง เช่น ท้องเสียรุนแรงติดต่อกันหลายวัน อาเจียนตลอดเวลา หรือมีภาวะขาดน้ำขั้นรุนแรง อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดและดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
การป้องกันอาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษสามารถเกิดขึ้นได้จากความไม่ระมัดระวังในการเลือกซื้อ การเตรียม และการเก็บรักษาอาหาร การป้องกันที่ต้นเหตุจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง โดยมีแนวทางในการป้องกันอาหารเป็นพิษ ดังนี้
- เลือกซื้อวัตถุดิบสดใหม่จากแหล่งที่เชื่อถือได้
- ล้างวัตถุดิบให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร โดยเฉพาะผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์
- ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง โดยใช้ความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ปลาดิบหรือไข่ดิบ
- ล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงและรับประทานอาหาร
- ใช้ภาชนะและอุปกรณ์ประกอบอาหารที่สะอาด ไม่ใช้ร่วมกันระหว่างของดิบและของสุก
- เก็บอาหารในตู้เย็นหากยังไม่บริโภคทันที และหลีกเลี่ยงการวางอาหารไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 2 ชั่วโมง
- สังเกตวันหมดอายุของอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารแปรรูปก่อนบริโภค
- หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารจากแหล่งที่ไม่สะอาดหรือไม่มีการควบคุมสุขอนามัย
%20-%20Reop/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Mar%2010%20(%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9)%20-%20Reop%20(5).jpg)
อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที?
แม้อาการอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่จะหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการรุนแรงต่อเนื่อง ควรรีบเข้าพบแพทย์ในทันที โดยเฉพาะหากมีอาการดังต่อไปนี้
- ถ่ายเหลวติดต่อกันเกิน 2 วัน หรือมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งตลอดทั้งวัน
- มีอุจจาระปนเลือดหรือเป็นสีดำ
- อาเจียนอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถดื่มน้ำหรือกินอาหารได้
- มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียสร่วมกับอาการอื่น
- ปวดท้องรุนแรงหรือปวดบิดไม่หยุด
- มีอาการขาดน้ำชัดเจน เช่น ปากแห้งมาก ปัสสาวะน้อย วิงเวียน หน้ามืด
- มีอาการซึม ไม่ตอบสนอง หรือหมดสติ
- อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หรือมีแนวโน้มแย่ลง
หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นแล้วไม่เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ความดันโลหิตต่ำ ช็อก ไตวายเฉียบพลัน และหากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้มากขึ้น
การรักษาอาหารเป็นพิษที่โรงพยาบาลวิภาวดี
โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการอาหารเป็นพิษอย่างครบวงจร โดยมีบริการตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และรักษาอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด ทั้งยังมีโปรโมชันเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย มาดูกันว่ารักษาที่นี่ดียังไงบ้าง
- โรงพยาบาลวิภาวดีได้มาตรฐานระดับสากล ISO 9001 : 2008 และ Hospital Accreditation (HA)
- มีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินอาหาร พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง แม่นยำ และตรงจุดมากที่สุด
- มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน ช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาโรคทำได้อย่างแม่นยำ
- กรณีฉุกเฉินหรือผู้ที่มีอาการอาหารเป็นพิษเฉียบพลัน โรงพยาบาลมีบริการเร่งด่วน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านประกันสุขภาพจากหลายบริษัท
- ห้องพักผู้ป่วยสะอาด เงียบสงบ เหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายระหว่างพักรักษา
หากมีอาการอาหารเป็นพิษ สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ที่อยู่ 51/3 ถ.งามวงศ์วาน จตุจักร กรงเทพฯ หรือโทรเพื่อนัดหมายก่อนเข้ารับการรักษาได้ที่เบอร์ 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 และสำหรับตัวแทนประกันชีวิต สามารถติดต่อผ่าน LINE: @vibhainsurance
สรุป
อาหารเป็นพิษเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส สารพิษจากจุลินทรีย์ หรือสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร มีอาการสำคัญคือคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดท้อง การดูแลเบื้องต้นควรเน้นการชดเชยน้ำและเกลือแร่ รับประทานอาหารอ่อน และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรือย่อยยาก โดยหากอาการไม่รุนแรงมากจะสามารถหายเองได้ใน 1 - 3 วัน
แต่หากถ่ายเป็นเลือด ปวดบิด หรืออาเจียนต่อเนื่อง และไม่ดีขึ้นภายใน 1 - 3 วัน ควรพบแพทย์โดยเร็วเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งที่โรงพยาบาลวิภาวดี มีทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา และให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย ทันเวลา และมีประสิทธิภาพสูงสุดจนหายเป็นปกติ
FAQ
หลายคนอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระยะเวลาในการฟื้นตัว การใช้ยา การดูแลเบื้องต้น รวมถึงช่วงเวลาที่อาการจะเริ่มแสดงออก เราจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำอธิบายให้หายสงสัย เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับโรคอาหารเป็นพิษได้มากยิ่งขึ้น
อาหารเป็นพิษใช้เวลาหายกี่วัน?
อาหารเป็นพิษกี่วันหาย? เชื่อว่าเป็นคำถามที่หลายคนต้องการหาคำตอบ โดยทั่วไปแล้ว อาหารเป็นพิษจะดีขึ้นภายใน 1 - 3 วัน หากเป็นกรณีไม่รุนแรง และร่างกายได้รับการพักผ่อนเพียงพอ ร่วมกับการดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยของเหลวที่สูญเสีย แต่หากอาการยังคงต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรง เช่น อาเจียนมาก ถ่ายเป็นเลือด ควรรีบพบแพทย์ทันที
อาหารเป็นพิษควรทานยาอะไร?
ในกรณีที่มีอาการอาหารเป็นพิษเล็กน้อย สามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยการใช้ยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้ทั่วไป โดยเน้นยาที่ช่วยลดอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ยาพาราเซตามอล สำหรับลดไข้หากมีอาการไข้ร่วมด้วย
- เกลือแร่ (ORS) เพื่อชดเชยน้ำและแร่ธาตุที่สูญเสียจากการอาเจียนและท้องเสีย
- ยาแก้อาเจียนหรือยาแก้ปวดเกร็งท้อง ซึ่งควรใช้ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์
- ยาคาร์บอนหรือถ่านกัมมันต์ (Activated Charcoal) ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ และภาวะอาหารเป็นพิษได้ในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ หากไม่มั่นใจว่าอาการอาหารเป็นพิษที่กำลังเผชิญควรกินยาอะไร แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยาที่มีใบอนุญาต เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เหมาะสมกับอาการและป้องกันการใช้ยาผิดประเภทหรือเกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
อาหารเป็นพิษ หายเองได้ไหม?
อาหารเป็นพิษสามารถหายเองได้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง โดยส่วนใหญ่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองภายใน 1 - 3 วัน ร่วมกับการพักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารอ่อน อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์ทันที
อาหารเป็นพิษ เกิดขึ้นภายในกี่ชั่วโมง?
อาการอาหารเป็นพิษสามารถแสดงออกได้ภายใน 1 - 48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อหรือสารปนเปื้อนที่ได้รับเข้าไป
- ถ้าเกิดจากสารพิษของจุลินทรีย์ เช่น Staphylococcus Aureus อาการจะเริ่มเร็วภายใน 1 - 6 ชั่วโมง
- ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสทั่วไป เช่น Salmonella หรือ Norovirus อาการมักแสดงภายใน 6 - 48 ชั่วโมง