โรคกรดไหลย้อนเข้าหลอดคอ คืออะไร (Gastroesophageal Reflux Disease : GERD)
ภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารจะถูกหลั่งออกมาเพื่อการย่อยอาหาร กรดในกระเพาะนั้นไม่มีการไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหารส่วนบน แต่ในภาวะผิดปกติอาจไหลย้อนผ่านกล้ามเนื้อหูรูดส่วนบนของหลอดอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ และมีแผล (erosive esophagitis) หรือหลอดอาหารอักเสบโดยไม่เกิดแผล (non-erosive esophagitis)
นอกจากนี้กรดนี้อาจไหลย้อนผ่านหลอดอาหารเข้าสู่หลอดคอและกล่องเสียง (Laryngopharyngeal reflux : LPR) เกิดพยาธิสภาพต่าง ๆ เพราะเยื่อบุกล่องเสียง และหลอดคอบอบบางทนสภาวะกรดได้ไม่ดี รวมทั้งอาจก่อปัญหาด้านระบบการหายใจและปอด
ปัจจัยหรือพฤติกรรมบางอย่าง เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการไหลย้อนกลับ ของกรดหรือน้ำย่อยจากหลอดอาหารภาวะนี้เกิดได้ตลอดเวลา และไม่ว่ากำลังรับประทานอาหารหรือไม่ก็ตามพบอาการนี้ได้ตั้งแต่ทารกจนถึงผู้ใหญ่
สาเหตุ
- Hlatus Hernia (โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้น เข้าไปในกำบังลม หูรูด อาหารปิดไม่สนิท ทำให้กรดอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปทางหลอดอาหารได้)
- การดื่มสุรา สูบบุหรี่
- อ้วน
- ตั้งครรภ์ ทานยาบางชนิด เช่น แอสไพริน
- ทานอาหารรสเปรี้ยว เผ็ด
- ช็อกโกแลต กาแฟ รวมทั้งชนิดที่ไม่มีคาเฟอีนด้วย
- อาหารมัน ของทอด
- หอม กระเทียม
- มะเขือเทศ หรือซอสมะเขือเทศ
- Peppermint
อาการ
1. อาการทางเดินอาหาร
- อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (Heart Burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอและไหล่ได้
- รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ
- กลืนลำบาก ติดขัด คล้ายสะดุดสิ่งแปลกปลอมในคอ หรือกลืนแล้วเจ็บ
- เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า
- รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในลำคอหรือปาก
- มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดเวลา
- เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหาร หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
- รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ยอ่ย
2. อาการทางกล่องเสียงและปอด
- เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะในตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิม
- ไอเรื้อรัง
- ไอ หรือ รู้สึกลำลักในเวลากลางคืน
- กระแอมไอบ่อย
- อาการหอบหืดแย่ลง อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่(ถ้ามี) แย่ลง หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา
- แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก (non-cardiac chest pain) คล้ายโรคหัวใจ คล้ายมีก้อนจุก ๆ ที่คอ
- เป็นโรคปอดอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ
อาการที่กล่าวข้างต้น อาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นตลอดให้ปรึกษาแพทย์ หู คอ จมูก ซึ่งแพทย์จะตรวจทาง หู คอ จมูก เพื่อดูว่ามีความผิดปกติบริเวณกล่องเสียง และคอหรือไม่ เพื่อแนะนำการรักษาและปฏิบัติตัวต่อไป
การรักษา
ภาวะกรดไหลย้อนรักษาอย่างไรขึ้นอยู่กับอาการ และสุขภาพของแต่ละคน โดยทั่วไปหลักการรักษามี 3 ประการ
- ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และงดเว้นอาหารบางอย่างเพื่อลดภาวะกรดไหลย้อน
- การใช้ยาลดกรดที่ถูกต้อง มักจำเป็นต้องใช้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ร่วมกับปฏิบัติในข้อ 1.
- การผ่าตัดรัดหูรูดกระเพาะอาหาร จำทำให้รายที่เป็นรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อยา
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูง ทำให้กรดไหลย้อนได้มาก
- งดบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก
- ใส่เสื้อหลวม ๆ
- ไม่ควรนอนออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย
- งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง
- งดอาหารมัน ๆ ทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ เผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด
- รับประทานอาหารพออิ่ม ทานทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
- หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา
- นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง
2. การรักษาด้วยยา
- Antacids เป็นยาตัวแรกที่ใช้ สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่มาก
- ใช้ยา Proton Pump Inhibitor ซึ่งเป็นยาที่ลดกรดได้เป็นอย่างดี อาจจะใช้เวลารักษา 1-3 เดือน ยาที่นำยมใช้ ได้แก่ Omeprazole, Lansoprazole, Pantoprazole, Rabeprazole, และ Esomeprazole
- หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมาก หรือทำให้หูรูดหย่อน เช่น ยาแก้ปวด Aspirin NSAID VITAMIN C
หากให้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรจะต้องตรวจเพิ่มเติมดังนี้
3. การรักษาโดยการผ่าตัด
- จะผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
เทคนิคในการลดภาวะกรดไหลย้อน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการรักษา เพื่อให้อาการหายขาด และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค โดยปฏิบัติดังนี้
- กินอย่างถูกสุขลักษณะ - ไม่ปล่อยให้ท้องว่าง และอย่าให้แต่ละมื้อผ่านไปอย่างเร่งรีบ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการลุกเดินหลังมื้ออาหาร นั่งนิ่งๆ หลีกเลี่ยงการนอนราบทันที เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารย่อยช้า โดยเฉพาะมื้อเย็นและทิ้งเวลาให้ย่อยอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะหากอาหารไม่ย่อยแล้วนอน เป็นผลให้กระเพาะกับหลอดอาหารอยู่ในแนวราบเดียวกัน กรดในกระเพาะจะไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหารได้ หลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่ม ได้แก่ ชา กาแฟ น้ำอัดลม อาหารทอด อาหารรสจัด อาหารมัน ๆ ช็อคโกแลต ผักผลไม้บางชนิด เช่น ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว สะระแหน่ หอมหัวใหญ่ ถั่ว นม (ดื่มนมพร่องมันเนยได้)
- ควบคุมน้ำหนัก - ไขมันใต้ผิวหนังรอบหน้าท้องและไขมันในช่องท้องมีส่วนเพิ่มแรงดันในช่องท้องให้มากขึ้น จนบีบกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย ยิ่งน้ำหนักมากยิ่งมีโอกาสเลี่ยงสูง ดังนั้นควบคุมน้ำหนักให้มาตรฐาน และบริหารรอบเอวเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันสะสม
- งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ - ทั้งสารนิโคตินในบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบของและกระเพาะอาหาร
- อย่านอนราบหลังจากเพิ่มรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ โดยเฉพาะใน 3 ชั่วโมงแรก
- สวมใส่เสื้อผ้าให้สบาย - การใส่เสื้อผ้าคับมีผลให้เกิดแรงดันในช่องท้องมากขึ้นและดันให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นมาทางหลอดอาหาร ดังนั้นพยายามสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมเล็กน้อย ป้องกันอาหารแน่นท้องหลังมื้ออาหาร
- หมุนหัวเตียงให้สูง อย่างน้อย 6 นิ้ว
- ออกกำลังกายเป็นประจำ - การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว ระบบทางเดินอาหารจึงทำงานได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารทันที เพราะกระเพาะอาหารอาจย่อยไม่เป็นปกติ ควรเว้นระยะให้อาหารย่อยอย่างน้อย 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความเครียด ทำจิตใจให้สบาย แจ่มใส - ความเครียดอาจไม่ได้มีผลโดยตรงต่อโรคกรดไหลย้อน แต่ถ้ามีอาการอยู่แล้ว ความเครียดจะทำให้อาการกำเริบได้ง่ายขึ้น
ช่วงระยะเวลาของการรักษา
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องรักษาค่อนข้างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 6 อาทิตย์ ถึง 6 เดือน บางคนอาการจะหายไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจหยุดยาได้หลายเดือนหรือหลายปี ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนนิสัยหรือสภาพแวดล้อม พยาธิสภาพของแต่ละบุคคล และต้องทำความเข้าใจด้วยว่า
โรคนี้อาจหายขาดไปเลยหรืออาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก
โรคแทรกซ้อน
- หลอดอาหารที่อักเสบอาจจะทำให้เกิดแผล และมีเลือดออก หรือหลอดอาหารตีบ ทำให้กลืนอาหารลำบาก
- อาจจะทำให้โรคปอดแย่ลง เช่น โรคหอบหืดเป็นมากขึ้น ไอเรื้อรัง ปอดอักเสบ
แพทย์

พญ. ดวงพร โชคมงคลกิจ
อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร รพ.วิภาวดี