เทคโนโลยีการรักษา

Cardiac Catheterization Laboratory (ห้องสวนหัวใจ)

Cardiac Catheterization Laboratory (ห้องสวนหัวใจ)

Cath Lab ห้องสวนหัวใจมาตรฐานระดับสากล เพื่อการตรวจรักษาโรคหัวใจอย่างแม่นยำ ปลอดภัย ทันเวลา การดูแลหัวใจต้องอาศัยความแม่นยำ รวดเร็ว และความเชี่ยวชาญสูง โรงพยาบาลวิภาวดีจึงให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจผ่าน Cath Lab (Cardiac Catheterization Laboratory) หรือห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ ที่ทันสมัยและครบวงจร พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต   Cath Lab คืออะไร? เป็นหัตถการของศูนย์หัวใจซึ่งการตรวจในห้องสวนหัวใจ ส่วนใหญ่ไม่ต้องดมยาสลบ  อุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วย เช่น สายสวน บอลลูน หรือขดลวด มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับไส้ดินสอหรือไส้ปากกาหมึกแห้ง ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใช้วิธีการฉีดยาชาและสอดสายสวนแก้ไขและไม่ต้องกังวลต่อการเกิดแผล เป็นหัตถการส่วนใหญ่ในห้องสวนหัวใจ ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน ถ้าผู้ป่วยมาเพื่อการวินิจฉัยโรค จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1 คืน สำหรับผู้ป่วยที่มารับการซ่อมแซมหลอดเลือด หรือใส่อุปกรณ์เพื่อการรักษา จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1-3 คืน แพทย์จะให้คำปรึกษาและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามอย่างละเอียด รวมถึงความเสี่ยงและทางเลือก ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง   การบริการห้องสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Laboratory) ได้แก่   1.การฉีดสีตรวจวินิจฉัยและการรักษาซ่อมแซมหลอดเลือดทุกตำแหน่งโดยใช้บอลลูน ขดลวด การขยายหลอดเลือด การดูดลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือด ตัวอย่าง  หลอดเลือดที่สามารถซ่อมแซมได้ด้วยวิธีเหล่านี้ คือ             -หลอดเลือดหัวใจ ในผู้ป่วยหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน             -หลอดเลือดสมอง (Carotid Artery หรือ Vertebral Artery) ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต             -หลอดเลือดไต ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หรือไตเสื่อม จากหลอดเลือดไตตีบ             -หลอดเลือดแขน ขาที่มีโรคหลอดเลือด เช่น ในผู้ป่วยที่ปวดขาเวลาเดิน หรือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเรื้อรัง    2.การตรวจและรักษาความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ ได้แก่             -การสร้างแผนภูมิของสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจระบบ 3 มิติ (Advance 3-D Mapping System)             -การจี้แก้ไขบริเวณที่เต้นผิดปกติด้วยคลื่นวิทยุ (Rediofrequency Ablation)             -การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ(Pacemaker)             -การฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ(Implantable Cardioverter Defibrillator)             -การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจสองห้องในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว(Cardiac Resynchronization Therapy)             Cath Lab ใช้ตรวจหรือรักษาอะไรได้บ้าง? การตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน (Coronary Angiography) การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (PCI or Stent) การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยการจี้ไฟฟ้า (Ablation) การใส่อุปกรณ์ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ (Pacemaker, ICD) การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของลิ้นหัวใจ หรือผนังกั้นหัวใจ การเจาะเยื่อหุ้มหัวใจ หรือระบายน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardiocentesis)   ใครบ้างที่ควรตรวจใน Cath Lab? ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ผู้ที่มีผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผิดปกติ ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (STEMI/NSTEMI) ผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจรั่ว/ตีบ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ที่สงสัยว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ป่วยที่ต้องการวางแผนผ่าตัดหัวใจ หรือประเมินภาวะแทรกซ้อน   จุดเด่นของ Cath Lab โรงพยาบาลวิภาวดี ✅ ห้องปฏิบัติการ Cath Lab ที่ทันสมัย พร้อมระบบถ่ายภาพรังสีแบบดิจิทัลความคมชัดสูง ✅ ทีมแพทย์โรคหัวใจเฉพาะทาง ที่มีประสบการณ์ในการสวนหัวใจและรักษาเฉียบพลัน ✅ ตรวจและรักษาได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน ✅ ปลอดภัยสูง ด้วยมาตรฐานการป้องกันการติดเชื้อและการดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด ✅ รองรับทั้งผู้ป่วยนอกและใน และสามารถรับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่นได้   ขั้นตอนการตรวจสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) แพทย์จะให้ข้อมูลและตรวจร่างกายเบื้องต้น รวมถึงประเมินความเสี่ยง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาเฉพาะที่บริเวณขาหนีบหรือข้อมือ แพทย์จะใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปในหลอดเลือด และฉีดสารทึบรังสี ภาพหลอดเลือดหัวใจจะแสดงบนหน้าจอเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและตัดสินใจรักษาได้ทันที หากพบหลอดเลือดตีบ แพทย์อาจทำการขยายด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (Stent) ทันที   ทำไมต้องสวนหัวใจที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีมีความพร้อมทั้งในด้านเครื่องมือทางการแพทย์และบุคลากร โดยห้อง Cath Lab ได้รับการออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล และมีการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การตรวจ วินิจฉัย ไปจนถึงการฟื้นตัวภายหลังการรักษา โดยเน้นความรวดเร็วและแม่นยำในการช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องการการดูแลเฉพาะทาง

การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง

การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง

Ultrasound คืออะไร? Ultrasound เป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงโดยให้ทรานส์ดิวเซอร์ ส่งคลื่น ultrasound กระทบกับผิว ต่อมหรือเนื้อเยื่อที่มีคุณสมบัติต่างกัน จะเกิดการสะท้อนกระเจิงของคลื่น และคลื่นที่สะท้อน กระเจิงกลับเข้าสู่ทรานส์ดิวเซอร์ (echo) จะถูกบันทึก ขยายและปรับแต่งก่อนส่งไปแสดงผลทางจอภาพ (display) ติดตามรายละเอียดได้ดังนี้ค่ะ คลื่นเสียงความถี่สูงสามารถใช้ตรวจส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ ส่วนหัว ใช้ตรวจเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เพื่อตรวจดูความผิดปกติในกระโหลกศีรษะ โดยตรวจผ่านกระหม่อมที่ยังไม่ปิด (open fontanelles)  ส่วนคอ ใช้ตรวจหาความผิดปกติและหารอยโรคของต่อมธัยรอยด์ , ต่อมน้ำลาย (salivary gland) , parotid gland , ก้อนในบริเวณคอ และใช้ตรวจเส้นเลือดแดง (carotid artery)  ส่วนอก ใช้ตรวจทรวงอก เพื่อดูน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid) หรือตรวจดูรอยโรค (lesions) ว่าเป็นเนื้อหรือน้ำติดกับผนังทรวงอก เช่น เนื้องอก ฯลฯ ช่องท้อง ใช้ตรวจดูความผิดปกติและหารอยโรคของอวัยวะภายในช่องท้องทั้งหมด (whole abdomen)   ส่วนอื่น ๆ  ใช้ตรวจเพื่อหาความผิดปกติและรอยโรคที่สงสัยในอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue) หรือ มีน้ำภายใน เช่น กล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจเต้านม ขา เส้นเลือดขนาดใหญ่และขนาดกลาง (Doppler) เพื่อดูความผิดปกติ ของเส้นเลือด , วัดความเร็วการไหลเวียนเส้นเลือด , ดูการอุดตันของเส้นเลือด ฯลฯ  การเตรียมตัวก่อนตรวจ ส่วนหัว สามารถตรวจได้ทันที โดยไม่ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจ แต่ในเด็กบางรายอาจต้องให้ Sedation ตามคำสั่งแพทย์ ส่วนคอและส่วนอก สามารถตรวจได้ทันที ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนการตรวจ ส่วนท้อง Upper Abdomen งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 - 8 ชั่วโมงก่อนการตรวจ ในเด็กให้งดอาหารหรือนม 1 มื้อ เพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะถุงน้ำดี ชัดเจน Lower Abdomen ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร (เว้นแต่แพทย์สั่ง) ก่อนถึงเวลานัดตรวจ 3 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำเปล่า 4-5 แก้ว และกั้นปัสสาวะไว้จนกว่าจะตรวจเสร็จ (ขณะทำต้องปวดปัสสาวะเต็มที่) ซึ่งจะทำให้สามารถเห็นมดลูกและอวัยวะบริเวณท้องน้อยชัดเจน Whole Abdomen งดอาหาร 6-8 ชั่วโมงก่อนตรวจ แต่ก่อนถึงเวลานัดตรวจ 3 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำเปล่า 4-5 แก้ว หลังจากนั้นงดดื่ม และกั้นปัสสาวะไว้จนกว่าจะตรวจเสร็จ (ขณะทำต้องปวดปัสสาวะเต็มที่) ส่วนอื่น ๆ สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนการตรวจ อัลตราซาวด์ตรวจอะไรได้บ้าง? การตรวจอัลตราซาวด์สามารถใช้ในหลายด้านของเวชศาสตร์ ดังนี้: อัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound): ตรวจตับ ไต ม้าม ถุงน้ำดี ตับอ่อน อัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง: ตรวจมดลูก รังไข่ ต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะ อัลตราซาวด์เต้านม (Breast Ultrasound): ตรวจหาก้อนหรือถุงน้ำในเต้านม อัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram): ประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ อัลตราซาวด์หลอดเลือด (Doppler): ตรวจการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือด อัลตราซาวด์ครรภ์ (Obstetric Ultrasound): ตรวจพัฒนาการของทารกในครรภ์ อัลตราซาวด์ต่อมไทรอยด์ หรือก้อนที่ผิวหนัง: ตรวจหาลักษณะของก้อนเนื้อหรือซีสต์ ข้อแนะนำ ควรงดน้ำและอาหาร (N.P.O. = Nothing Per Oral) อย่างน้อย 6-8 ชม. ก่อนการตรวจ(สำหรับเด็กเล็ก ให้งดนมเพียง 4 ชม.) เหตุที่ต้องงดน้ำ ก็เพราะว่าถ้าไม่มีอะไรถูกกลืนลงสู่หลอดอาหารแล้ว โอกาสที่อากาศจะผ่านสู่กระเพาะอาหารก็น้อยด้วย ซึ่งอากาศมีอิทธิพลต่อภาพอัลตราซาวนด์ ไม่ว่าจะมีอากาศอยู่ในส่วนใดของ Gastro-intestinal tract ก็ตาม ก็จะทำให้ขาดข้อมูลที่ต้องการบนภาพได้ และในกรณีที่ผู้ป่วยมี Bowel gas มาก วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ให้รอไปก่อน 2-3 ชม. เหตุที่ต้องงดอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาพลวงจากอาหารที่รับประทาน และอาหารที่มัน ๆ ยังทำให้ Gall bladder บีบตัวจนการตรวจ Gall bladder ทำได้ยาก Ultrasound ที่โรงพยาบาลวิภาวดีดีอย่างไร ✅ ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องฉีดสีหรือใช้รังสี ✅ ปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกวัย รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ ✅ ตรวจได้หลากหลายอวัยวะ ทั้งช่องท้อง หัวใจ สมอง หลอดเลือด และอื่น ๆ ✅ เครื่องมือทันสมัย ความละเอียดสูง ให้ภาพคมชัดแม้ในจุดที่มองเห็นยาก ✅ ผลตรวจวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ✅ สามารถใช้ในการติดตามผลการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะกับใครบ้าง? ผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือสงสัยโรคตับ ไต ถุงน้ำดี ผู้หญิงที่มีปัญหาประจำเดือน หรือสงสัยซีสต์ในมดลูกหรือรังไข่ ผู้ชายที่สงสัยต่อมลูกหมากโต หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการตรวจสุขภาพทารก ผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพหัวใจ หรือหลอดเลือด ผู้ที่มีก้อนผิดปกติบริเวณเต้านมหรือลำคอ ทำไมต้องตรวจอัลตราซาวด์ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการตรวจอัลตราซาวด์ด้วย เครื่องอัลตราซาวด์ดิจิทัลความละเอียดสูง โดยทีมแพทย์รังสีวินิจฉัย และแพทย์เฉพาะทางในแต่ละสาขา ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำมากยิ่งขึ้น พร้อมให้คำแนะนำในการวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณในระยะยาว

ระบบ PACS

ระบบ PACS

PACS PACS ย่อมาจากคำว่า Picture Archiving and Communication System คือ ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บรูปภาพ ทางการแพทย์( Medical Images) และรับ-ส่งข้อมูลภาพ ในรูปแบบ Digital โดย PACS ใช้การจัดการรับส่งข้อมูล ผ่านทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการส่งภาพข้อมูลตามมาตรฐาน DICOM แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ได้นำระบบ PACS มาใช้ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2549 ซึ่งการนำระบบ PACS มาใช้แทนระบบการถ่ายภาพที่ใช้ฟิล์มแบบเดิม ทำให้ลดขั้นตอนการทำงานลงเป็นอย่างมาก จึงทำให้สามารถให้บริการแก่ผู้มารับบริการได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ยกระดับการจัดเก็บภาพทางการแพทย์ด้วยระบบ PACS โรงพยาบาลวิภาวดีนำระบบ PACS (Picture Archiving and Communication System) เข้ามาใช้งานเพื่อพัฒนาระบบจัดเก็บภาพทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รองรับทั้งการเก็บภาพ การส่งต่อ และการวิเคราะห์ผลได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว โดยเฉพาะการจัดการภาพจากเครื่องมือวินิจฉัย เช่น X-ray, CT Scan, MRI, Ultrasound และการตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วยยุคใหม่ ระบบ PACS คืออะไร? PACS เป็นระบบจัดเก็บภาพทางการแพทย์ในรูปแบบดิจิทัล ที่ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลภาพถ่ายทางรังสีได้ทันทีผ่านระบบเครือข่ายภายในโรงพยาบาล ลดการใช้ฟิล์ม และเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา โดยไม่ต้องรอเอกสารหรือภาพฟิล์มแบบเดิม จุดเด่นของระบบ PACS ที่โรงพยาบาลวิภาวดี จัดเก็บและเรียกดูภาพได้อย่างรวดเร็ว: ทีมแพทย์สามารถเข้าถึงภาพถ่ายทางรังสีได้ทันทีจากทุกแผนกผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูล: ระบบ PACS มีการสำรองข้อมูลและจัดการข้อมูลด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง ภาพคมชัดระดับสูง: สนับสนุนการวินิจฉัยที่แม่นยำด้วยภาพความละเอียดสูง พร้อมฟังก์ชันซูมและปรับภาพได้หลากหลายมิติ ลดการใช้ฟิล์มและกระดาษ: ช่วยลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งต่อข้อมูลระหว่างแพทย์ได้สะดวก: ส่งผลตรวจและภาพประกอบการวินิจฉัยระหว่างแผนกหรือระหว่างโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ประโยชน์ต่อผู้รับบริการ รอผลรวดเร็วขึ้น: ลดเวลาในการส่งต่อภาพระหว่างแผนก ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้เร็ว ความแม่นยำในการวินิจฉัย: ภาพคมชัดและเข้าถึงข้อมูลเดิมได้ทันที ทำให้แพทย์มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการพิจารณา ลดการตรวจซ้ำ: ผู้ป่วยไม่ต้องรับการตรวจซ้ำจากการสูญหายของฟิล์มหรือเอกสาร สะดวกในการติดตามผลย้อนหลัง: สามารถดูภาพจากการตรวจครั้งก่อน ๆ ได้ง่าย เพื่อเปรียบเทียบและติดตามอาการอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้ในแผนกต่าง ๆ แผนกรังสีวิทยา แผนกศัลยกรรม แผนกอายุรกรรม แผนกหัวใจและหลอดเลือด แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู เทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกับ PACS RIS (Radiology Information System): ใช้ในการจัดการข้อมูลทางรังสีวิทยา EMR (Electronic Medical Record): เชื่อมโยงข้อมูลภาพกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้แพทย์เข้าถึงภาพและประวัติการรักษาได้จากจุดเดียว ความปลอดภัยและการดูแลข้อมูลผู้ป่วย โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง ระบบ PACS ที่ใช้งานได้รับการออกแบบให้มีการเข้ารหัสข้อมูลและการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยตามมาตรฐานสากล

การเอกซเรย์ฟันชนิดทั้งปาก (DENTAL PANORAMIC)

การเอกซเรย์ฟันชนิดทั้งปาก (DENTAL PANORAMIC)

การเอกซเรย์ฟันชนิดทั้งปาก (DENTAL PANORAMIC) เป็นการตรวจทางรังสีของฟันและช่องปาก โดยการถ่ายภาพทางรังสีฟันครบทั้ง 32 ซี่ เพื่อดูความผิดปกติของฟันและช่องปาก การเอกซเรย์ฟันชนิดทั้งปาก (DENTAL PANORAMIC) เป็นการตรวจทางรังสีของฟันและช่องปาก โดยการถ่ายภาพทางรังสีฟันครบทั้ง 32 ซี่ เพื่อดูความผิดปกติของฟันและช่องปาก  PANORAMIC เป็นการถ่ายภาพทางรังสีของฟันในทางตรง โดยให้รังสีผ่านจากทางด้านซ้าย มาสู่ทางด้านขวา เพื่อดูความผิดปกติของเหงือกและฟัน  LATERAL CEPHALOGRAM  เป็นการถ่ายภาพทางรังสีของฟันในท่าด้านข้าง เพื่อดูความผิดปกติของเหงือกและฟัน การตรวจสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันปัญหาร้ายแรงในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อมีอาการผิดปกติที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ฟันคุด การติดเชื้อในกระดูก หรือโรคเหงือก การตรวจเอกซเรย์ฟันแบบพาโนรามา (Panoramic Dental X-ray) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี เราใช้เทคโนโลยีเอกซเรย์ฟันแบบพาโนรามาระดับสูง ซึ่งสามารถแสดงภาพรวมของกระดูกขากรรไกรทั้งบนและล่าง เหงือก และฟันทุกซี่ได้ในภาพเดียว ช่วยให้ทันตแพทย์วินิจฉัยโรคได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จุดเด่นของการตรวจ Panoramic Dental X-ray ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ✅ ตรวจได้ครอบคลุมในภาพเดียว เทคโนโลยีนี้สามารถแสดงโครงสร้างทั้งหมดของขากรรไกรในมุมมอง 180 องศา ช่วยให้เห็นฟันซี่ที่ยังไม่โผล่ ฟันคุด การผิดแนวของฟัน และกระดูกขากรรไกร ✅ ลดการได้รับรังสี เครื่องเอกซเรย์รุ่นใหม่ให้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการเอกซเรย์แบบเดิม เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย รวมถึงผู้ที่ต้องเอกซเรย์ซ้ำหลายครั้ง ✅ ใช้เวลาไม่นาน ไม่เจ็บ การตรวจใช้เวลาเพียง 10–15 นาที โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใส่ในปาก จึงสะดวกและไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัด ✅ รองรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา เหมาะสำหรับการวางแผนรักษาในกรณีจัดฟัน ถอนฟันคุด ฝังรากฟันเทียม หรือการผ่าตัดในช่องปาก การนำเทคโนโลยี Panoramic Dental X-ray ไปใช้ในแผนการรักษา เทคโนโลยีนี้สามารถใช้ได้ในหลายแผนการรักษา เช่น การตรวจสอบฟันคุด ที่ยังไม่โผล่และอาจก่อให้เกิดการอักเสบในอนาคต การวางแผนจัดฟัน เพื่อให้เห็นตำแหน่งของรากฟันและโครงสร้างขากรรไกร การประเมินสภาพกระดูกก่อนฝังรากฟันเทียม การตรวจหาก้อนเนื้อหรือซีสต์ในกระดูกขากรรไกร การติดตามการรักษาโรคเหงือก หรือภาวะสูญเสียมวลกระดูก ขั้นตอนการเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลวิภาวดี เข้ารับการประเมินจากทันตแพทย์ เพื่อพิจารณาความจำเป็นในการเอกซเรย์ เข้าห้องเอกซเรย์ โดยเจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ยืนหรือนั่งในตำแหน่งที่เหมาะสม การเอกซเรย์ใช้เวลาไม่นาน ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บหรืออึดอัด รอผลวิเคราะห์ ที่จะแสดงภาพฟันและขากรรไกรชัดเจนภายในเวลาอันรวดเร็ว ทำไมต้องตรวจเอกซเรย์ฟันแบบพาโนรามาที่โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการโดยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลความละเอียดสูง ผลตรวจรวดเร็ว พร้อมแปลผลโดยทันตแพทย์ ได้รับการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยในทุกขั้นตอน คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q: การเอกซเรย์ฟันแบบพาโนรามาเจ็บไหม? A: ไม่เจ็บเลย การเอกซเรย์จะใช้เครื่องหมุนรอบศีรษะโดยไม่ต้องใส่อุปกรณ์ในปาก Q: ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถตรวจได้หรือไม่? A: โดยทั่วไปไม่แนะนำหากไม่จำเป็น ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น Q: ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนเอกซเรย์? A: ถอดโลหะบริเวณศีรษะ เช่น ต่างหู แว่นตา หรือเครื่องประดับก่อนเข้ารับการตรวจ

เอกซเรย์เต้านม (Mammogram)

เอกซเรย์เต้านม (Mammogram)

ปัจจุบันโรคมะเร็งในสตรีสำหรับประเทศไทย พบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูก และมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นทุกปี ทำไมต้องตรวจเอกซเรย์เต้านม? มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของผู้หญิงไทย รองจากมะเร็งปากมดลูก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี การตรวจคัดกรองด้วย เอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ ความสำคัญของการตรวจ Mammogram การตรวจแมมโมแกรมคือการเอกซเรย์เต้านมโดยตรง เพื่อค้นหาก้อนเนื้อ หรือความผิดปกติที่ยังไม่สามารถคลำได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี เคยมีประวัติมะเร็งเต้านม ประจำเดือนมาเร็ว หรือหมดช้า มีญาติสายตรง (แม่ พี่สาว น้องสาว ลูกสาว) เป็นมะเร็งเต้านม ไม่มีบุตร หรือมีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปี ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ ได้รับรังสีบริเวณหน้าอกบ่อยครั้ง ดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อายุน้อย ใช้ยาคุมกำเนิดนานกว่า 4 ปี ก่อนตั้งครรภ์ ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน ให้นมบุตรรวมกันน้อยกว่า 3 เดือน วิธีป้องกันมะเร็งเต้านม ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันที่เฉพาะเจาะจง ทางที่ดีที่สุดคือ “การตรวจคัดกรอง” เพื่อค้นหาในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ แนวทางการตรวจคัดกรองที่แนะนำ สำหรับสตรีทั่วไป อายุ 20–40 ปี: ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน, ตรวจโดยแพทย์ทุก 3 ปี อายุ 40 ปีขึ้นไป: ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน, ตรวจโดยแพทย์ปีละครั้ง และทำแมมโมแกรมทุก 1–2 ปี สำหรับสตรีกลุ่มเสี่ยง ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน ตรวจโดยแพทย์ทุกปี ถ่ายภาพแมมโมแกรมทุก 1–2 ปี ตามคำแนะนำแพทย์ การเตรียมตัวก่อนตรวจเอกซเรย์เต้านม งดเครื่องดื่มหรือยาที่มีคาเฟอีนก่อนตรวจ ห้ามใช้แป้ง โลชั่น หรือสเปรย์ระงับกลิ่นตัวบริเวณหน้าอกและรักแร้ เนื่องจากอาจส่งผลต่อภาพเอกซเรย์ ตรวจแมมโมแกรมควบคู่กับอัลตร้าซาวด์ ในกรณีที่ภาพเอกซเรย์ไม่ชัดเจน แพทย์อาจแนะนำให้ทำ อัลตร้าซาวด์เต้านม (Breast Ultrasound) เพื่อแยกความแตกต่างระหว่าง ก้อนเนื้อ (solid mass) กับ ถุงน้ำ (cystic mass) ❗ หมายเหตุ: อัลตร้าซาวด์ไม่สามารถใช้ตรวจ microcalcification ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกมะเร็งระยะเริ่มต้นได้ จุดเด่นของการตรวจ Mammogram ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ใช้เครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิทัลคุณภาพสูง ภาพคมชัด ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำ ลดการใช้รังสีเมื่อเทียบกับเครื่องรุ่นเก่า แพทย์รังสีผู้ชำนาญการให้คำแนะนำอย่างละเอียด เชื่อมต่อกับระบบ PACS เพื่อเก็บภาพและประวัติการตรวจอย่างปลอดภัย คำถามที่พบบ่อย (FAQ) Q: ตรวจแมมโมแกรมเจ็บไหม? A: อาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายเล็กน้อยช่วงกดเต้านม แต่ใช้เวลาไม่นานและไม่เป็นอันตราย Q: ควรตรวจช่วงไหนของรอบเดือน? A: แนะนำให้ตรวจช่วง 7–10 วันหลังหมดประจำเดือน ซึ่งเต้านมจะไม่บวมหรือเจ็บ Q: ใช้เวลานานไหมกว่าจะรู้ผล? A: โดยทั่วไปสามารถทราบผลภายใน 1–2 วันทำการ