อาการปวดท้องเป็นอาการทั่วไปที่เชื่อว่าหลายคนอาจเคยเจอ ไม่ว่าจะปวดท้องด้านซ้าย ด้านขวา หรือบริเวณอื่นๆ ก็ตาม แต่อาการเหล่านี้หากเกิดขึ้นบ่อยๆ อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยเสมอไป เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ ซึ่งหากละเลยและปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้อาการลุกลามและรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้จึงจะพาทุกคนไปรู้ทันสาเหตุและอาการปวดท้องในแต่ละจุดว่าบ่งบอกถึงสัญญาณของโรคใดบ้าง รวมถึงอาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์ พร้อมแนะนำวิธีบรรเทาอาการในเบื้องต้นด้วยตัวเองที่คุณไม่ควรพลาด จะมีวิธีใดบ้าง ตามไปดูพร้อมกันได้เลย!
อาการปวดท้องเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ภาวะไม่รุนแรงไปจนถึงโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้
การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดบิดในช่องท้องร่วมกับอาการคลื่นไส้ และท้องเสีย ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำหรือเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดตามมาได้
กรดไหลย้อนเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำงานผิดปกติ ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกและปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ ส่วนแผลในกระเพาะเกิดจากกรดกัดเยื่อบุผนังกระเพาะจนอักเสบหรือเกิดแผล ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอาจทำให้แผลลึก เลือดออก หรือทะลุทะลวงถึงขั้นเสี่ยงต่อภาวะตกเลือดในทางเดินอาหารได้
อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง เช่น โรคโครห์น และแผลลำไส้อักเสบชนิดเป็นแผล มักเกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ จนเกิดการอักเสบของผนังลำไส้ ส่งผลให้มีอาการปวดท้องเรื้อรัง ถ่ายเหลวบ่อย หรือมีเลือดปน หากไม่รับการรักษาอาจเกิดภาวะลำไส้ตีบ ลำไส้ทะลุ และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ในอนาคตได้
อาการปวดท้องจากกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทมักเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไป หรือมีการกดทับของเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดตื้อ ปวดร้าว หรือเจ็บแบบเฉพาะจุด หากไม่ดูแลหรือปล่อยไว้นาน อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่กระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
โรคตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรือการอุดตันของท่อน้ำดี อาจทำให้เกิดการอักเสบและแรงดันในระบบทางเดินน้ำดี ส่งผลให้มีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวาร่วมกับอาการคลื่นไส้ ตัวเหลือง หรือตาเหลือง และหากไม่รีบรักษาอาจเกิดภาวะติดเชื้อ ตับวาย หรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการปวดท้องที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ในเพศหญิงอาจเกิดจากถุงน้ำในรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือภาวะแทรกซ้อนของประจำเดือน ส่วนเพศชายอาจเกี่ยวข้องกับการอักเสบของต่อมลูกหมากหรืออัณฑะ ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการอักเสบและความดันภายในอุ้งเชิงกราน หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอาจกระทบต่อการเจริญพันธุ์หรือก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้
อาการปวดท้องในแต่ละตำแหน่งสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะภายในที่แตกต่างกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
บริเวณใต้ชายโครงขวาเป็นตำแหน่งของตับ ไต และถุงน้ำดี รวมถึงทางเดินน้ำดีบางส่วน หากเกิดอาการปวดบริเวณนี้อาจหมายถึงภาวะตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรือการอุดตันของท่อน้ำดี โดยผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องจุกแน่นใต้ชายโครงขวา อาจมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม
บริเวณใต้ลิ้นปี่เป็นจุดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชายโครงซ้ายและขวา ตำแหน่งนี้มีอวัยวะสำคัญคือกระเพาะอาหาร ตับอ่อน และส่วนต้นของลำไส้เล็ก (ลำไส้เล็กส่วนต้น) ซึ่งอาการปวดในบริเวณนี้มักสัมพันธ์กับภาวะกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร หรือตับอ่อนอักเสบ
โดยมักมีอาการแสบร้อนกลางอก ปวดจุกแน่นหรือปวดร้าวขึ้นหน้าอก และอาการจะรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร หรือเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ทั้งนี้ หากปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยโรคที่อาจร้ายแรง เช่น ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
บริเวณชายโครงขวาเป็นตำแหน่งของอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ถุงน้ำดี และไต หากมีอาการปวดท้องในจุดนี้อาจสัมพันธ์กับภาวะตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ หรือนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งอาการปวดมักเป็นลักษณะปวดจุก แน่น หรือปวดร้าวไปไหล่ขวา บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีไข้ร่วมด้วย หากอาการปวดรุนแรงเฉียบพลันหรือมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะติดเชื้อหรืออุดตันที่ต้องได้รับการรักษาทันที
บริเวณชายโครงซ้ายเป็นตำแหน่งของม้าม กระเพาะอาหารส่วนบน ไตซ้าย และบางส่วนของลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาการปวดท้องชายโครงซ้ายอาจบ่งบอกได้ถึงภาวะม้ามโต กระเพาะอาหารอักเสบ หรือลำไส้อักเสบ มักมีอาการปวดแน่น เสียด หรือจุก โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร โดยหากมีอาการปวดรุนแรงหรือเกิดหลังการกระแทก ควรระวังภาวะม้ามฉีกขาดหรือเลือดออกภายใน และรีบพบแพทย์ทันที
บริเวณบั้นเอวเป็นตำแหน่งที่สอดคล้องกับไต ท่อไต และบางส่วนของลำไส้ใหญ่ อาการปวดในจุดนี้มักสัมพันธ์กับโรคไตอักเสบ นิ่วในไต หรือการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โดยอาการมักปวดร้าวจากหลังไปหน้าท้อง หรือปวดเสียดเฉียบพลันด้านใดด้านหนึ่ง บางรายอาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งหากอาการปวดรุนแรงหรือมีไข้สูง ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินปัสสาวะ
บริเวณรอบสะดือเป็นตำแหน่งของลำไส้เล็กส่วนต้น ลำไส้ใหญ่บางส่วน และหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงลำไส้ อาการปวดท้องในจุดนี้มักบ่งชี้ถึงลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบระยะแรก หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดบิด หรือจุกเสียดบริเวณรอบสะดือ ร่วมกับอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือเบื่ออาหาร ซึ่งหากอาการปวดเคลื่อนไปยังท้องน้อยขวา อาจเป็นสัญญาณของไส้ติ่งอักเสบที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
บริเวณท้องน้อยเป็นตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน เช่น มดลูก รังไข่ หรือต่อมลูกหมาก อาการปวดท้องในจุดนี้อาจสัมพันธ์กับกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือถุงน้ำรังไข่ โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดหน่วง ปวดตื้อ หรือปวดเป็นพักๆ และอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย ประจำเดือนผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย หากปวดรุนแรงเฉียบพลัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด
อาการปวดท้องแต่ละประเภทมีสาเหตุและวิธีบรรเทาที่แตกต่างกัน โดยอาการปวดที่สามารถบรรเทาได้ด้วยตนเอง มีดังนี้
การเลือกอาหารที่เหมาะสมถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการบรรเทาอาการปวดท้องได้อย่างปลอดภัย โดยอาหารที่แนะนำควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด และไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะ เช่น
แม้อาการปวดท้องจะพบได้ทั่วไป แต่อาการบางอย่างอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะฉุกเฉิน ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์ในทันทีหากมีอาการ ดังนี้
หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวอย่างปลอดภัย หากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจลุกลามจนยากต่อการรักษา และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในบางกรณี
อาการปวดท้องอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แพทย์จึงต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติมที่เหมาะสม เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งในการตรวจวินิจฉัยมักประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
การรักษาอาการปวดท้องจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการที่ตรวจพบ โดยส่วนใหญ่มักมีแนวทางการรักษาทางการแพทย์ ดังนี้
ทั้งนี้การรักษาที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
แม้อาการปวดท้องจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้หากรู้จักดูแลสุขภาพให้เหมาะสม โดยมีวิธีป้องกันที่ควรปฏิบัติดังนี้
อาการปวดท้อง ไม่ว่าจะเป็นปวดท้องซ้ายหรือขวาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อย เช่น อาหารไม่ย่อย ไปจนถึงโรคที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง การสังเกตตำแหน่งและลักษณะอาการปวดจึงมีความสำคัญมากที่จะทำให้เรารู้ทันสัญญาณบอกโรคต่างๆ หากมีอาการปวดรุนแรง ปวดบ่อย หรือมีอาการร่วมผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจน
ซึ่งที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางเดินอาหารและอาการปวดท้องทุกประเภท ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้คุณได้รับการดูแลอย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกขั้นตอน
อาการปวดท้องมักทำให้หลายคนกังวล โดยเฉพาะเมื่ออาการเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือสัมพันธ์กับอาการอื่นที่ไม่แน่ใจว่าผิดปกติหรือไม่ เราจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดท้อง พร้อมคำตอบที่ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงอาการ สาเหตุ และวิธีรับมือได้อย่างรวดเร็ว
อาการปวดทั่วท้อง หรือปวดมวนท้อง อาจเกิดจากภาวะที่ไม่รุนแรง เช่น อาหารไม่ย่อย มีแก๊สในลำไส้ หรือท้องผูก ไปจนถึงภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน หรือการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ทั้งนี้ หากอาการปวดเกิดขึ้นบ่อยหรือมีความรุนแรงมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
อาการปวดรู้สึกเหมือนมีจังหวะ “เต้นตุ๊บๆ” ในท้อง มักเกิดจากการบีบตัวของหลอดเลือดใหญ่ในช่องท้องโดยเฉพาะในคนที่มีรูปร่างผอมจะสังเกตได้ชัดเจน หรืออาจเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งมักไม่ใช่สัญญาณอันตราย แต่หากมีอาการปวดร่วมกับคลำพบก้อน หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรเข้ารับการตรวจเพื่อประเมินสาเหตุของโรคเพิ่มเติม
แม้ว่าอาการปวดท้องจะดูไม่เกี่ยวกับหัวใจโดยตรง แต่บางครั้งอาการของโรคหัวใจขาดเลือด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาจแสดงออกเป็นอาการปวดแน่นลิ้นปี่ คลื่นไส้ หรือปวดร้าวขึ้นไปที่ไหล่และกราม หากปวดท้องร่วมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือเหงื่อออกผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
อาการท้องอืด แน่นท้อง หรือมีลมในท้องมักเกิดจากการกลืนอากาศ การรับประทานอาหารเร็วเกินไป หรือระบบย่อยทำงานช้าลง วิธีบรรเทาคือจิบน้ำอุ่น ค่อยๆ เดินเบาๆ นวดคลึงท้องเบาๆ และควรปรับพฤติกรรมการกิน โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊ส เช่น อาหารมัน น้ำอัดลม ผักในตระกูลกะหล่ำ เป็นต้น
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved