การตรวจ MRI สมองคือการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ เพื่อสร้างภาพรายละเอียดของสมองและโครงสร้างภายในศีรษะอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องใช้รังสีเอกซเรย์ จุดเด่นของการทำ MRI สมอง มีดังนี้ ตรวจพบความผิดปกติได้เร็ว ไม่ใช้รังสีในการตรวจ ภาพที่ได้มีความคมชัดสูง วินิจฉัยรอยโรคบางชนิดได้ดีกว่าเครื่องมืออื่น สามารถตรวจอวัยวะหรือระบบต่างๆ ได้หลากหลาย หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท ควรได้รับการตรวจ MRI สมอง เช่น วิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน คลื่นไส้อาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการหูอื้อหรือการได้ยินลดลง ชักเกร็ง หมดสติ ใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือรู้สึกชา พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มุมปากตก ราคา MRI สมองอยู่ที่ประมาณ 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและความซับซ้อน บางแพ็กเกจรวมค่าแพทย์และค่าบริการแล้ว อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มหากตรวจหรือรักษาเพิ่ม การตรวจ MRI เป็นหนึ่งในวิธีวินิจฉัยที่สำคัญสำหรับการประเมินสุขภาพสมองและระบบประสาท การตรวจวินิจฉัยวิธีนี้ช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ และสามารถวางแผนการรักษาหาความผิดปกติของสมองและระบบประสาทได้อย่างตรงจุด เกิดประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับการตรวจ MRI สมองให้มากขึ้น พร้อมข้อมูลราคาค่าใช้จ่ายโดยประมาณ และขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการทำ MRI สมอง MRI สมองคืออะไร การตรวจ MRI สมอง (Magnetic Resonance Imaging) คือการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ เพื่อสร้างภาพรายละเอียดของสมองและโครงสร้างภายในศีรษะอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องใช้รังสีเอกซเรย์ ภาพที่ได้จะสามารถแยกแยะเนื้อเยื่อ เส้นเลือด และอวัยวะต่างๆ ในสมองได้อย่างละเอียด ช่วยให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติหรือหาสาเหตุของอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ชัก หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ได้อย่างแม่นยำ การตรวจนี้ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด และไม่มีผลข้างเคียงจากรังสีตกค้าง จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเหมาะสำหรับการวินิจฉัยในระยะยาว หลักการทำงานของ MRI เป็นอย่างไร การทำงานของ MRI สมอง ใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงเพื่อจัดเรียงโปรตอนในเนื้อเยื่อสมอง จากนั้นส่งคลื่นวิทยุไปกระตุ้นโปรตอน เมื่อโปรตอนกลับสู่สถานะเดิมจะปล่อยสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เครื่อง MRI จะรับสัญญาณนี้และประมวลผลเป็นภาพสมองที่มีความละเอียดสูง ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยความผิดปกติได้โดยไม่ใช้รังสี ความสำคัญของการทำ MRI สมอง การทำ MRI สมองมีความสำคัญอย่างมากต่อการรักษา เพราะช่วยตรวจหาความผิดปกติในสมอง เช่น เนื้องอก เลือดออก หรือหลอดเลือดโป่งพองได้ชัดเจน ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว นอกจากนี้ MRI ยังช่วยวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง สมองขาดเลือด และโรคทางระบบประสาทต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองและร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้รังสีที่เป็นอันตราย จุดเด่นของการทำ MRI สมอง ตรวจพบความผิดปกติได้รวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินขอบเขตของโรคหรือพยาธิสภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เพื่อวางแผนการรักษาได้ตรงจุดและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ไม่ใช้รังสีในการตรวจ MRI ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสร้างภาพ จึงไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการตรวจด้วยวิธีที่ใช้รังสี เช่น หญิงตั้งครรภ์ (ในบางกรณี) หรือผู้ป่วยที่ต้องตรวจซ้ำหลายครั้ง สามารถตรวจอวัยวะและระบบต่างๆ ได้หลากหลาย ไม่เพียงแค่สมองเท่านั้น แต่ยังใช้ตรวจหัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูก ไขสันหลัง และหลอดเลือดได้อีกด้วย ลดความเสี่ยงจากการใช้สารฉีดหรือการสวนสาย ในหลายกรณีไม่จำเป็นต้องฉีดสารทึบรังสีหรือสวนสายยางเข้าร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากขึ้น และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อน ภาพคมชัด แยกแยะเนื้อเยื่อได้ชัดเจน การสแกนด้วย MRI ให้ภาพความละเอียดสูง และสามารถมองเห็นในหลายระนาบ (Multi-Planar Imaging) ส่งผลให้แพทย์สามารถแยกความแตกต่างของเนื้อเยื่อและสิ่งผิดปกติในสมองได้อย่างแม่นยำ วินิจฉัยรอยโรคบางชนิดได้ดีกว่าเครื่องมืออื่น เช่น การตรวจหาเนื้องอกในตับ หรือรอยโรคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจาก CT Scan หรือการเอกซเรย์ทั่วไป ความเสี่ยงจากการแพ้สารต้านแม่เหล็กมีน้อยมาก ในกรณีที่ต้องใช้สารช่วยสร้างภาพร่วมกับ MRI โอกาสในการเกิดอาการแพ้นั้นน้อยกว่าการใช้สารทึบรังสีใน CT Scan หรือ X-ray อย่างเห็นได้ชัด ใครควรรับการตรวจ MRI สมอง อาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับสมองและระบบประสาทมีหลายลักษณะ ซึ่งบางอาการอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของความผิดปกติภายในสมอง หากมีอาการดังกล่าว ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการตรวจด้วย MRI สมอง มีอาการดังนี้ วิงเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน รู้สึกเสียการทรงตัว หรือมีอาการเซบ่อยครั้ง คลื่นไส้ อาเจียน โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด มีอาการหูอื้อหรือการได้ยินลดลง ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นไม่ชัดในบางช่วงเวลา เดินลำบาก เดินเซ หรือควบคุมการเคลื่อนไหวได้ไม่ดี ชักเกร็ง หมดสติ ความจำเสื่อม หรือมีอาการคล้ายโรคลมชัก ใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือรู้สึกชา เช่น ยิ้มไม่สุด หลับตาไม่ได้ หรือยกคิ้วไม่ขึ้น พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มุมปากตก น้ำลายไหล กลืนอาหารหรือน้ำลำบาก ลิ้นแข็งหรือชา ขั้นตอนการสแกนสมองด้วย MRI หากตัดสินใจรับการตรวจสแกนสมองด้วย MRI เพื่อหาความผิดปกติของสมองและระบบประสาท มีขั้นตอนการตรวจและเตรียมตัว ดังนี้ เตรียมตัวก่อนเข้าตรวจ ก่อนเข้าตรวจ MRI สมอง ควรถอดเครื่องประดับและสิ่งของที่มีโลหะทั้งหมด รวมถึงงดแต่งหน้าเพราะเครื่องสำอางบางชนิดอาจมีส่วนผสมของโลหะ ซึ่งอาจรบกวนภาพการตรวจได้ ควรสวมเสื้อผ้าที่สบายและถอดง่าย ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหารในกรณีทั่วไป ยกเว้นกรณีได้รับยานอนหลับต้องงดน้ำและอาหาร 4-6 ชั่วโมงก่อนตรวจ ผู้ป่วยควรทำใจให้สงบและนอนนิ่งระหว่างการตรวจ โดย MRI สมองจะใช้เวลาตรวจประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี ระหว่างการตรวจ ระหว่างการตรวจ MRI สมอง ผู้ป่วยต้องนอนนิ่ง หลีกเลี่ยงการขยับเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนและแม่นยำ เจ้าหน้าที่จะให้ใส่ฟองน้ำอุดหูหรือตัวป้องกันเสียง เนื่องจากเครื่องจะมีเสียงดังเป็นระยะๆ และอาจมีบางช่วงที่ต้องกลั้นหายใจ หากรู้สึกไม่สบายสามารถกดลูกยางฉุกเฉินเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที หลังการตรวจ หลังการตรวจ MRI สมอง ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับยานอนหลับหรือยาคลายกังวล ซึ่งควรมีญาติหรือผู้ดูแลมารับ และหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้อุปกรณ์ที่ต้องใช้สมาธิภายใน 24 ชั่วโมงแรก หากมีการฉีดสารทึบแสงร่วมในการตรวจ ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ขับสารดังกล่าวออกจากร่างกายเร็วขึ้น พร้อมทั้งสังเกตอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นคัน หรืออาการแพ้อื่นๆ หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที สำหรับผลการตรวจ MRI แพทย์จะนัดหมายเพื่อแจ้งผลและให้คำแนะนำเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและความเร่งด่วนของแต่ละกรณี ค่าใช้จ่ายราคา MRI สมอง ในการตรวจ MRI สมอง ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล รายละเอียดการตรวจ และความซับซ้อนของแต่ละกรณี เช่น การใช้สารทึบแสงร่วมในการทำ MRI สมองจะมีราคาเพิ่มประมาณ 2,500 บาท แต่การสแกนสมองสำหรับ MRI ราคาในแต่ละแห่งมีโปรโมชันลดราคาประมาณ 2-30% และบางแพ็กเกจรวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลไว้แล้ว ในขณะที่บางแห่งอาจมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้แยกต่างหาก นอกจากนี้หากต้องตรวจเพิ่มเติมหรือรักษาเฉพาะทาง อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมา ผู้ป่วยควรสอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าเพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม ตรวจสแกนสมองด้วย MRI ที่โรงพยาบาลวิภาวดี การทำ MRI สมองกับโรงพยาบาลวิภาวดีเพื่อหาความผิดปกติของสมองและระบบประสาท เริ่มต้นด้วยการซักประวัติ แล้วแพทย์ผู้ชำนาญการจะทำการวินิจฉัย และเตรียมตัวทำ MRI หลังจากทำเสร็จแล้ว แพทย์จะทำการวิเคราะห์ อ่านผลที่ได้ นำไปวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล หากสนใจติดต่อนัดหมายล่วงหน้าหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-058-1111 หรือ 02-561-1111 ต่อ 1214 สรุป การตรวจ MRI สมองคือการวินิจฉัยที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ สร้างภาพโครงสร้างสมองอย่างละเอียดโดยไม่ใช้รังสี ช่วยให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติ เช่น เนื้องอก สมองขาดเลือด หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงได้แม่นยำ จุดเด่นของ MRI คือความปลอดภัย ภาพคมชัด และไม่เจ็บตัว เหมาะกับผู้มีอาการเวียนศีรษะ ชัก อ่อนแรง หรือสงสัยโรคทางสมอง โดยขั้นตอนตรวจใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ส่วนค่าใช้จ่าย MRI สมองราคาจะอยู่ระหว่าง 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและความซับซ้อนของการตรวจ สำหรับใครที่ต้องการตรวจหาความเสี่ยงเกี่ยวกับอาการทางสมองและระบบประสาทด้วย MRI ที่โรงพยาบาลวิภาวดีสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท มีบริการตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษา ทำ MRI และอ่านผลประกอบการรักษาภายใต้การดูแลของทีมแพทย์โดยเฉพาะ เพื่อสุขภาพที่ดี คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ MRI สมอง (FAQ) มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ MRI สมอง ว่าเป็นอย่างไร กับคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบที่ช่วยให้เข้าใจกระบวนการรักษา การตรวจได้ดีขึ้น เพื่อการเตรียมตัวอย่างถูกวิธี โดยคำถามที่พบบ่อยมีดังนี้ MRI ต่างกับ CT Scan อย่างไร MRI สามารถแสดงภาพเนื้อเยื่อได้อย่างละเอียดและแม่นยำ ช่วยให้ตรวจพบและจำแนกความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก ส่วนการตรวจ CT เหมาะสำหรับวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น เนื้องอกในสมอง สมองขาดเลือด โรคหัวใจและหลอดเลือด ตรวจหมอนรองกระดูก เส้นประสาทไขสันหลัง และกระดูกสันหลังผิดปกติ การทำ MRI จำเป็นต้องฉีดสีไหม โดยทั่วไป การตรวจ MRI สมองไม่จำเป็นต้องฉีดสี ยกเว้นในกรณีที่แพทย์ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ตรวจดูเส้นเลือดหรือวินิจฉัยก้อนเนื้อในสมอง ซึ่งการฉีดสารจะช่วยให้เห็นรายละเอียดชัดเจนขึ้น ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาและดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วยก่อนตรวจทุกครั้ง ข้อเสียของการตรวจด้วย MRI มีอะไรบ้าง การตรวจด้วย MRI มีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย และการตรวจด้วย MRI เป็นวิธีที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน อาจก่อให้เกิดปัญหาในการตรวจ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการกลัวที่แคบ (Claustrophobia) ไม่สามารถนอนในอุโมงค์ของเครื่อง MRI ได้ เด็กเล็กที่ไม่สามารถอยู่นิ่งนานพอสำหรับการตรวจ ผู้ป่วยบางรายต้องกลั้นหายใจขณะตรวจอวัยวะบางส่วน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก การตรวจบางอวัยวะหรือโรคบางชนิดจำเป็นต้องสแกนหลายครั้งจากหลายมุม เพื่อให้ได้ภาพที่ครบถ้วน ส่งผลให้เวลาในการตรวจยืดออกไป
Low Dose CT คือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการตรวจแบบมาตรฐาน ช่วยลดการรับรังสีของร่างกายลง แต่ยังคงให้ภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอต่อการวินิจฉัย มักถูกใช้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ประโยชน์ของ CT Low Dose ได้แก่ ใช้ปริมาณรังสีต่ำ ใช้เวลาในการตรวจน้อย มีผลข้างเคียงน้อย ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด ขั้นตอนการตรวจ CT Low Dose เริ่มจากหลีกเลี่ยงใส่วัตถุโลหะและไม่มีการฉีดสารทึบรังสี ตามด้วยการตรวจผ่านเครื่อง CT Low Dose ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที และวินิจฉัยผลตรวจโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป CT Low Dose เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยป่วยหรือเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะหรือสารเคมีสูง รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่จัด CT Low Dose เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์รูปแบบใหม่ที่ช่วยลดปริมาณรังสีที่ผู้รับการตรวจมะเร็งปอดได้รับลงไป ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถคัดกรองโรคมะเร็งในระยะแรกที่ยังไม่แสดงอาการได้ โดยบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ CT Low Dose ให้มากขึ้น พร้อมขั้นตอนการรักษาและเตรียมตัวก่อนหลังตรวจ ทำความรู้จักกับ CT Low Dose คืออะไร Low Dose CT คือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการตรวจแบบมาตรฐาน จุดเด่นคือช่วยลดการรับรังสีของร่างกายลง แต่ยังคงให้ภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอต่อการวินิจฉัย ทำให้ผู้รับการตรวจไม่ต้องกังวลเรื่องผลกระทบจากรังสีมากเกินไป CT Low Dose มักถูกใช้ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด โดยจะทำการถ่ายภาพภายในทรวงอกขณะที่ผู้เข้ารับการตรวจนอนนิ่งบนเครื่อง ภาพที่ได้จะถูกนำมาประมวลผลอย่างละเอียด สามารถแสดงอวัยวะภายในและตรวจพบความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคมะเร็งได้ ประโยชน์ของ CT Low Dose ต่อการรักษา ใช้ปริมาณรังสีต่ำ ลดความเสี่ยงจากรังสีเมื่อเทียบกับ CT ปกติ ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด ได้อย่างมีประสิทธิภาพในกลุ่มเสี่ยง ผลข้างเคียงน้อย ไม่ต้องฉีดสารทึบแสง ลดความเสี่ยงจากการแพ้สารทึบแสง รวดเร็วและสะดวก ใช้เวลาตรวจสั้น (ประมาณ 5-10 นาที) ไม่ต้องงดน้ำงดอาหารหรือเตรียมตัว ไม่เจ็บตัว เป็นการตรวจที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ทำให้เจ็บปวด ตรวจพบมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นได้ชัดเจน และเร็วกว่าการเอกซเรย์ปอดแบบทั่วไป เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด CT Low Dose เหมาะสำหรับใครบ้าง มีอาการไอเรื้อรังติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ เป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มีประวัติการสูบบุหรี่จัดต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีสมาชิกในครอบครัวเคยป่วยหรือเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะหรือสารเคมีสูง เช่น พื้นที่ก่อสร้าง โรงงานโม่หิน งานที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นละออง หรือสารพิษ มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ข้อควรรู้ของการตรวจด้วย CT Low Dose หากพบความผิดปกติในผลตรวจ ไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็ง แต่จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญการแปลผล พร้อมให้คำแนะนำหรือแนวทางการรักษาอย่างเหมาะสม ผลตรวจในปัจจุบัน ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าความผิดปกติที่พบจะไม่พัฒนาไปเป็นมะเร็งในอนาคต หรือไม่มีจุดใหม่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องตรวจติดตามผลอย่างต่อเนื่องตามดุลยพินิจของแพทย์ แม้ผลตรวจจะออกมา “ปกติ” แต่หากยังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น เคยสูบบุหรี่หรือทำงานในสภาพแวดล้อมเสี่ยง แนะนำให้ตรวจ CT Low Dose ซ้ำทุก 1–2 ปี เพื่อเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนการตรวจ CT Low Dose ก่อนเข้ารับการตรวจด้วย CT Low Dose แพทย์จะทำการประเมินความเสี่ยงและอธิบายขั้นตอนการรักษาอย่างชัดเจน โดยขั้นตอนการตรวจมีดังนี้ เตรียมตัวก่อนเข้าตรวจ ในการตรวจด้วย CT Low Dose ผู้เข้ารับการตรวจหลีกเลี่ยงการสวมใส่วัตถุที่มีโลหะ เช่น ต่างหู สร้อยคอ หรือแหวน ในวันที่เข้ารับการตรวจ เนื่องจากโลหะอาจเข้าไปรบกวนกระบวนการฉายรังสีได้ หากกำลังตั้งครรภ์หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ผู้ทำการฉายรังสีทราบก่อนเข้าตรวจทันทีเพื่อความปลอดภัย โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT Low Dose ไม่จำเป็นต้องฉีดสารทึบรังสี ทำให้กระบวนการตรวจปลอดภัย ไม่เจ็บตัว และดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างการตรวจ ผู้เข้ารับการตรวจจะนอนหงายบนเตียงที่สามารถเลื่อนเข้าออกได้ โดยทั่วไปนักรังสีวิทยาอาจขอให้ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับสูดหายใจเข้าและกลั้นหายใจชั่วขณะ เตียงจะค่อยๆ เคลื่อนผ่านเครื่อง ซึ่งจะปล่อยลำแสงเอกซเรย์หมุนวนรอบลำตัวแบบเป็นเกลียว เพื่อเก็บข้อมูลภาพของปอดอย่างละเอียด การตรวจใช้เวลาเพียงประมาณ 2-3 นาที ภาพที่ได้จะถูกประมวลผลเป็นภาพสามมิติ (3D) ซึ่งรังสีแพทย์จะใช้ในการวิเคราะห์และตรวจหาความผิดปกติภายในปอดต่อไป หลังการตรวจ หลังจากการตรวจเสร็จสิ้น นักรังสีวิทยาจะส่งผลการตรวจให้แพทย์เป็นผู้อธิบายผลโดยละเอียด พร้อมให้คำแนะนำในขั้นตอนถัดไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้การตรวจด้วย Low-Dose CT Scan มีความสามารถในการตรวจพบมะเร็งปอดชนิดที่เติบโตเร็วได้ดี แต่ในบางกรณี เช่น มะเร็งที่แสดงลักษณะเป็นฝ้าจาง (Ground-glass Nodule) อาจตรวจไม่พบชัดเจน จึงจำเป็นต้องมีการติดตามอาการและประเมินร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างใกล้ชิด ผลตรวจ CT Low Dose บอกอะไรบ้าง ผลตรวจ CT Low Dose สามารถแสดงออกมาเป็น 3 ประเภทหลัก โดยแต่ละประเภทมีความหมายและแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน ได้แก่ Positive (ผลบวก) หมายถึงพบความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อหรือตำแหน่งที่น่าสงสัย แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น การสแกนซ้ำ การตัดชิ้นเนื้อตรวจ เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง Negative (ผลลบ) หมายถึงไม่พบความผิดปกติในปอด หากคุณยังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่องทุก 1-2 ปี Indeterminate (ผลไม่ชัดเจน) หมายถึงผลที่ได้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด อาจเกิดจากภาพยังไม่ชัดเพียงพอหรือก้อนที่พบยังไม่สามารถวินิจฉัยได้แน่นอน แพทย์อาจแนะนำให้ติดตามผลด้วยการตรวจซ้ำในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT Low Dose ที่โรงพยาบาลวิภาวดี การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้รู้ตัวเร็ว สามารถรับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว โดยเข้ารับการตรวจด้วย CT Low Dose ที่โรงพยาบาลวิภาวดี แพทย์ผู้ชำนาญการจะเริ่มจากการซักประวัติคร่าวๆ ก่อนทำการตรวจหามะเร็งปอดด้วย CT Low Dose ที่เป็นการฉายรังสีที่มีปริมาณรังสีต่ำ ผลข้างเคียงน้อย ไม่เจ็บตัว วินิจฉัยผลอย่างละเอียด และมีค่าใช้จ่ายในการทำ CT Low Dose ในราคาประมาณ 4,000-6,000 บาท สามารถติดต่อสอบถามได้ที่แผนกรังสีวินิจฉัย โทร. 0-2561-1111 ต่อ 2021-2022 สรุป CT Low Dose คือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการตรวจแบบทั่วไป ช่วยลดความเสี่ยงจากรังสี แต่ยังได้ภาพที่คมชัดเพียงพอต่อการวินิจฉัย โดยเฉพาะการคัดกรองมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นที่อาจยังไม่แสดงอาการ การตรวจใช้เวลาสั้น ไม่ต้องเตรียมตัวซับซ้อน และไม่เจ็บตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูบบุหรี่หรือผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หากพบสิ่งผิดปกติ อาจไม่ได้หมายถึงเป็นมะเร็งเสมอไป แต่ควรติดตามกับแพทย์อย่างใกล้ชิด ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT Low Dose สามารถเข้ารับการตรวจได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกได้ที่แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมด้วยแพทย์ผู้ชำนาญการคอยให้คำปรึกษาถึงกระบวนการทำ ไปจนถึงการวินิจฉัยหลังทำ Low Dose CT ในราคาที่ครอบคลุมการตรวจ วินิจฉัยหาความผิดปกติ เพื่อการรักษาและดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CT Low Dose (FAQ) ในกระบวนการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT Low Dose อาจมีข้อสงสัยบางประการ วันนี้ได้รวบรวมคำถามและคำตอบที่ช่วยให้เข้าใจ CT Low Dose มากขึ้นมาฝากกัน CT Low Dose กับ CT Scan ธรรมดา ต่างกันอย่างไร การสแกนด้วย Low Dose CT ใช้รังสีน้อยกว่าการสแกน CT ทั่วไป แต่ยังคงให้ภาพที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการวินิจฉัย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตรวจคัดกรองโรคบางประเภท เช่น มะเร็งปอด โดยช่วยลดความเสี่ยงจากการรับรังสี ในขณะที่ยังสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ค่าใช้จ่ายในการทำ CT Low Dose ราคาเท่าไร ค่าใช้จ่ายในการตรวจ CT Low Dose ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 2,500-6,900 บาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันและแพ็กเกจที่เลือก โดยราคานี้รวมทั้งค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับความสะดวกและความคุ้มค่าในการตรวจคัดกรอง ตรวจด้วย CT Low Dose ใช้เวลานานไหม การตรวจด้วย CT Low Dose ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที เท่านั้นในขณะนอนบนเตียงตรวจในเครื่อง CT Scan โดยผู้รับการตรวจอาจต้องกลั้นหายใจสั้นๆ ประมาณ 15-20 วินาทีในระหว่างการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นการตรวจที่รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
กล้อง Fundus Camera คือเครื่องมือที่ถ่ายภาพในดวงตา โดยเฉพาะจอประสาทตา ขั้วประสาทตา และหลอดเลือดในดวงตา ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจหาความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาได้อย่างรวดเร็ว การตรวจด้วย Fundus Camera เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเบาหวานขึ้นตา จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ต้อหิน ภาวะจอตาฉีกหรือหลุดลอก หลอดเลือดที่ตาผิดปกติ รวมถึงผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคทางจอประสาทตา และผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพตา ประโยชน์ของการตรวจจอประสาทตาด้วย Fundus Camera ได้แก่ ช่วยถ่ายภาพจอประสาทตาความละเอียดสูง เห็นโครงสร้างชัดเจน ตรวจพบโรคตาได้ตั้งแต่ระยะแรก รวมถึงใช้เปรียบเทียบและติดตามความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ขั้นตอนการตรวจจอประสาทตา เริ่มด้วยการหยอดยาขยายม่านตา ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ตามด้วยการถ่ายภาพด้วยกล้อง Fundus Camera ผู้ป่วยวางคางและหน้าผากเข้ากับเครื่อง จากนั้นแพทย์จะทำการถ่ายภาพภายในลูกตาและทำการวินิจฉัยความผิดปกติ สุขภาพดวงตาเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การตรวจจอประสาทตาอย่าง Fundus Camera กลายเป็นทางเลือกในการรักษาดวงตาที่ได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยและป้องกันโรคตาหลายชนิด โดยเครื่องมือชนิดนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในจอประสาทตาอย่างชัดเจน มาทำความรู้จักกับเครื่อง Fundus Camera ให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพตาที่ดี Fundus Camera คืออะไร กล้อง Fundus Camera คือเครื่องมือที่ใช้ถ่ายภาพภายในดวงตา โดยเฉพาะบริเวณจอประสาทตา ขั้วประสาทตา และหลอดเลือดในดวงตา ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างของจอประสาทตาอย่างละเอียดและตรวจหาความผิดปกติ เช่น จอประสาทตาหลุดลอก หรือเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้อย่างแม่นยำ โดยเป็นขั้นตอนที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด ทำไมต้องตรวจจอประสาทตา ตรวจคัดกรองโรคดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นจอประสาทตา และภาวะความดันตาสูง ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาว ขั้นตอนการตรวจ Fundus Camera ใช้เวลาไม่นาน รวดเร็ว ไม่เจ็บตัว สามารถตรวจพบความผิดปกติก่อนผู้ป่วยมีอาการ ทำให้การรักษามีโอกาสประสบผลสำเร็จมากขึ้น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ คนที่ญาติเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยเบาหวาน หรือคนที่มีสายตาสั้นมาก ควรได้รับการตรวจจอประสาทตาเป็นประจำเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ประโยชน์ของการตรวจจอประสาทตาด้วย Fundus Camera ช่วยถ่ายภาพความละเอียดสูงในส่วน Fundus Eye คือส่วนจอประสาทตา ขั้วประสาทตา และหลอดเลือดภายในตา ทำให้เห็นโครงสร้างและความผิดปกติได้ชัดเจน สามารถตรวจพบโรคตาต่างๆ ในระยะแรก เช่น เบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ และจอประสาทตาหลุดลอก ช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงของโรคตาที่เป็นอยู่ได้อย่างแม่นยำ เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม เป็นการตรวจที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด ไม่ต้องใช้การหยอดยาขยายม่านตา ทำให้ผู้รับการตรวจสามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อได้ทันทีหลังตรวจ เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจคัดกรองผู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้สูงอายุ หรือผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตา ช่วยเก็บบันทึกภาพจอประสาทตาเพื่อเปรียบเทียบและติดตามความเปลี่ยนแปลงในอนาคต การตรวจด้วย Fundus Camera เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดวงตาแบบใดบ้าง การตรวจด้วย Fundus Camera เหมาะกับผู้มีปัญหาเกี่ยวข้องกับดวงตา สามารถช่วยในการตรวจพบโรคต่อไปนี้ ได้แก่ เบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) ภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ดี จึงทำให้หลอดเลือดฝอยที่จอตาเสื่อมสภาพและเกิดความผิดปกติ จอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-related Macular Degeneration) พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้การมองเห็นตรงกลางภาพพร่ามัวหรือบิดเบี้ยว ต้อหิน (Glaucoma) โรคที่ทำลายขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ โดยมักไม่มีอาการในระยะแรก หากไม่ตรวจอาจสูญเสียการมองเห็นโดยไม่รู้ตัว จอตาฉีกขาดหรือหลุดลอก ภาวะฉุกเฉินที่หากตรวจพบได้เร็ว สามารถรักษาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ทันเวลา ความผิดปกติของหลอดเลือดจอตา เช่น หลอดเลือดตีบหรือมีจุดเลือดออก ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจหรือหลอดเลือด การติดตามผลการรักษาโรคตา ช่วยให้แพทย์สามารถเปรียบเทียบภาพก่อนและหลังการรักษาได้อย่างแม่นยำ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการดูแล รายละเอียดโปรแกรม การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของจอประสาทตาด้วยเครื่อง Fundus Camera ที่โรงพยาบาลวิภาวดี สามารถตรวจหาความผิดปกติได้ หากสงสัยว่าตนเองมีอาการมองเห็นภาพเบลอ หรือเห็นจุดดำๆ ลอยในสายตา หรือมีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคทางจอประสาทตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม รวมถึงผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพตาเชิงลึกเพื่อวางแผนดูแลสุขภาพในระยะยาว ขั้นตอนการตรวจด้วย Fundus Camera ผู้ป่วยจะวางคางกับหน้าผากในบริเวณที่รองรับ เพื่อให้ศีรษะอยู่นิ่ง และแพทย์จะทำการถ่ายภาพภายในลูกตา แต่ในบางกรณีอาจหยอดยาขยายม่านตา เพื่อเห็นโครงสร้างภายในตาได้ชัดเจน และรอการประเมินผลจากแพทย์ผู้ชำนาญการ ด้วยเครื่องมือการตรวจที่ทันสมัย มีความละเอียดสูง ภาพคมชัด ทำให้จักษุแพทย์สามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างตรงจุด โดยโปรแกรมการตรวจจอประสาทตาด้วย Fundus Camera ในราคาเพียง 1,200 บาท สามารถทำการนัดหมาย ตรวจสอบสิทธิการรักษาและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกตา หู คอ จมูก โทร. 0-2561-1111 ต่อ 4317-4318 สรุป การตรวจจอประสาทตาด้วย Fundus Camera คือเครื่องถ่ายภาพภายในลูกตา ช่วยให้แพทย์มองเห็นจอประสาทตา ขั้วประสาทตา และหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน โดยการตรวจจอประสาทตาเป็นประจำช่วยคัดกรองโรคตาสำคัญ ลดความเสี่ยงการสูญเสียการมองเห็นในอนาคตได้ ในการตรวจด้วยเครื่อง Fundus Camera ใช้เวลาในการตรวจไม่นาน และไม่เจ็บตัว สามารถตรวจหาความผิดปกติของโรคตาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อหิน และจอประสาทตาเสื่อม หากพบความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็นหรือจอประสาทตาสามารถรับการตรวจได้ที่แผนกตา ที่โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมให้บริการด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษาอาการความผิดปกติของจอประสาทตาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นได้อย่างปลอดภัย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Fundus Camera (FAQ) การตรวจจอประสาทตาด้วย Fundus Camera เป็นการตรวจหาความผิดปกติภายในดวงตาส่วนด้านหลัง พร้อมรวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบเพื่อให้เข้าใจ Fundus Camera มากขึ้น เครื่องมือตรวจวินิจฉัยดวงตามีอะไรบ้าง เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา มีดังนี้ เครื่องวัดค่าสายตาและความโค้งของกระจกตาอัตโนมัติ (Autorefraction and Keratometer) เครื่องวัดความหนาของกระจกตา (Pachymeter) เครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) เครื่องถ่ายภาพจอประสาทตาโดยไม่ต้องขยายม่านตา (Nonmydriatic Fundus Photography) เครื่องตรวจลานสายตา (Computerized Static Perimetry) เครื่องเลเซอร์เปิดเยื่อหุ้มเลนส์ (YAG Laser Capsulotomy) วัตถุประสงค์ในการถ่ายภาพจอประสาทตาเพื่ออะไร การถ่ายภาพจอประสาทตาเป็นการวินิจฉัยสำคัญทางจักษุวิทยา ใช้จับภาพรายละเอียดของจอประสาทตา เส้นประสาทตา และหลอดเลือดบริเวณด้านหลังดวงตา ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบและติดตามความผิดปกติต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เช่น เบาหวานขึ้นจอประสาทตา จอประสาทตาเสื่อม ต้อหิน และโรคทางจอประสาทตาอื่นๆ Fundus ทำหน้าที่อะไร จอประสาทตา (Fundus หรือ Retina) ทำหน้าที่รับภาพที่ตกกระทบเข้ามาในตา แปลงสัญญาณแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งต่อไปยังสมองเพื่อแปรผลเป็นภาพที่เรามองเห็น
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved