สาเหตุของอาการปวดท้อง กับอาการเตือนโรคร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

  • อาการปวดท้องมีสาเหตุที่พบบ่อยมักเกิดจากอาหารไม่ย่อย ลำไส้อักเสบ กรดไหลย้อน หรือติดเชื้อในทางเดินอาหาร ซึ่งหากเป็นซ้ำๆ ควรตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
  • ตำแหน่งที่ปวดท้องสามารถบ่งบอกถึงอวัยวะที่ผิดปกติได้ เช่น ปวดใต้ชายโครงขวาอาจเกี่ยวข้องกับตับหรือถุงน้ำดี ปวดใต้ชายโครงซ้ายอาจเกี่ยวกับม้าม ไต หรือลำไส้ใหญ่บางส่วน ปวดใต้ลิ้นปี่อาจเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ปวดท้องบริเวณบั้นเอวอาจเกี่ยวกับไตและท่อไต เป็นต้น
  • วิธีรักษาอาการปวดท้องสามารถทำได้ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต การใช้ยารักษา หรือในกรณีรุนแรงอาจมีการผ่าตัดร่วมด้วย 
  • วิธีป้องกันอาการปวดท้อง สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการรับประทานอาหารที่สะอาด ย่อยง่าย เคี้ยวให้ละเอียด หลีกเลี่ยงของมัน ของเผ็ด ทานให้ตรงเวลา และไม่นอนทันทีหลังอาหาร

อาการปวดท้องเป็นอาการทั่วไปที่เชื่อว่าหลายคนอาจเคยเจอ ไม่ว่าจะปวดท้องด้านซ้าย ด้านขวา หรือบริเวณอื่นๆ ก็ตาม แต่อาการเหล่านี้หากเกิดขึ้นบ่อยๆ อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยเสมอไป เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ ซึ่งหากละเลยและปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้อาการลุกลามและรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

บทความนี้จึงจะพาทุกคนไปรู้ทันสาเหตุและอาการปวดท้องในแต่ละจุดว่าบ่งบอกถึงสัญญาณของโรคใดบ้าง รวมถึงอาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์ พร้อมแนะนำวิธีบรรเทาอาการในเบื้องต้นด้วยตัวเองที่คุณไม่ควรพลาด จะมีวิธีใดบ้าง ตามไปดูพร้อมกันได้เลย!

สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดท้อง

สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดท้อง

อาการปวดท้องเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ภาวะไม่รุนแรงไปจนถึงโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้ 

การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดบิดในช่องท้องร่วมกับอาการคลื่นไส้ และท้องเสีย ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำหรือเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดตามมาได้ 

กรดไหลย้อนและแผลในกระเพาะอาหาร

กรดไหลย้อนเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำงานผิดปกติ ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกและปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ ส่วนแผลในกระเพาะเกิดจากกรดกัดเยื่อบุผนังกระเพาะจนอักเสบหรือเกิดแผล ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอาจทำให้แผลลึก เลือดออก หรือทะลุทะลวงถึงขั้นเสี่ยงต่อภาวะตกเลือดในทางเดินอาหารได้

อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง

อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคโครห์น และแผลลำไส้อักเสบชนิดเป็นแผล มักเกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จนเกิดการอักเสบของผนังลำไส้ ส่งผลให้มีอาการปวดท้องเรื้อรัง ถ่ายเหลวบ่อย หรือมีเลือดปน หากไม่รับการรักษาอาจเกิดภาวะลำไส้ตีบ ลำไส้ทะลุ และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ในอนาคตได้

ปวดท้องจากกล้ามเนื้อและระบบประสาท

อาการปวดท้องจากกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทมักเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไป หรือมีการกดทับของเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดตื้อ ปวดร้าว หรือเจ็บแบบเฉพาะจุด หากไม่ดูแลหรือปล่อยไว้นาน อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่กระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

โรคเกี่ยวกับตับและถุงน้ำดี

โรคตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรือการอุดตันของท่อน้ำดี อาจทำให้เกิดการอักเสบและแรงดันในระบบทางเดินน้ำดี ส่งผลให้มีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวาร่วมกับอาการคลื่นไส้ ตัวเหลือง หรือตาเหลือง และหากไม่รีบรักษาอาจเกิดภาวะติดเชื้อ ตับวาย หรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อาการปวดท้องที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์

อาการปวดท้องที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ในเพศหญิงอาจเกิดจากถุงน้ำในรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือภาวะแทรกซ้อนของประจำเดือน ส่วนเพศชายอาจเกี่ยวข้องกับการอักเสบของต่อมลูกหมากหรืออัณฑะ ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการอักเสบและความดันภายในอุ้งเชิงกราน หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอาจกระทบต่อการเจริญพันธุ์หรือก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้

อาการปวดท้องแบ่งตามตำแหน่งและความรุนแรง

อาการปวดท้องแบ่งตามตำแหน่งและความรุนแรง

อาการปวดท้องในแต่ละตำแหน่งสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะภายในที่แตกต่างกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 

1. ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา         

บริเวณใต้ชายโครงขวาเป็นตำแหน่งของตับ ไต และถุงน้ำดี รวมถึงทางเดินน้ำดีบางส่วน หากเกิดอาการปวดบริเวณนี้อาจหมายถึงภาวะตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรือการอุดตันของท่อน้ำดี โดยผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องจุกแน่นใต้ชายโครงขวา อาจมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม

2. ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่

บริเวณใต้ลิ้นปี่เป็นจุดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชายโครงซ้ายและขวา ตำแหน่งนี้มีอวัยวะสำคัญคือกระเพาะอาหาร ตับอ่อน และส่วนต้นของลำไส้เล็ก (ลำไส้เล็กส่วนต้น) ซึ่งอาการปวดในบริเวณนี้มักสัมพันธ์กับภาวะกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร หรือตับอ่อนอักเสบ

โดยมักมีอาการแสบร้อนกลางอก ปวดจุกแน่นหรือปวดร้าวขึ้นหน้าอก และอาการจะรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร หรือเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ทั้งนี้ หากปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยโรคที่อาจร้ายแรง เช่น ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

3. ปวดท้องชายโครงขวา

บริเวณชายโครงขวาเป็นตำแหน่งของอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ถุงน้ำดี และไต หากมีอาการปวดท้องในจุดนี้อาจสัมพันธ์กับภาวะตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ หรือนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งอาการปวดมักเป็นลักษณะปวดจุก แน่น หรือปวดร้าวไปไหล่ขวา บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีไข้ร่วมด้วย หากอาการปวดรุนแรงเฉียบพลันหรือมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะติดเชื้อหรืออุดตันที่ต้องได้รับการรักษาทันที

4. ปวดท้องบริเวณชายโครงซ้าย

บริเวณชายโครงซ้ายเป็นตำแหน่งของม้าม กระเพาะอาหารส่วนบน ไตซ้าย และบางส่วนของลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาการปวดท้องชายโครงซ้ายอาจบ่งบอกได้ถึงภาวะม้ามโต กระเพาะอาหารอักเสบ หรือลำไส้อักเสบ มักมีอาการปวดแน่น เสียด หรือจุก โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร โดยหากมีอาการปวดรุนแรงหรือเกิดหลังการกระแทก ควรระวังภาวะม้ามฉีกขาดหรือเลือดออกภายใน และรีบพบแพทย์ทันที

5. ปวดท้องบริเวณบั้นเอว

บริเวณบั้นเอวเป็นตำแหน่งที่สอดคล้องกับไต ท่อไต และบางส่วนของลำไส้ใหญ่ อาการปวดในจุดนี้มักสัมพันธ์กับโรคไตอักเสบ นิ่วในไต หรือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โดยอาการมักปวดร้าวจากหลังไปหน้าท้อง หรือปวดเสียดเฉียบพลันด้านใดด้านหนึ่ง บางรายอาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งหากอาการปวดรุนแรงหรือมีไข้สูง ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินปัสสาวะ

6. ปวดท้องบริเวณรอบสะดือ

บริเวณรอบสะดือเป็นตำแหน่งของลำไส้เล็กส่วนต้น ลำไส้ใหญ่บางส่วน และหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงลำไส้ อาการปวดท้องในจุดนี้มักบ่งชี้ถึงลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบระยะแรก หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดบิด หรือจุกเสียดบริเวณรอบสะดือ ร่วมกับอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือเบื่ออาหาร ซึ่งหากอาการปวดเคลื่อนไปยังท้องน้อยขวา อาจเป็นสัญญาณของไส้ติ่งอักเสบที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

7. ปวดท้องบริเวณท้องน้อย

บริเวณท้องน้อยเป็นตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน เช่น มดลูก รังไข่ หรือต่อมลูกหมาก อาการปวดท้องในจุดนี้อาจสัมพันธ์กับกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือถุงน้ำรังไข่ โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดหน่วง ปวดตื้อ หรือปวดเป็นพักๆ และอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย ประจำเดือนผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย หากปวดรุนแรงเฉียบพลัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด

วิธีบรรเทาอาการปวดท้องเบื้องต้น ฉบับเร่งด่วน

วิธีบรรเทาอาการปวดท้องเบื้องต้น ฉบับเร่งด่วน

อาการปวดท้องแต่ละประเภทมีสาเหตุและวิธีบรรเทาที่แตกต่างกัน โดยอาการปวดที่สามารถบรรเทาได้ด้วยตนเอง มีดังนี้

  • ปวดท้องประจำเดือน สามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือเมเฟนามิค แอซิด (Mefenamic acid) ควบคู่กับการประคบอุ่นที่หน้าท้อง เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดการบีบตัวของมดลูก จะบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ 
  • ปวดท้องจากอาหารไม่ย่อย แน่นท้อง หรือท้องอืด แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด หรือมันจัด และสามารถจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานยาช่วยย่อย เช่น ยาลดกรด หรือยาขับลมเพื่อบรรเทาอาการได้
  • ปวดท้องจากท้องเสีย หากไม่ได้ถ่ายเหลวบ่อยเกินไปหรือไม่มีไข้สูง สามารถรับประทานผงถ่านดูดซับสารพิษ หรือยาแก้ท้องเสียทั่วไปได้ และดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • ปวดท้องจากการเกร็งของกล้ามเนื้อ เช่น จากการนั่งผิดท่า หรือยกของหนัก แนะนำให้พักผ่อน หลีกเลี่ยงการออกแรง และใช้การประคบร้อนบริเวณที่ปวดเพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ
  • ปวดท้องจากกรดไหลย้อน มักทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ หรือปวดท้องส่วนบน วิธีบรรเทาเบื้องต้นคือ หลีกเลี่ยงการนอนทันทีหลังอาหาร งดอาหารรสจัด เปรี้ยว เผ็ด ไขมันสูง หรือกาแฟ และสามารถใช้ยาในกลุ่มยาลดกรดหรือยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์

อาหารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง

การเลือกอาหารที่เหมาะสมถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการบรรเทาอาการปวดท้องได้อย่างปลอดภัย โดยอาหารที่แนะนำควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด และไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะ เช่น

  • ข้าวต้ม โจ๊ก หรือซุปใส ย่อยง่าย ให้พลังงานพอเหมาะ ไม่กระตุ้นกรดในกระเพาะมากเกินไป
  • กล้วยน้ำว้า มีใยอาหารแบบละลายน้ำ ช่วยเคลือบกระเพาะและลดอาการระคายเคืองได้
  • ขิงต้ม หรือชาขิง ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ คลายอาการจุกเสียด แน่นท้อง และคลื่นไส้
  • มันฝรั่งต้ม ฟักทองต้ม เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย และลดกรดในกระเพาะได้ดี
  • ผักต้มสุก เช่น แคร์รอต บรอกโคลี ฟักเขียว ช่วยให้ขับถ่ายดีโดยไม่ระคายกระเพาะ

อาการปวดท้องที่ควรพบแพทย์ทันที

แม้อาการปวดท้องจะพบได้ทั่วไป แต่อาการบางอย่างอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะฉุกเฉิน ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์ในทันทีหากมีอาการ ดังนี้  

  • ปวดท้องรุนแรงเฉียบพลัน โดยเฉพาะหากปวดมากจนขยับตัวไม่ได้
  • ปวดท้องนานติดต่อกัน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • ปวดท้องร่วมกับ ไข้สูง หนาวสั่น หน้ามืด หรืออาเจียนรุนแรง
  • ปวดท้องพร้อมอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับตับหรือถุงน้ำดี
  • ปวดท้องน้อยร่วมกับเลือดออกทางช่องคลอดในผู้หญิง หรือมีปัสสาวะผิดปกติ
  • ปวดท้องด้านขวาล่างที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้น อาจเป็นสัญญาณของไส้ติ่งอักเสบ
  • ปวดท้องร่วมกับอุจจาระสีดำหรือมีเลือดปน
  • ปวดท้องที่เกิดขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ
  • ปวดท้องร้าวไปจนถึงหลัง 

หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวอย่างปลอดภัย หากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจลุกลามจนยากต่อการรักษา และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในบางกรณี

การตรวจวินิจฉัยอาการปวดท้อง

อาการปวดท้องอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แพทย์จึงต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติมที่เหมาะสม เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งในการตรวจวินิจฉัยมักประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ 

  1. การซักประวัติและอาการโดยละเอียด แพทย์จะใช้การซักประวัติเพื่อสอบถามข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น ตำแหน่งของอาการปวด ลักษณะการปวด (ปวดบิด ปวดจุก ปวดแสบ) ความรุนแรง ระยะเวลา รวมถึงอาการร่วม เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ไข้ หรือประจำเดือนผิดปกติ
  2. การตรวจร่างกายโดยแพทย์ แพทย์จะคลำหน้าท้อง ฟังเสียงในช่องท้อง ตรวจจุดกดเจ็บ และประเมินลักษณะทั่วไปของผู้ป่วยว่ามีอาการตึงเครียด อ่อนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำหรือไม่
  3. การตรวจเลือดและปัสสาวะ การตรวจเลือดจะช่วยประเมินภาวะอักเสบ การติดเชื้อ ระดับเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และการทำงานของอวัยวะภายในได้ เช่น ตับ ไต ตับอ่อน ส่วนการตรวจปัสสาวะจะช่วยตรวจสอบการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ นิ่ว หรือเลือดปนในปัสสาวะได้
  4. การตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (Ultrasound) เป็นวิธีการตรวจที่ปลอดภัยและไม่ใช้รังสี ช่วยให้แพทย์มองเห็นอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ถุงน้ำดี ไต มดลูก และรังไข่ เพื่อประเมินความผิดปกติ เช่น ถุงน้ำ นิ่ว หรือก้อนเนื้อ มักใช้วินิจฉัยในกรณีที่สงสัยว่ามีการอักเสบ มีก้อนผิดปกติ หรือการอุดตันของทางเดินน้ำดี
  5. การตรวจเอกซเรย์ หรือ CT Scan แพทย์จะใช้กรณีที่ต้องการเห็นภาพภายในช่องท้องอย่างละเอียด เช่น ตรวจหาภาวะไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน หรือภาวะเลือดออกภายใน
  6. การส่องกล้องทางเดินอาหาร (Endoscopy) เป็นการตรวจโดยใช้กล้องขนาดเล็กที่ปลายสายใส่ผ่านทางปาก เพื่อตรวจดูภายในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น แพทย์มักใช้วิธีนี้สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรัง เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร หรือสงสัยว่าอาจมีเนื้องอกหรือมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร

วิธีรักษาอาการปวดท้อง

วิธีรักษาอาการปวดท้อง

การรักษาอาการปวดท้องจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการที่ตรวจพบ โดยส่วนใหญ่มักมีแนวทางการรักษาทางการแพทย์ ดังนี้ 

  • การใช้ยา เช่น ยาลดกรด ยาขับลม ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs โดยแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับต้นเหตุ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน หรือลำไส้อักเสบ
  • การรักษาด้วยอาหารและการปรับพฤติกรรม แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ รวมถึงการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด รับประทานเป็นเวลา และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • การรักษาเฉพาะทางหรือการผ่าตัด ในกรณีที่มีภาวะรุนแรง เช่น ไส้ติ่งอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ลำไส้อุดตัน หรือมีก้อนเนื้อ อาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติม
  • การติดตามอาการและการตรวจซ้ำ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องเข้ารับการตรวจติดตาม เช่น ตรวจเลือด หรือส่องกล้องซ้ำ เพื่อประเมินผลการรักษาและวางแผนการดูแลอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้การรักษาที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

วิธีป้องกันอาการปวดท้อง

แม้อาการปวดท้องจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้หากรู้จักดูแลสุขภาพให้เหมาะสม โดยมีวิธีป้องกันที่ควรปฏิบัติดังนี้

  • ทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรืออาหารที่ย่อยยาก เช่น ของทอด หมักดอง และเครื่องดื่มคาเฟอีน
  • ทานอาหารให้ตรงเวลาและเคี้ยวอาหารให้ละเอียด  
  • หลีกเลี่ยงการนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง 
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงภาวะท้องผูก เพื่อให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและลดความเครียดซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการปวดท้องได้

สรุป

อาการปวดท้อง ไม่ว่าจะเป็นปวดท้องซ้ายหรือขวาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อย เช่น อาหารไม่ย่อย ไปจนถึงโรคที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง การสังเกตตำแหน่งและลักษณะอาการปวดจึงมีความสำคัญมากที่จะทำให้เรารู้ทันสัญญาณบอกโรคต่างๆ หากมีอาการปวดรุนแรง ปวดบ่อย หรือมีอาการร่วมผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจน 

ซึ่งที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางเดินอาหารและอาการปวดท้องทุกประเภท ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้คุณได้รับการดูแลอย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกขั้นตอน

FAQ

อาการปวดท้องมักทำให้หลายคนกังวล โดยเฉพาะเมื่ออาการเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือสัมพันธ์กับอาการอื่นที่ไม่แน่ใจว่าผิดปกติหรือไม่ เราจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดท้อง พร้อมคำตอบที่ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงอาการ สาเหตุ และวิธีรับมือได้อย่างรวดเร็ว

ปวดท้องทั่วท้องคืออะไร?

อาการปวดทั่วท้อง หรือปวดมวนท้อง อาจเกิดจากภาวะที่ไม่รุนแรง เช่น อาหารไม่ย่อย มีแก๊สในลำไส้ หรือท้องผูก ไปจนถึงภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน หรือการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ทั้งนี้ หากอาการปวดเกิดขึ้นบ่อยหรือมีความรุนแรงมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

ท้องเต้นตุ๊บๆ เกิดจากอะไร?

อาการปวดรู้สึกเหมือนมีจังหวะ “เต้นตุ๊บๆ” ในท้อง มักเกิดจากการบีบตัวของหลอดเลือดใหญ่ในช่องท้องโดยเฉพาะในคนที่มีรูปร่างผอมจะสังเกตได้ชัดเจน หรืออาจเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งมักไม่ใช่สัญญาณอันตราย แต่หากมีอาการปวดร่วมกับคลำพบก้อน หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรเข้ารับการตรวจเพื่อประเมินสาเหตุของโรคเพิ่มเติม

ปวดท้องแบบไหนเป็นโรคหัวใจ?

แม้ว่าอาการปวดท้องจะดูไม่เกี่ยวกับหัวใจโดยตรง แต่บางครั้งอาการของโรคหัวใจขาดเลือด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาจแสดงออกเป็นอาการปวดแน่นลิ้นปี่ คลื่นไส้ หรือปวดร้าวขึ้นไปที่ไหล่และกราม หากปวดท้องร่วมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือเหงื่อออกผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

ทําอย่างไรให้ลมในท้องออก?

อาการท้องอืด แน่นท้อง หรือมีลมในท้องมักเกิดจากการกลืนอากาศ การรับประทานอาหารเร็วเกินไป หรือระบบย่อยทำงานช้าลง วิธีบรรเทาคือจิบน้ำอุ่น ค่อยๆ เดินเบาๆ นวดคลึงท้องเบาๆ และควรปรับพฤติกรรมการกิน โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊ส เช่น อาหารมัน น้ำอัดลม ผักในตระกูลกะหล่ำ เป็นต้น


บทความที่เกี่ยวข้อง