รับมือให้ทัน! วิธีแก้ท้องเสียถ่ายเป็นน้ำและการป้องกันที่ใครก

  • ท้องเสียคือภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำบ่อยครั้ง โดยมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน และอาจมีอาการร่วม เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ หรืออ่อนเพลีย บางรายอาจมีไข้สูงและมูกเลือดปนออกมาด้วย 
  • ท้องเสียเกิดได้จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต การแพ้อาหาร หรือโรคในลำไส้ รวมถึงการใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อระบบย่อยอาหารด้วยเช่นกัน 
  • วิธีแก้ท้องเสียง่ายๆ คือจิบเกลือแร่เพื่อป้องกันขาดน้ำ รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงของมัน อาหารที่มีไฟเบอร์สูง รวมถึงอาหารรสจัด อาจใช้ยาบรรเทาอาการได้บ้างในกรณีที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์ในทันที 
  • วิธีป้องกันอาการท้องเสีย ควรล้างมือก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ เลือกกินอาหารปรุงสุก สดใหม่ และหลีกเลี่ยงแหล่งอาหารที่ไม่สะอาด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค

อาการท้องเสียถ่ายเป็นน้ำเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ค่อนข้างบ่อย ไม่ว่าจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ การติดเชื้อ หรือพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม 

บทความนี้จึงจะพาไปเจาะลึกสาเหตุและอาการท้องเสียถ่ายเป็นน้ำ พร้อมแนะนำวิธีแก้ท้องเสียเร่งด่วนในเบื้องต้นว่าเมื่อท้องเสียควรดูแลตัวเองอย่างไร กินอาหารประเภทไหน หรือยาอะไรถึงจะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง และหากอาการไม่ทุเลาควรทำอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ!

อาการแบบไหนถึงจะเรียกว่าท้องเสีย?

อาการแบบไหนถึงจะเรียกว่าท้องเสีย?

อาการท้องเสีย (Diarrhea) คือภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำบ่อยกว่าปกติ โดยทั่วไปลักษณะของอาการถ่ายที่เข้าข่ายว่าเป็นท้องเสีย มีดังนี้ 

  • ถ่ายอุจจาระเหลว ไม่จับตัวเป็นก้อน หรือเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งใน 1 วัน
  • บางรายอาจมีอาการร่วม เช่น ปวดบิดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีไข้
  • อาจพบมูก เลือด หรือกลิ่นผิดปกติในอุจจาระร่วมด้วย 

อาการท้องเสียมีกี่ประเภท?

อาการท้องเสียสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามระยะเวลาและลักษณะของอาการ ซึ่งแต่ละประเภทมีความรุนแรงและแนวทางการดูแลที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ท้องเสียแบบเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) เป็นภาวะที่ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำอย่างฉับพลัน โดยอาการจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น 1 - 3 วันและหายเองได้ มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรืออาหารเป็นพิษ โดยอาการที่พบได้แก่ ถ่ายบ่อย อ่อนเพลีย และอาจมีไข้ร่วมด้วย
  2. ท้องเสียแบบต่อเนื่อง (Persistent Diarrhea) เป็นอาการท้องเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเกิน 14 วัน แต่น้อยกว่า 30 วัน มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อที่ไม่หายขาด การใช้ยาบางชนิด หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรัง ซึ่งต้องเฝ้าระวังภาวะขาดน้ำและสารอาหารจากการดูดซึมผิดปกติ
  3. ท้องเสียแบบเรื้อรัง (Chronic Diarrhea) เป็นภาวะที่ถ่ายเหลวติดต่อกันนานเกิน 4 อาทิตย์หรือเกิน 30 วัน โดยอาจเกิดจากโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง การแพ้อาหาร การดูดซึมผิดปกติ หรือโรคประจำตัวบางชนิด ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาอย่างตรงจุด

สาเหตุของอาการท้องเสีย

สาเหตุของอาการท้องเสีย

อาการท้องเสียสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังต่อไปนี้ 

การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต

การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยของอาการท้องเสีย โดยเชื้อโรคเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางอาหาร น้ำดื่ม หรือมือที่ไม่สะอาด เมื่อเชื้อเข้าสู่ลำไส้ จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบหรือรบกวนการดูดซึมของลำไส้ ส่งผลให้ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ ปวดบิดท้อง อาเจียน หรือมีไข้ร่วมด้วยในบางราย โดยเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่

  • เชื้อไวรัส เช่น Norovirus และ Rotavirus
  • แบคทีเรีย เช่น Salmonella, E. coli, และ Campylobacter
  • ปรสิต เช่น Giardia lamblia และ Entamoeba Histolytica

การแพ้อาหารและภาวะไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิด

สาเหตุของอาการท้องเสียในบางรายอาจเกิดจากการแพ้อาหารหรือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสารอาหารบางชนิดได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ลำไส้บีบตัวผิดปกติ หรือมีการสะสมของน้ำและแก๊สมากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการถ่ายเหลว ปวดเกร็งท้อง หรือท้องอืดตามมา ซึ่งการแพ้อาจเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น 

  • การแพ้โปรตีนในนมวัว (พบมากในเด็กเล็ก) มักทำให้ลำไส้อักเสบและถ่ายเหลว
  • ภาวะแพ้กลูเตน เป็นการที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองต่อกลูเตนในข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ ทำให้เยื่อบุลำไส้เล็กถูกทำลายและเกิดอาการท้องเสียตามมา
  • ภาวะพร่องเอนไซม์แลกโตส เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโตสในนมได้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องอืด และปวดท้องมากขึ้นหลังจากดื่มนม

โรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้

อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของอาการท้องเสีย โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นเรื้อรัง คือโรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ ซึ่งมักทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติหรือเกิดการอักเสบเรื้อรังในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเหลว ถ่ายเป็นน้ำ หรือมีมูกเลือดปนในอุจจาระ ร่วมกับอาการปวดท้องหรือท้องอืด ซึ่งโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคโครห์น และโรคลำไส้อักเสบชนิดอัลเซอเรทีฟ  
  • กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน เป็นภาวะที่ลำไส้ไวต่อการกระตุ้น มักมีอาการปวดท้องร่วมกับการถ่ายผิดปกติ และอาจถ่ายเหลวหรือท้องผูกสลับกัน 
  • โรคเซลิแอค เกิดจากการแพ้กลูเตน ทำให้เยื่อบุลำไส้เล็กถูกทำลาย ส่งผลต่อการดูดซึมอาหารและเกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง
  • โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในบางรายอาจแสดงอาการท้องเสียเรื้อรัง มีมูกเลือดปนในอุจจาระ หรืออุจจาระมีลักษณะผิดปกติ ควรตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เพื่อแยกโรค

วิธีแก้ท้องเสียง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน

วิธีแก้ท้องเสียง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน

อาการท้องเสียส่วนใหญ่มักเป็นอาการเฉียบพลันที่สามารถดูแลรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง เพื่อบรรเทาอาการ ลดความเสี่ยงจากภาวะขาดน้ำ และฟื้นฟูระบบย่อยอาหารให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ โดยวิธีแก้ท้องเสียเบื้องต้นมีดังนี้

ดื่มน้ำและเกลือแร่ป้องกันภาวะขาดน้ำ

การดื่มน้ำผสมเกลือแร่ (ORS) จะช่วยชดเชยน้ำและสารเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับอุจจาระได้ดี ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากภาวะขาดน้ำ อาการอ่อนเพลีย หน้ามืด หรือการช็อกได้ 

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน น้ำตาล หรือแอลกอฮอล์ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย หรือเพิ่มการสูญเสียน้ำในร่างกาย และส่งผลให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้

เลือกกินอาหารให้เหมาะสม

ในช่วงที่มีอาการท้องเสีย การเลือกว่าจะกินอะไรให้หายท้องเสียเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากระบบย่อยอาหารอยู่ในภาวะอ่อนแอ จึงควรเลือกทานอาหารที่ย่อยง่ายเป็นหลัก เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวสวยกับอาหารที่ปรุงสุก หรือมันฝรั่งต้ม เพราะอาหารเหล่านี้มีเส้นใยต่ำ ย่อยง่าย ไม่กระตุ้นลำไส้ และช่วยเพิ่มมวลในอุจจาระให้จับตัวได้ดีขึ้น 

โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม และผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ลำไส้ระคายเคืองมากขึ้น ส่งผลให้อาการท้องเสียรุนแรงหรือยืดเยื้อมากกว่าเดิมได้

ใช้ยาแก้ท้องเสีย

การใช้ยาแก้ท้องเสียถือเป็นวิธีแก้ท้องเสียเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาอาการถ่ายเหลวและลดความถี่ในการขับถ่ายในระยะสั้น โดยยาที่หาทานได้เองเป็นกลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ดังนี้ 

  • ยาผงถ่าน (Activated Charcoal) เป็นยาที่มีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อชั้นนำและร้านขายยาทั่วไป มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษ เชื้อโรค หรือก๊าซที่อยู่ในลำไส้ จึงช่วยลดการระคายเคือง และบรรเทาอาการท้องเสียที่เกิดจากอาหารเป็นพิษหรือการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดได้
  • ยาธาตุน้ำขาว ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ลดการระคายเคืองจากกรด และช่วยดูดซับของเหลวในลำไส้เล็กน้อย จึงอาจช่วยลดความถี่ในการถ่ายในผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวเล็กน้อยร่วมด้วย
  • Gastro Bismol เป็นยาในกลุ่มยาบรรเทาอาการท้องเสีย มีฤทธิ์ช่วยเคลือบเยื่อบุทางเดินอาหาร ลดการอักเสบ และต่อต้านเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด

ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางกลุ่ม เช่น ยาปฏิชีวนะและยาหยุดถ่าย หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากการใช้ยาไม่เหมาะสมอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้ 

การวินิจฉัยอาการท้องเสีย

การวินิจฉัยอาการท้องเสีย แพทย์จะพิจารณาจากลักษณะของอาการร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาอย่างตรงจุด โดยกระบวนการวินิจฉัยมักประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ 

  1. สอบถามประวัติทางการแพทย์และอาการโดยละเอียด แพทย์จะสอบถามความถี่ในการถ่าย ลักษณะของอุจจาระ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียนไหม อาหารที่ทานก่อนเกิดอาการ รวมถึงประวัติการใช้ยา เพื่อประเมินเบื้องต้นว่าสาเหตุของอาการท้องเสียเกิดจากอะไร  
  2. ตรวจร่างกายเบื้องต้น แพทย์จะตรวจประเมินภาวะขาดน้ำ การบีบตัวของลำไส้ และอาการเจ็บปวดบริเวณช่องท้อง เพื่อดูว่ามีสัญญาณของการติดเชื้อหรือการอักเสบไหม โดยจะพิจารณาจากอาการแสดง เช่น ผิวแห้ง ปากแห้ง ชีพจรเร็ว หน้าท้องเกร็ง หรือมีเสียงลำไส้ผิดปกติ 
  3. ตรวจอุจจาระ (Stool Examination) เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือมูกเลือดในอุจจาระ ซึ่งจะช่วยระบุสาเหตุของอาการได้อย่างแม่นยำ
  4. ตรวจเลือด (Blood Test) ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจส่งตรวจเลือดเพื่อดูค่าการอักเสบ ระดับเกลือแร่ หรือภาวะติดเชื้อในร่างกายเพิ่มเติม
  5. การส่องกล้องลำไส้ (Endoscopy) ในกรณีที่อาการเรื้อรังหรือสงสัยโรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ แพทย์จะใช้กล้องตรวจดูภายในลำไส้เพื่อประเมินพยาธิสภาพโดยตรง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้สามารถมองเห็นลักษณะความผิดปกติของเยื่อบุลำไส้ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังสามารถเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ ส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วย 

การรักษาอาการท้องเสีย

การรักษาอาการท้องเสีย

วิธีรักษาหรือแก้อาการท้องเสียถ่ายเป็นน้ำจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของการเกิดโรค โดยทั่วไปสามารถแบ่งการรักษาได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

1. รักษาอาการท้องเสียระดับเบา

ท้องเสียระดับเบามักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว โดยไม่มีอาการรุนแรงร่วมด้วย เช่น ไม่มีไข้สูง ไม่อาเจียนมาก และไม่มีมูกหรือเลือดในอุจจาระ ซึ่งแนวทางการรักษา คือ 

  • ดื่มน้ำหรือจิบเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม กล้วยสุก โจ๊ก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้

2. รักษาอาการท้องเสียระดับกลาง

ท้องเสียระดับกลางอาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ถ่ายบ่อยมากกว่า 5 ครั้งต่อวัน รู้สึกอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ หรือมีอาการปวดท้องมาก แต่อาการยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ มีแนวทางการรักษา ดังนี้

  • จิบเกลือแร่สม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
  • รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
  • อาจใช้ยาแก้ท้องเสียช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น ยาผงถ่าน หรือยาธาตุน้ำขาว

ทั้งนี้ หากอาการท้องเสียไม่ดีขึ้นใน 1 - 3 วัน หรือกินยาอะไรก็ไม่หาย ควรรีบพบแพทย์ทันที 

3. รักษาอาการท้องเสียระดับรุนแรง

ท้องเสียระดับรุนแรงมักมีอาการชัดเจนและอันตราย เช่น ถ่ายเป็นน้ำปริมาณมาก ติดต่อกันหลายวัน มีไข้สูง อาเจียนไม่หยุด ถ่ายมีมูกเลือด หรือมีอาการของภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ทั้งปากแห้ง ตาลึก ผิวหนังไม่ยืดหยุ่น ซึ่งแนวทางการรักษา ดังนี้ 

  • ต้องพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน
  • อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด (IV) เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสีย
  • ตรวจหาสาเหตุด้วยการตรวจอุจจาระ ตรวจเลือด หรืออื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
  • ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อเฉพาะทางตามดุลยพินิจของแพทย์

การป้องกันอาการท้องเสีย

การป้องกันอาการท้องเสียสามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยและการเลือกบริโภคอาหารอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและสิ่งปนเปื้อนที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางการป้องกันที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
  • เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และหลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ
  • ดื่มน้ำสะอาด หรือใช้น้ำต้มสุก น้ำกรอง หรือน้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน
  • หลีกเลี่ยงการทานน้ำแข็งที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หรือไม่ผ่านการผลิตที่ถูกสุขลักษณะ
  • หมั่นล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานหรือปรุงอาหาร
  • ระมัดระวังการบริโภคอาหารจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย เช่น ร้านข้างทางที่ไม่สะอาด
  • จัดเก็บอาหารแช่เย็นอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเน่าเสียหรือปนเปื้อน

สัญญาณอาการท้องเสียที่ควรไปพบแพทย์ทันที

แม้อาการท้องเสียส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบเข้าพบแพทย์ในทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่รุนแรงหรือโรคแทรกซ้อนได้ 

  • ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งติดต่อกันเกิน 2 วัน โดยไม่มีแนวโน้มดีขึ้น
  • มีมูกเลือดหรือหนองปนในอุจจาระ
  • ไข้สูงเกิน 38.5°C ร่วมกับอาการอ่อนเพลียหรือปวดท้องรุนแรง
  • อาเจียนมาก หรืออาเจียนร่วมกับอาการท้องเสีย จนไม่สามารถรับน้ำหรืออาหารได้
  • สังเกตได้ว่าเริ่มมีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย วิงเวียน หน้ามืด
  • เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวที่มีอาการท้องเสีย แม้เพียงไม่กี่ครั้งก็ควรได้รับการประเมินจากแพทย์
  • อาการท้องเสียเรื้อรังที่เป็นๆ หายๆ ติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์

ทั้งนี้ หากมีอาการเข้าข่ายข้างต้นและไม่เข้าพบแพทย์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำรุนแรง หรือภาวะเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งสามารถส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำ ช็อก และเกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว เช่น ไตวายเฉียบพลันหรือหัวใจทำงานผิดปกติได้ 

สรุป

อาการท้องเสียถ่ายเป็นน้ำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ การแพ้อาหาร หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ ซึ่งแต่ละกรณีมีระดับความรุนแรงและแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน หากอาการไม่รุนแรงมาก ไม่มีไข้ ไม่อาเจียน และไม่มีมูกเลือดในอุจจาระ สามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นที่บ้านได้ โดยการดื่มเกลือแร่ รับประทานอาหารย่อยง่าย และใช้ยาสามัญบรรเทาอาการอย่างระมัดระวัง 

หากอาการไม่ดีขึ้น ถ่ายบ่อย มีมูกเลือด หรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการท้องเสียอย่างครบวงจรโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง เครื่องมือทันสมัยได้มาตรฐาน และมีบริการฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีและปลอดภัยในทุกสถานการณ์

FAQ

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและสามารถดูแลตัวเองได้อย่างปลอดภัยเมื่อเกิดอาการท้องเสีย เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบมาไว้ให้ทุกคนสามารถใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ดังนี้ 

ท้องเสียทําอย่างไรให้หายเร็ว?

วิธีแก้ท้องเสียถ่ายเป็นน้ำให้หายได้เร็วขึ้น ควรจิบน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม กล้วยสุก และหลีกเลี่ยงของทอด ของมัน หรือนม หากมีอาการปวดบิดท้องหรือถ่ายบ่อย อาจใช้ยาแก้ท้องเสียตามคำแนะนำของเภสัชกรได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1 - 2 วัน ควรพบแพทย์ทันที

ทำไมท้องเสียแล้วถ่ายเป็นน้ำ?

การถ่ายเป็นน้ำเกิดจากลำไส้ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง หรือมีการหลั่งน้ำเข้าสู่ลำไส้มากกว่าปกติ ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต รวมถึงการแพ้อาหารหรือการใช้ยาบางชนิด ทำให้อุจจาระมีปริมาณน้ำมากกว่าปกติและไม่จับตัวเป็นก้อน เมื่อถ่ายออกมาจึงมีลักษณะเหลวเป็นน้ำนั่นเอง

ทำไมท้องเสียแล้วมีอาการหนาวสั่น?

อาการหนาวสั่นมักเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในร่างกาย โดยเฉพาะหากท้องเสียร่วมกับมีไข้ อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีการตอบสนองด้วยการแสดงอาการหนาวสั่นร่วมกับไข้สูงออกมา 

อาการเครียดทำให้ท้องเสียไหม?

ความเครียดสามารถส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งควบคุมการทำงานของลำไส้ ทำให้เกิดการบีบตัวผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้ท้องเสียหรือปวดบิดท้องได้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นกลไกที่พบได้บ่อยในกลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS)

ท้องเสียกินโยเกิร์ตได้ไหม?

หากผู้ป่วยไม่ได้แพ้แลกโตสสามารถกินโยเกิร์ตได้ โดยเฉพาะโยเกิร์ตที่มีโปรไบโอติกส์ เพราะจะช่วยฟื้นฟูสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ให้สมดุลมากยิ่งขึ้น แต่หากมีภาวะแพ้นมควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้อาการท้องเสียแย่ลงได้ 


บทความที่เกี่ยวข้อง