อาการปวดหัวเป็นภาวะที่หลายคนเคยเผชิญและอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อาการปวดหัวบางประเภทอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ เช่น ภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติ หรือเนื้องอกในสมอง หากละเลยหรือวินิจฉัยไม่ทัน อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าอาการปวดหัวมีลักษณะแบบไหนที่เข้าข่ายอันตราย พร้อมแนวทางการดูแลและรักษาอาการปวดเบ้าตา ปวดหัว พร้อมวิธีแก้อย่างตรงจุด เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพในระยะยาว
อาการปวดหัว (Headache) คือภาวะที่มีความรู้สึกเจ็บ ปวด หรือไม่สบายบริเวณศีรษะ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด ความผิดปกติของหลอดเลือด หรือแม้แต่ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยลักษณะของอาการปวดหัวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางรายอาจรู้สึกปวดตื้อๆ หนักศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ในขณะที่บางคนอาจปวดแบบตุบๆ คล้ายชีพจร ปวดหัว ปวดเบ้าตา ปวดขมับ หรือปวดร้าวไปถึงดวงตาและต้นคอ
ความรุนแรงของอาการปวดหัวก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยที่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไปจนถึงระดับรุนแรงที่ส่งผลต่อการทำงานและคุณภาพชีวิต อีกทั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือไวต่อแสงและเสียง ซึ่งในบางกรณีอาการปวดหัวอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่ และควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์อย่างถูกต้อง
สาเหตุของอาการปวดหัวตรงกลางหัว หรือบริเวณอื่นๆ เกิดจากหลายปัจจัย โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ปวดหัวจากตัวโรคเอง และปวดหัวจากโรคอื่นเป็นสาเหตุ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
อาการปวดหัวจากตัวโรคเอง เป็นอาการปวดหัวที่ไม่ได้เกิดจากโรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ แต่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
อาการปวดหัวจากโรคอื่นเป็นสาเหตุ เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากโรคหรือภาวะทางสุขภาพอื่นๆ เช่น
แม้อาการปวดหัวจะดูเหมือนเป็นอาการทั่วไปที่หลายคนคุ้นเคย แต่ความจริงแล้วอาการนี้แบ่งเป็นหลายประเภทตามสาเหตุและลักษณะของอาการ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีวิธีรักษาและแนวทางการดูแลต่างกัน ดังนี้
อาการปวดศีรษะในกลุ่มนี้มักไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว โดยช่วงที่ไม่มีอาการจะรู้สึกปกติ ตัวอย่างของอาการปวดหัวในกลุ่มนี้ ได้แก่
อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงตัวเป็นอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากความเครียด การทำงานหนัก หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ลักษณะอาการคือปวดมึนศีรษะเหมือนมีอะไรมารัดรอบศีรษะ ปวดหัวตรงกลางหัว หรือบางครั้งอาจร้าวลงต้นคอ บ่า หรือสะบัก อาการปวดมักเริ่มในช่วงบ่ายหรือเย็น และสามารถคงอยู่ตั้งแต่ 30 นาทีจนถึงหลายวัน
ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อยในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคน ลักษณะการปวดมักเกิดที่ขมับข้างใดข้างหนึ่ง ร้าวไปกระบอกตาหรือท้ายทอยได้ อาการปวดเป็นแบบตุบๆ ตามจังหวะชีพจร ปวดหัวเหมือนโดนบีบขมับ และมักรุนแรงขึ้นหลังทำกิจวัตรประจำวัน อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ไม่ชอบแสงจ้าหรือเสียงดัง ระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้งประมาณ 4 ชั่วโมงถึง 3 วัน
ปวดหัวคลัสเตอร์พบได้บ่อยในช่วงอายุ 20 - 50 ปี ลักษณะคือปวดศีรษะข้างเดียวบริเวณรอบหรือหลังเบ้าตา ร้าวไปขมับ เหมือนมีอะไรแหลมๆ แทงเข้าตา อาการปวดรุนแรงจนรู้สึกกระสับกระส่าย ระยะเวลาการปวดแต่ละครั้งอยู่ระหว่าง 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ในหนึ่งวันอาจเกิดขึ้นหลายครั้ง และมักปวดในเวลาเดิมของทุกวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ถึงเดือน อาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ตาบวม ตาแดง น้ำตาไหลข้างเดียวกับที่ปวด เป็นต้น
ปวดศีรษะต่อเนื่องทุกวันเป็นอาการปวดหัวชนิดเรื้อรังที่พบได้น้อย เกิดขึ้นเองและยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาการปวดมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน รุนแรง และคงอยู่เป็นประจำทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน อาจมีอาการปวดตุบๆ คลื่นไส้ อาเจียน หรือตาสู้แสงไม่ได้ร่วมด้วย
อาการปวดหัวในกลุ่มนี้เกิดจากโรคหรือความผิดปกติที่มีอยู่ในสมอง ศีรษะ หรือคอ เช่น เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือหลอดเลือดสมองโป่งพอง หากมีอาการเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะด้าน
ปวดหัวไซนัสเกิดจากการอักเสบของโพรงไซนัส ทำให้เกิดอาการปวดหน่วงๆ บริเวณหน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม หรือรอบๆ ดวงตา อาการปวดมักรุนแรงขึ้นในช่วงเช้า หรือเมื่อก้มศีรษะและเปลี่ยนท่า นอกจากนี้อาจมีอาการน้ำมูกข้นสีเขียวหรือสีเหลือง คัดจมูก หายใจมีกลิ่นเหม็น ปวดหู หูอื้อ เจ็บคอ มีไข้ และอ่อนเพลียร่วมด้วย
ปวดหัวแบบสายฟ้าฟาดเป็นอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง หรืออาจมีอาการปวดหัวเหมือนโดนบีบขมับ ซึ่งอาจจะรุนแรงถึงขีดสุดภายในไม่กี่วินาทีหรือไม่เกิน 1 นาที และอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
อาการประเภทนี้มักเป็นสัญญาณของภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองแตก (Subarachnoid Hemorrhage) หรือเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยทันที เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
หากอาการปวดหัวมีลักษณะผิดปกติ หรือเกิดร่วมกับอาการอื่นที่อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติในร่างกาย ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและทันท่วงที โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการดังนี้
อาการปวดหัวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแพทย์จะประเมินอย่างรอบด้าน ทั้งประวัติอาการ ลักษณะการปวด และการตรวจร่างกาย ร่วมกับการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
การรักษาอาการปวดหัวขึ้นอยู่กับสาเหตุและประเภทของอาการ หากทราบแน่ชัดว่าอาการปวดหัว ปวดเบ้าตา ปวดขมับเกิดจากสาเหตุใด ก็จะช่วยให้เลือกแนวทางการรักษาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีแนวทางการรักษาอาการปวดหัวที่พบบ่อย ซึ่งแบ่งตามกลุ่มอาการหลัก ดังนี้
อาการปวดหัวในกลุ่ม Primary Headache เช่น ปวดหัวไมเกรน ปวดจากกล้ามเนื้อตึงตัว หรือคลัสเตอร์ ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคอันตราย แต่หากปล่อยไว้อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ การรักษาจึงเน้นที่การบรรเทาอาการควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นและการปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำบ่อยๆ โดยแนวทางการรักษาปวดหัวตื้อๆ หนักๆ วิธีแก้ที่ใช้บ่อย ได้แก่
อาการปวดหัวในกลุ่ม Secondary Headache มีสาเหตุจากโรคหรือภาวะผิดปกติที่ซ่อนอยู่ เช่น การติดเชื้อ เนื้องอก หรือความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง การรักษาในกลุ่มนี้จึงไม่ใช่การบรรเทาอาการปวดหัว แต่ต้องเน้นการรักษาสาเหตุที่แท้จริงให้ตรงจุด โดยแนวทางการรักษาที่ใช้ ได้แก่
การป้องกันอาการปวดเบ้าตา ปวดหัว มีวิธีแก้ที่เริ่มได้จากการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันและใส่ใจสุขภาพโดยรวม ดังนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการปวดศีรษะโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมอง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมองที่มีประสบการณ์สูง พร้อมดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากใครที่มีอาการปวดหัว ปวดเบ้าตา ปวดขมับ สามารถนัดหมายเข้ารับบริการได้ผ่านเว็บไซต์ www.vibhavadi.com หรือโทรติดต่อแผนกนัดหมายที่เบอร์ 02-561-1111
โดยมีแพ็กเกจตรวจสุขภาพและโปรแกรมรักษาที่หลากหลาย ซึ่งค่าใช้จ่ายและสิทธิการรักษาจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละราย แนะนำให้สอบถามรายละเอียดโดยตรงกับทางโรงพยาบาลเพื่อความชัดเจน
อาการปวดหัวเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและมีหลายประเภท ทั้งที่เกิดจากความเครียด กล้ามเนื้อตึง หรือโรคที่ซ่อนอยู่ เช่น ไมเกรน คลัสเตอร์ หรือภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติ การสังเกตลักษณะอาการที่ผิดปกติและเข้ารับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาแต่ละประเภทจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ โดยอาการปวดหัวตื้อๆ หนักๆ วิธีแก้สามารถป้องกันเบื้องต้นได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพโดยรวม
หากมีอาการปวดหัวบ่อยหรือรุนแรง โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมองด้วยเครื่องมือทันสมัย
อาการปวดหัวเป็นอาการที่หลายคนเคยประสบ แต่ลักษณะและความรุนแรงของอาการในแต่ละคนอาจแตกต่างกัน เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดหัว พร้อมคำตอบและคำอธิบายที่เข้าใจง่าย เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นในการดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างถูกวิธีมาให้แล้ว
อาการปวดศีรษะที่ควรระวังและอาจบ่งบอกถึงภาวะอันตราย ได้แก่ อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที อาการที่เกิดร่วมกับความผิดปกติทางระบบประสาท ทั้งอาการแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือหมดสติ และอาการปวดที่แย่ลงเรื่อยๆ หรือแตกต่างจากที่เคยเป็น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด
อาการปวดศีรษะที่อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงของเส้นเลือดในสมองแตก ได้แก่ ปวดหัวแบบรุนแรงฉับพลันเหมือนถูกฟ้าผ่า หรือมีอาการร่วม เช่น แขนขาอ่อนแรง ชา พูดไม่ชัด หรือมองเห็นภาพซ้อน อาจเป็นสัญญาณของเส้นเลือดในสมองแตก และควรรีบพบแพทย์ทันที
อาการปวดหัวที่รู้สึกเหมือนโดนบีบขมับเกิดจากความเครียดหรือกล้ามเนื้อตึงตัว รวมถึงการใช้สายตาอย่างหนัก เช่น การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อรอบศีรษะและดวงตาเกิดความตึงเครียด
การบรรเทาอาการปวดหัวตรงกลางตุบๆ สามารถทำได้โดยการพักผ่อนในที่เงียบและมืด ประคบเย็นหรืออุ่นบริเวณที่ปวด ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงจ้า เสียงดัง หรือกลิ่นแรง
อาการปวดหัวแบบจี๊ดๆ เป็นพักๆ อาจเกิดจากความเครียดหรือความวิตกกังวล เส้นประสาทไตรเจมินัลอักเสบ หรือความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง เช่น ไมเกรนหรือปวดหัวแบบคลัสเตอร์
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved