เทคโนโลยีการรักษา

V Beam Laser

V Beam Laser

V Beam Laser คือเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser ใช้รักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวกับรอยแดง โดยแสงเลเซอร์จะส่งพลังงานความร้อนลงไปจับกับเม็ดเลือดแดงใต้ผิวหนัง ทำลายเส้นเลือดและเม็ดสีผิดปกติ V Beam Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? รอยแดงจากสิว ช่วยฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย และรักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด V Beam Laser กี่ครั้งถึงจะเห็นผล? ควรทำประมาณ 3-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิวและลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ขั้นตอนการทำ V Beam Laser เริ่มจากการแพทย์ประเมินรอยโรคที่เป็น ทำความสะอาดผิวหน้าให้พร้อม ใส่แว่นป้องกันดวงตา และทำการรักษาพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลหลังรักษา รอยแดงบนผิวหน้า ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุสิว อาการอักเสบ หรือเส้นเลือดฝอยขยายตัว สร้างความกังวล ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน หลายคนจึงมองหาวิธีรักษาที่ได้ผล หนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีอย่าง V Beam Laser ที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหารอยแดง บทความนี้จะแนะนำเทคโนโลยี V Beam Laser คืออะไร และช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ทำความรู้จัก V Beam Laser คืออะไร V Beam Laser คือเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร ใช้รักษาปัญหาผิวที่เกี่ยวกับรอยแดง เช่น รอยแดงจากสิว ปานแดง และเส้นเลือดฝอยผิดปกติ โดยแสงเลเซอร์จะส่งพลังงานความร้อนลงไปจับกับเม็ดเลือดแดงใต้ผิวหนัง ทำลายเส้นเลือดและเม็ดสีผิดปกติ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่   จุดเด่นของ V Beam Laser เหมาะสำหรับการรักษาสิวอักเสบและรอยแดงจากสิว ช่วยในเรื่องของการลดการอักเสบและรอยแดงบนผิว ขั้นตอนการรักษารวดเร็ว ไม่ต้องใช้ยาชา รู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยขณะทำ พร้อมมีระบบพ่นความเย็นช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย ไม่มีแผลหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที ผลข้างเคียงต่ำ โอกาสเกิดรอยแดงหรือระคายเคืองน้อยมาก V Beam Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง V Beam Laser เป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวให้ดีขึ้น โดยปัญหาผิวที่ V Beam Laser สามารถรักษาได้มีดังนี้ รอยแดงจากสิว V Beam Laser ช่วยแก้ปัญหารอยแดงจากสิวได้โดยการส่งพลังงานเลเซอร์ไปจับกับเม็ดเลือดแดงบริเวณฐานของสิว ทำให้เส้นเลือดที่ก่อให้เกิดรอยแดงถูกทำลาย และลดการอักเสบของสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียนและรอยแดงจางลงโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอย V Beam Laser ช่วยฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอย ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น รูขุมขนเล็กลง และริ้วรอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนและไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง รักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด V Beam Laser ช่วยรักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด ด้วยเลเซอร์ไปจับกับเม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดผิดปกติใต้ผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดเหล่านั้นถูกทำลายและลดรอยแดงได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียบเนียนและเส้นเลือดฝอยผิดปกติค่อยๆ จางลงอย่างปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น V Beam Laser ไม่เหมาะกับปัญหาผิวแบบใด ผู้ที่มีสีผิวเข้มมาก เนื่องจากอาจตอบสนองต่อเลเซอร์ได้น้อยและผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจน ผู้ที่มีการติดเชื้อเริม หรือโรคงูสวัดในบริเวณที่จะทำการรักษา ต้องรอให้หายก่อน ปัญหาผิวที่เป็นรอยดำ หลุมสิว หรือความไม่เรียบเนียนของผิว เพราะ V Beam Laser เน้นรักษารอยแดงเท่านั้น ผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลายกว่า เช่น ต้องการฟื้นฟูผิวแบบครบวงจร อาจต้องพิจารณาเทคโนโลยีอื่นร่วมด้วย ขั้นตอนการทำ V Beam Laser และการเตรียมตัว ในการทำ V Beam Laser มีขึ้นตอนในการเตรียมตัว เตรียมผิวที่ต้องการรักษาตั้งแต่การเตรียมตัว ระหว่างการทำ และหลังทำ ควรทำอย่างไรบ้าง มีดังนี้ เตรียมตัวก่อนทำ V Beam Laser ก่อนการทำ V Beam Laser ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงก่อนเข้ารับการรักษา ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งก่อนและหลังทำเลเซอร์ การดูแลผิวให้พร้อมก่อนทำเลเซอร์จะช่วยให้ผิวตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น และฟื้นตัวได้รวดเร็ว ระหว่างการทำ V Beam Laser แพทย์จะประเมินลักษณะของรอยโรคหรือปัญหาผิวที่ต้องการรักษา พร้อมปรับตั้งค่าพลังงานของเลเซอร์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล จากนั้นจะทำความสะอาดผิวหน้าอย่างละเอียดเพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนการยิงเลเซอร์ ผู้เข้ารับการรักษาจะสวมแว่นป้องกันดวงตาเพื่อความปลอดภัยจากแสงเลเซอร์ แล้วแพทย์จึงเริ่มทำการรักษาด้วยเครื่อง V Beam ในบริเวณที่ต้องการ โดยจะรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยระหว่างทำ หลังการทำ V Beam Laser หลังจากทำไปแล้ว ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพราะผิวจะไวต่อแสงและเสี่ยงเกิดรอยดำ ควรทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ และบำรุงผิวเพื่อลดการระคายเคือง หากมีรอยแดงหลังทำ อาจเกิดขึ้นชั่วคราวและจะค่อยๆ จางลงภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงวันสองวัน ทำ V Beam Laser กี่ครั้งถึงจะเห็นผล ควรทำ V Beam Laser กี่ครั้งที่เหมาะสม ควรทำประมาณ 3-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิวและลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ระยะห่างของการทำแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะห่างระหว่างแต่ละครั้งประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเต็มที่ การเห็นผลลัพธ์ ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังทำครั้งแรก โดยรอยแดงจะค่อยๆ จางลงและผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างชัดเจนหลังทำต่อเนื่องหลายครั้ง ผลข้างเคียงของ V Beam Laser ที่อาจเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พลังงานเลเซอร์ในระดับสูง อาจเกิดอาการบวมแดงบริเวณที่ทำการรักษาได้ แต่โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง อาจมีรอยแดงหลงเหลือหลังการรักษานานประมาณ 2-3 วัน แต่สามารถแต่งหน้าเพื่อปกปิดได้โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา บางกรณี เช่น การรักษาแผลเป็นแดงหรือเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า อาจจำเป็นต้องใช้รูปแบบการปล่อยพลังงานเฉพาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยแดงหลังการรักษานานประมาณ 1 สัปดาห์ ค่าใช้จ่าย V Beam Laser ราคาเท่าไร ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำ V Beam Laser ราคาอยู่ในช่วงประมาณ 600-12,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่รักษาและจำนวนช็อตที่ใช้ รวมถึงสถานที่ทำและประสบการณ์ของแพทย์ โดยบางคลินิกมีโปรโมชัน V Beam Laser ราคาพิเศษ เช่น ลดเหลือประมาณ 1,900-3,400 บาทต่อครั้งสำหรับใบหน้า นอกจากนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่ต้องทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และค่าใช้จ่ายสำหรับการปรึกษาแพทย์หรือการดูแลหลังทำเลเซอร์ ฟื้นฟูผิวด้วย V Beam Laser ที่โรงพยาบาลวิภาวดี หากมีปัญหารอยแดง ผิวมีริ้วรอย หรือมีปัญหาผิวหนังที่เกี่ยวกับเส้นเลือด สามารถเลือกโปรแกรม V Beam Laser ของทางโรงพยาบาลวิภาวดี ที่มีการตรวจรักษาด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย พร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ผิวหนัง เบอร์โทร. 0-2058-1111 ต่อ 1123-24 สรุป V Beam Laser เป็นเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye เหมาะสำหรับรักษารอยแดงจากสิว ปานแดง และเส้นเลือดฝอยผิดปกติ โดยปล่อยพลังงานไปจับเม็ดเลือดแดงใต้ผิวเพื่อทำลายเส้นเลือดผิดปกติ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จุดเด่นคือ เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีแผลหลังทำ เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยแดงหรือโรคผิวหนังเกี่ยวกับหลอดเลือด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสีผิวเข้มมากหรือมีรอยดำ และมีค่าใช้จ่ายในการทำ V Beam ราคาเริ่มต้นราว 600-12,000 บาทต่อครั้ง ในการรักษารอยแดงจากสิว ริ้วรอย ควรรักษากับสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ และแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อให้การรักษาอย่างตรงจุด ปลอดภัยที่โรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมให้บริการด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ V Beam Laser (FAQ) ในการทำ V Beam Laser อาจทำให้หลายคนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษา ข้อดี ผลข้างเคียง วันนี้ได้รวบรวมคำถามและคำตอบที่พบบ่อยเพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้น ดังนี้ เลเซอร์ V beam ช่วยเรื่องอะไรบ้าง เลเซอร์ V Beam ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เกี่ยวกับเส้นเลือดและรอยแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลดรอยแดงจากสิว โรซาเซีย และผิวที่มีเส้นเลือดฝอยขยายตัว รักษาเส้นเลือดฝอยแตก ปานแดง และรอยแดงจากแผลเป็น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดจุดด่างดำจากเม็ดสีผิดปกติ เช่น ฝ้า กระ และจุดด่างแดด V beam กับ IPL แตกต่างกันอย่างไร V Beam Laser จะมีจุดเด่นในการรักษาปัญหาเฉพาะทาง เช่น รอยแดงและเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า แต่ IPL มีความหลากหลายมากกว่าในการดูแลปัญหาผิว ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดง เส้นเลือดฝอย รวมถึงช่วยกระชับรูขุมขนและฟื้นฟูผิวให้ดูสว่างกระจ่างใสยิ่งขึ้น V beam กี่วันเห็นผล ผลการรักษาด้วย V beam จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามสภาพผิวและลักษณะของสิวในขณะเริ่มรักษา บางรายอาจเห็นว่ารอยแดงจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่โดยทั่วไปมักต้องทำต่อเนื่องประมาณ 1-6 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน

CT Scan สมอง ตรวจหาความผิดปกติของสมอง

CT Scan สมอง ตรวจหาความผิดปกติของสมอง

CT Scan สมองคือ การตรวจวินิจฉัยโดยใช้รังสีเอกซ์และคอมพิวเตอร์สร้างภาพตัดขวางของสมองในรูปแบบ 3 มิติ เพื่อช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติภายในสมองได้อย่างชัดเจน อาการที่ควรได้รับการทำ CT Scan ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินควรได้รับการตรวจโดยเร็วที่สุด ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ ผู้ที่มีอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ รวมถึงเพื่อติดตามผลของโรคและการรักษา CT Scan สมอง มีข้อดีในการช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรค วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับผลกระทบจากรังสีน้อย ขั้นตอนการทำ CT Scan สมอง เริ่มจากงดอาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ ระหว่างการทำผู้ป่วยจะต้องนอนราบนิ่งบนเตียงที่เคลื่อนเข้าไปในเครื่องสแกนและปฏิบัติตามคำสั่ง หลังจากทำเสร็จ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ การตรวจด้วย CT Scan เป็นหนึ่งในวิธีวินิจฉัยทางการแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของสมอง ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยเอกซ์เรย์ ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ CT Scan สมองว่าควรตรวจเมื่อไร และควรเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไร CT Scan สมองคืออะไร การตรวจสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography) เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ใช้รังสีเอกซเรย์ร่วมกับคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพของอวัยวะภายใน โดยเครื่องจะปล่อยรังสีเอกซเรย์ผ่านร่างกายเฉพาะบริเวณที่ต้องการตรวจ และนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเป็นภาพที่แสดงรายละเอียดโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน  วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ ได้แม่นยำมากกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป และสามารถใช้ตรวจสอบอวัยวะภายในได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ประโยชน์ของการทำ CT Scan สมอง การทำ CT Scan สมอง คือการตรวจวินิจฉัยโดยใช้รังสีเอกซ์หมุนรอบศีรษะ เพื่อสร้างภาพตัดขวางของสมองในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งช่วยให้แพทย์เห็นรายละเอียดภายในสมองได้ชัดเจนและรวดเร็วมากกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป  ประโยชน์ของ CT Scan สมอง ได้แก่ การตรวจหาภาวะเลือดออกในสมอง กระโหลกร้าว เนื้องอก หรือความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง รวมถึงช่วยติดตามผลการรักษาและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว อาการแบบใดบ้างที่ควรได้รับการทำ CT Scan  การทำ CT Scan สามารถตรวจอาการหรือความผิดปกติของร่างกาย โดยมีอาการที่ควรรับการตรวจ CT Scan มีดังนี้ ภาวะฉุกเฉินและอุบัติเหตุ ภาวะฉุกเฉินและอุบัติเหตุที่ควรได้รับการตรวจด้วย CT Scan สมอง ได้แก่ อุบัติเหตุรุนแรงที่ศีรษะ เช่น รถชน หรือตกจากที่สูง รวมถึงอาการปวดศีรษะรุนแรง ปวดศีรษะร่วมกับอาเจียนพุ่ง มีอาการชัก หรือหลงลืมเหตุการณ์เฉียบพลัน เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะเลือดออกในสมอง กระโหลกร้าว หรือความผิดปกติอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ อาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติซึ่งควรได้รับการทำ CT Scan สมอง ได้แก่ ใบหน้าหรือร่างกายครึ่งซีกอ่อนแรง พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มีอาการชัก หมดสติหรือซึมลง ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ปวดศีรษะรุนแรง เวียนศีรษะ เดินเซ ทรงตัวลำบาก รวมถึงหลงลืมเหตุการณ์เฉียบพลัน เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอก หรือความผิดปกติของหลอดเลือดสมองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การติดตามโรคและการรักษา โรคที่ควรได้รับการตรวจและอ่านผลด้วย CT Scan สมองอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการ ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง เช่น ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ที่ต้องตรวจเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและสมองอย่างใกล้ชิด  รวมถึงโรคเนื้องอกสมองที่ต้องประเมินขนาดและการลุกลามของก้อนเนื้องอก และโรคทางระบบประสาทเรื้อรัง เช่น โรคพาร์กินสันและโรคสมองเสื่อมบางชนิดที่ใช้ CT Scan ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ในการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและแม่นยำ การทำ CT Scan สมอง มีข้อดีอะไรบ้าง การตรวจ CT Scan มีจุดเด่นหลายด้าน โดยสามารถใช้สแกนอวัยวะส่วนใหญ่ของร่างกายได้อย่างครอบคลุม เช่น สมอง ขณะทำการตรวจ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวด และยังได้ภาพที่มีความละเอียดสูงกว่าการทำอัลตราซาวนด์ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ CT Scan ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยวางแผนการรักษา เช่น การตัดชิ้นเนื้อ หรือทำหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ ได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจากการได้รับรังสีน้อย ขั้นตอนกระบวนการทำ CT Scan สมอง ขั้นตอนการทำ CT Scan สมอง ควรเตรียมตัวอย่างไร และกระบวนการทำเป็นอย่างไรบ้าง? เตรียมตัวก่อนเข้าตรวจ การเตรียมตัวก่อนเข้าตรวจ CT Scan สมอง ควรงดอาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ เพื่อให้ภาพชัดเจนและลดความเสี่ยงจากการฉีดสารทึบรังสี ผู้ป่วยควรแจ้งประวัติสุขภาพ เช่น โรคประจำตัวหรือแพ้สารทึบสี และถอดเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าที่มีโลหะออก รวมถึงเปลี่ยนใส่ชุดที่โรงพยาบาลจัดให้ การตรวจใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที โดยหลังตรวจจะต้องนั่งพักสังเกตอาการประมาณ 15 นาทีก่อนกลับบ้าน ระหว่างการตรวจ ระหว่างการทำ CT Scan สมอง ผู้ป่วยจะต้องนอนราบนิ่งบนเตียงที่เคลื่อนเข้าไปในเครื่องสแกน โดยบริเวณศีรษะจะอยู่ในตำแหน่งที่เครื่องสามารถสแกนได้อย่างแม่นยำ ผู้ป่วยควรผ่อนคลาย หายใจตามปกติ และในบางครั้งอาจต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เช่น หยุดหายใจชั่วคราวเพื่อให้ภาพชัดเจน  ในระหว่างนี้สามารถสื่อสารกับทีมแพทย์ผ่านระบบอินเตอร์คอมได้ การตรวจใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที และผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายระหว่างการสแกน หลังการตรวจ หลังจากทำ CT Scan สมองเสร็จ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ และขับรถได้ หากไม่ได้รับยาระงับประสาทก่อนตรวจ แต่ถ้าได้รับยาคลายความกังวล ควรให้คนมารับและงดขับรถด้วยตนเอง และหากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน บวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที ค่าใช้จ่ายราคา CT Scan สมอง CT Scan สมองในโรงพยาบาลรัฐบาลมีราคาประมาณ 4,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่ามีการใช้สารทึบรังสีหรือไม่ และกรณีฉุกเฉินอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือพ.ร.บ. ได้ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนแม้ค่าบริการ CT Scan สมองราคาประมาณ 8,000-30,000 บาท ทั้งนี้ราคายังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น ค่าแพทย์อ่านผลและค่าบริการเพิ่มเติมอื่นๆ อีกด้วย ตรวจและทำ CT Scan สมองที่โรงพยาบาลวิภาวดี การทำ CT Scan สมองที่โรงพยาบาลวิภาวดี ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมการตรวจวินิจฉัยอาการหรือความผิดปกติของสมองและระบบประสาท เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย โดยสามารถนัดหมายและสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร. 02-561-1111 และ 02-058-1111 สรุป การทำ CT Scan สมองคือการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สร้างภาพตัดขวางของสมองแบบ 3 มิติ ช่วยให้เห็นโครงสร้างภายในสมองได้ชัดเจน เหมาะสำหรับการตรวจหาภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอก กระโหลกร้าว หรือความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง โดยใช้ได้ทั้งในกรณีฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุศีรษะ ชัก หมดสติ และอาการทางระบบประสาท ไปจนถึงการติดตามโรคเรื้อรังหรือวางแผนการรักษา  ทั้งนี้การตรวจไม่เจ็บ ใช้เวลาสั้น และมีขั้นตอนที่ปลอดภัย โดยสามารถรับการตรวจได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมให้บริการด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษา ตรวจวินิจฉัยอาการ ความผิดปกติทางสมองและระบบประสาทอย่างปลอดภัย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CT Scan สมอง (FAQ) การทำ CT Scan สมอง เป็นการตรวจหาความผิดปกติที่สามารถใช้ได้หลายส่วนของร่างกาย โดยมีคำถามและคำตอบที่พบบ่อยเพื่อให้เข้าใจ CT Scan สมอง ให้มากขึ้นกัน CT Scan สมองใช้เวลานานไหม เครื่อง CT Scan ให้ผลตรวจวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาตรวจเพียงประมาณ 10 – 15 นาทีเท่านั้น CT Scan สมองต้องฉีดสีไหม การตรวจ CT มักต้องฉีดสารทึบรังสีเพื่อเพิ่มความชัดเจนของภาพ ซึ่งสารนี้มักมีส่วนประกอบของไอโอดีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไตได้ จึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่ก่อนแล้ว การทำ CT Scan สมองต้องถอดเสื้อผ้าไหม การทำ CT Scan สมองโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมด แต่ควรสวมเสื้อผ้าหลวมๆ ที่ไม่มีส่วนประกอบของโลหะ เช่น ซิปหรือเข็มขัด และต้องถอดเครื่องประดับ เช่น แว่นตา ฟันปลอม หรือเครื่องประดับอื่นๆ ที่อาจรบกวนการสร้างภาพ ในบางกรณีอาจต้องเปลี่ยนใส่ชุดที่โรงพยาบาลจัดให้เพื่อความสะดวกในการตรวจ

รังสีศัลยกรรมแกมมาไนฟ์

รังสีศัลยกรรมแกมมาไนฟ์

𝑮𝙖𝒎𝙢𝒂 𝑲𝙣𝒊𝙛𝒆 เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทางเลือกใหม่ของการรักษา “โรคทางสมองและระบบประสาท” ด้วยการฉายรังสีไปยังจุดเป้าหมายอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดศีรษะ และไม่ต้องพักฟื้นนาน โรคที่สามารถเข้ารักษาได้ ความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง (ชนิดเนื้อร้ายและเนื้องอกที่ไม่เป็นอันตราย) โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า มะเร็งสมองที่แพร่กระจายจากอวัยวะอื่นๆ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ทั้งนี้ หากมีอาการผิดปกติทางสมองหรือระบบประสาท อาทิ ปวดหัวเรื้อรัง มีอาการชาบริเวณใบหน้า หรือชักโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด  สอบถามเพิ่มเติม ศูนย์สยามแกมมาไนฟ์เซ็นเตอร์ อาคาร 2 ชั้น B 02-561-1111 ต่อ 2032 #GammaKnife #โรคทางสมอง #ไม่ต้องผ่าตัด #เทคโนโลยีทางการแพทย์ #เนื้องอกสมอง #พาร์กินสัน #มะเร็งสมอง #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital

Bladder Scan เครื่องวัดปริมาณปัสสาวะ ด้วยคลื่นความถี่สูง 3 มิติ

Bladder Scan เครื่องวัดปริมาณปัสสาวะ ด้วยคลื่นความถี่สูง 3 มิติ

ตรวจวัดปริมาณปัสสาวะด้วยเทคโนโลยี 3D Ultrasound: Bladder Scan Urine Meter ที่แม่นยำ ปลอดภัย ไม่ต้องสอดสายสวน ที่โรงพยาบาลวิภาวดี เราเข้าใจดีว่าความแม่นยำในการวินิจฉัยและความปลอดภัยของผู้ป่วยคือหัวใจสำคัญของการรักษาที่มีคุณภาพ เราจึงนำเทคโนโลยี Bladder Scan Urine Meter with 3D High Frequency Waves หรือ เครื่องวัดปริมาณปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแบบ 3 มิติ มาใช้เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถประเมินปริมาณปัสสาวะคงค้างได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และไม่ต้องพึ่งการสวนปัสสาวะแบบดั้งเดิม เทคโนโลยี Bladder Scan คืออะไร? Bladder Scan เป็นอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (High-Frequency Ultrasound) แบบ 3 มิติเพื่อสร้างภาพของกระเพาะปัสสาวะจากภายนอกโดยไม่ต้องสอดใส่สายสวนหรือทำหัตถการที่รุกราน เครื่องสามารถแสดงปริมาณปัสสาวะคงค้างในกระเพาะปัสสาวะได้ภายในเวลาไม่กี่นาที และมีความแม่นยำสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะค้าง หรือสงสัยภาวะทางเดินปัสสาวะผิดปกติ เครื่องวัดปริมาณ Bladder Scan            Bladder Scan เป็นเครื่องตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างอยู่หลังการปัสสาวะ โดยใช้อุปกรณ์อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ตรวจบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเดิมการวัดปริมาณปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะจะต้องใช้การสอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปโดยตรงที่ท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการระคายเคืองและต้องรบกวนความเป็นส่วนตัวของคนไข้ได้ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการตรวจวัดและไม่จำเป็นต้องใส่สายเข้าไปในท่อปัสสาวะ ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บและลดการระคายเคืองจากการใส่สายสวนปัสสาวะด้วยการตรวจ Bladder Scan เพื่อดูปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างอยู่หลังจากปัสสาวะแล้ว การตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้าง มีความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาในการปัสสาวะ อาทิเช่น ภาวะต่อมลูกหมากโต, ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ภาวะกระเพาะบีบตัวไวเกิน ขั้นตอนการทำ ดื่มน้ำปริมาณ 500 – 1,000 CC จากบ้าน (โดยปริมาณปรับลดได้ขึ้นอยู่กับระยะทางจากบ้านมารพ.) กลั้นปัสสาวะเล็กน้อยประมาณ 30 นาที จนรู้สึกปวดมากและค่อยปัสสาวะ โดยปัสสาวะลงในขวดตวงปัสสาวะที่เตรียมไว้ให้ ทำการตรวจด้วยเครื่อง Bladder Scan เพื่อวัดปริมาณปัสสาวะคงค้างในกระเพาะปัสสาวะ พบแพทย์ เพื่อฟังผลและทำการรักษาต่อไป การตรวจอัลตราซาวด์ด้วย Bladder Scan ช่วยในการวินิจฉัยอาการของท่านได้ เช่น ปัสสาวะแสบขัด เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ปัสสาวะสีผิวปกติ เช่น ปัสสาวะขุ่น, ปัสสาวะมีตะกอน หรือมีเลือดปน เพื่อตรวจติดตามโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ อาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด ผู้ที่มีอาการปวดหลัง หรือ ปวดเอวเรื้อรัง เหมาะสำหรับผู้ป่วยกลุ่มใด? ผู้สูงอายุที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือปัสสาวะไม่สุด ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ต้องประเมินการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยทางระบบประสาท เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตหรือทางเดินปัสสาวะอุดตัน ผู้ที่ต้องการประเมินภาวะปัสสาวะคั่งโดยไม่ต้องสวนสายสวนปัสสาวะ จุดเด่นของเทคโนโลยี Bladder Scan 3 มิติ ✅ ไม่รุกราน ไม่ต้องใส่สายสวน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ✅ แม่นยำสูง ด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูงแบบ 3 มิติ ✅ ตรวจง่าย ใช้เวลาไม่นาน เพียงไม่กี่นาที ไม่ต้องอดน้ำ ไม่ต้องเตรียมตัวพิเศษ ✅ ปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง ✅ ใช้ในการวางแผนการรักษา เช่น การตัดสินใจใส่สายสวน การให้ยาขับปัสสาวะ และติดตามผลการรักษา ทำไมต้องเลือกโรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาให้กับผู้ป่วยทุกคน ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่าง Bladder Scan 3 มิติ เราช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาภาวะปัสสาวะคั่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สะดวก ปลอดภัย และเหมาะกับผู้ป่วยในทุกช่วงวัย

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy)

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy)

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy) การฉายแสงอาทิตย์เทียมด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตบี คือ อะไร? Excimer เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์อยู่ในรังสียูวีบีที่มีความยาวคลื่น 308 นาโนเมตร ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด ได้แก่ โรคด่างขาว (Vitiligo)    โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)  โรคผิวหนังอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มอาการผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง (Eczema, Atopic Dermatitis, EAC, Pityriasis Alba ในเด็ก), โรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ (Alopecia Areata)          โรคสะเก็ดเงิน เป็นการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่เป็น โดยอาการจะเป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน มักพบบริเวณ ข้อศอก เข่า หนังศรีษะ ซึ่งการรักษาจะเริ่มตั้งแต่ทายา หากไม่ดีขึ้นต้องใช้การฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี รวมถึงโรคด่างขาว โรคผิวหนังผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง ก็ใช้วิธีการรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียมนี้ด้วย   เครื่อง Excimer 308 เหมาะกับผู้ป่วยแบบไหน?    1.เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง    2.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคทุกบริเวณ รวมถึงบริเวณที่เข้าถึงยากและบริเวณเล็กๆ เช่น ไรผม ข้อพับ ริมฝีปาก หนังศีรษะ    3.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคไม่เกิน 20% ทั่วทั้งร่างกาย    4. มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงน้อย สามารถใช้ในการรักษาได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่             การรักษาด้วยการฉายแสง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?        1. ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร        2. ผู้ป่วย SLE, HIV        3. ภาวะด่างขาวจากโรค Hyperthyroidism       4. ผู้ป่วยที่ใส่เครื่อง Pacemaker       5. ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีความไวต่อแสง       6. มีประวัติเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง   ขั้นตอนการรักษาด้วยเครื่อง Excimer 308 การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา    1. ทำความสะอาดผิวหนังในบริเวณที่จะรับการรักษาหรือทำ MED Test (Minimal Erythema Dose)    2. สำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินสามารถทา Salicylic acid ในช่วงกลางคืนก่อนวันที่เข้ารับการรักษาได้    3. แนะนำให้ทำการทดสอบแสง (MED Test) เพื่อหาระดับพลังงานที่เหมาะสมในการรักษา โดยจะทดสอบที่บริเวณท้องแขนหรือหลัง แพทย์จะอ่านผลภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจากการทดสอบ          **ผู้ป่วยโรคด่างขาวและศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ สามารถทำการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องทดสอบ MED Test    4. งดการทาผลิตภัณฑ์ประเภท  Oil ,  ครีมกันแดด  ก่อนเข้ารับการรักษา   ขณะได้รับการรักษา    1.ผู้ป่วยควรเปลี่ยนชุด หรือ เปิดเสื้อผ้าบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อให้บริเวณรอยโรคได้รับแสง    2. ขณะทำการรักษา  ควรอยู่นิ่งๆ ไม่เล่นโทรศัพท์หรือพูดคุยโทรศัพท์    3. ควรสวมใส่แว่นตาเพื่อป้องกันรังสียูวีบี ทั้งผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษา ในกรณีที่มีรอยโรครอบดวงตา ให้ผู้ป่วยหลับตาตลอดทั้งการรักษา การดูแลปฏิบัติตัวภายหลังได้รับการรักษา    1.หากเกิดอาการคัน ผู้ป่วยไม่ควรแกะเกาในบริเวณที่ได้รับการรักษา รวมถึงหลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนในบริเวณที่เป็นโรค    2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคมีอาการกำเริบหรือมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด    3. ควรรักษาสุขอนามัยของร่างกาย อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่อ่อนๆ    4. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ    5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษานานแค่ไหน?       ในช่วงแรกผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเว้นระยะห่างในแต่ละครั้ง ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง เมื่ออาการของรอยโรคตอบสนองต่อการฉายแสงได้ผลดี แพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และสามารถเว้นระยะห่างเป็น 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และหากรอยโรคหายแล้ว สามารถลดการฉายแสงให้เหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งจนกระทั่งหยุดฉายได้ ผลการรักษา เป็นอย่างไร?       ผู้ป่วยโรคด่างขาว : ขึ้นอยู่กับบริเวณและความรุนแรงของโรค โดย  จำนวนครั้งในการรักษาที่เห็นผลประมาณ 20-25 ครั้ง       ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน : จะเห็นผลการรักษาประมาณ 15-20 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาของสะเก็ดและความรุนแรงของโรคด้วย       ผู้ป่วยโรคผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และอื่นๆ : จะเห็นผลในการรักษาประมาณ 4-8 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย การรักษาด้วยการฉายแสง มีผลข้างเคียงหรือไม่?       อาจพบอาการข้างเคียงภายหลังจากการได้รับการรักษา เช่น คัน แสบ ผิวหนังแห้ง ลอก รวมถึงผิวหนังที่ได้รับการรักษาและผิวหนังรอบบริเวณที่ทำการรักษาอาจมีสีที่คล้ำหรือเข้มขึ้นในช่วงที่ได้รับการรักษา แต่สีผิวที่เข้มขึ้นนั้นจะค่อยๆ จางลงภายหลังหยุดการรักษาด้วยการฉายแสง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม        ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลวิภาวดี ชั้น G อาคาร Tower B โทร 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 ต่อ 1123, 1124

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)

ตรวจมวลกระดูก (BMD) ด้วยเทคโนโลยี Dual-Energy X-ray: รู้ทันโรคกระดูกพรุนก่อนสาย โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่ไม่มีอาการแสดงชัดเจนในระยะแรก แต่ส่งผลร้ายแรงได้เมื่อเกิดกระดูกหักตามมา โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี เรามีบริการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกด้วยเทคโนโลยี Bone Mineral Density (BMD) Test ที่แม่นยำและปลอดภัย ช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น พร้อมวางแผนการป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ BMD Test คืออะไร? Bone Mineral Density Test หรือ การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์พลังงานคู่ (Dual-Energy X-ray Absorptiometry หรือ DXA) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการประเมินความแข็งแรงของกระดูก โดยเครื่องจะวัดปริมาณแร่ธาตุในกระดูกบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก เช่น กระดูกสันหลัง สะโพก หรือข้อมือ เพื่อวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน หรือประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในอนาคต การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)  แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ให้บริการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกทุกวัน โดยเครื่องวัดความหนาแน่นกระดูกที่ทันสมัยของ HOLOGIC ซึ่งเป็นชนิดใช้พลังรังสีเอกซ์ 2 ค่าพลังงาน (DXA) ทำให้สามารถตรวจกระดูกส่วนที่หนาๆได้ เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกข้อสะโพก ทำไมเราจึงต้องวัดความหนาแน่นของกระดูก **เครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูกสามารถตรวจเช็คปริมาณความหนาแน่นของกระดูกได้ และทำให้สามารถวางแผนป้องกันและสามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างถูกต้อง** กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ อะไร คือภาวะที่กระดูกมีเนื้อกระดูกที่มีความหนาแน่นน้อย ทำให้มีโอกาสกระดูกแตกหัก หรือยุบตัวได้ กระดูกปกติจะมีโครงสร้างเส้นใย ที่มีโพรงเป็นตาข่ายในเนื้อกระดูก เมื่อเกิดกระดูกโพรงระหว่างเส้นใยจะใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดการแตกของกระดูกได้ง่าย กระดูกจะไม่สามารถตั้งตรงได้ เช่น กระดูกสันหลัง เมื่อเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนจะยุบตัวทำให้หลังงอผิดปกติ เสียบุคลิกภาพไป โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปมักพบในคนอายุมากประมาณ 50 ปีขึ้นไป และในสตรีวัยหมดประจำเดือน สาเหตุโรคกระดูกพรุน • อายุมาก  • วัยหมดประจำเดือน  • ขาดแคลเซียม (Ca)  • การรักษาโรคบางชนิดด้วยฮอร์โมน หรือ Steroid  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน มีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ใช้เครื่องวัดความหนาแน่นกระดูก สามารถทราบผลได้ทันที เครื่องมือตรวจวัดความหนาแน่นกระดูกที่ทันสมัย มีรายละเอียดของเครื่องดังนี้  • สามารถตรวจ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เกือบทั้งหมด  • ใช้เวลาตรวจน้อย  • ภาพคมชัดและถูกต้องแม่นยำ  • ปริมาณรังสีต่ำ เพียงเท่ากับ เมื่อได้รับขณะอยู่บนเครื่องบินใครต้องตรวจบ้าง  • เมื่อคุณรู้สึกว่ากระดูกสันหลังผิดปกติ  • มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroid)  • ผู้หญิงที่มีระดับเอสโตรเจน (Estrogen) ต่ำ และวัยหมดประจำเดือน  • คนผอมมาก ๆ  • คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน  • คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย  • คนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มี Alcohol เป็นประจำทำอย่างไรบ้าง ถ้าคุณเป็นโรคกระดูกพรุน  • แพทย์จะอธิบายวิธีการป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง  • การออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายจะสร้างแคลเซียม และเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มี Alcohol และงดการสูบบุหรี่ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน การเตรียมตัวเพื่อตรวจ  • ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร รับประทานอาหารได้ตามปกติ  • ถ้ากำลังให้ยา Thyroid โปรดแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทราบ  • กำลังกินแคลเซียม โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ  • ถ้ามีการตรวจทางรังสีด้วยแบเรียมมาก่อน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัดตรวจ  • การตรวจระบบไตด้วยสารทึบรังสี ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัดตรวจ  • การตรวจร่างกายด้วยสารกัมมันตรังสี บริเวณใกล้กับกระดูกสันหลังส่วนเอว ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัด  เหมาะสำหรับใครบ้าง? ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมเกินไป ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือได้รับสเตียรอยด์ระยะยาว ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุหรือมีกระดูกหักโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป หรือผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป ค่า T-score หมายถึงอะไร? ✅ T-score มากกว่า -1 = มวลกระดูกปกติ ⚠️ T-score ระหว่าง -1 ถึง -2.5 = ความหนาแน่นกระดูกต่ำ (osteopenia) ❗ T-score น้อยกว่า -2.5 = โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) การทราบค่าดังกล่าวช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันหรือรักษาได้ทันท่วงที ลดโอกาสเกิดกระดูกหักในอนาคต ทำไมต้องตรวจ BMD ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกระดูกโดยเฉพาะในผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง ด้วยเครื่องตรวจ BMD รุ่นใหม่ที่มีความแม่นยำสูงและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังการตรวจ เพื่อให้คุณมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง ห่างไกลโรคกระดูกพรุนในระยะยาว

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เพื่อวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้า Electroencephalogram (EEG) วิธีการตรวจที่แพทย์มักจะใช้ประกอบกับการซักประวัติและการตรวจร่างกาย เพื่อวินิจฉัยโรคลมชัก และจำแนกชนิดของการชักเพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง คลื่นไฟฟ้าสมองสามารถบันทึกโดยใช้ขั้วไฟฟ้า (Electrode) รับสัญญาณไฟฟ้าที่ผิวหนังศีรษะ สัญญาณไฟฟ้านี้เกิดขึ้นจากผลรวมของศักย์ไฟฟ้าของกลุ่มเซลล์ประสาทของสมองที่มีอยู่มากมายในสมองภายใต้ขั้วไฟฟ้า (Electrode) นั้นผลการตรวจจะปรากฏเป็นกราฟ บนแถบกระดาษหรือในจอภาพ หลังจากได้รับสัญญาณไฟฟ้าผ่านเครื่องตรวจซึ่งได้ทำการขยายสัญญาณไฟฟ้าให้มากขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า  EEG คืออะไร? การตรวจ EEG (Electroencephalogram) คือการตรวจจับและบันทึกคลื่นไฟฟ้าที่สมองสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบกราฟ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์รูปแบบของคลื่น และค้นหาความผิดปกติของสมองในภาวะต่าง ๆ เช่น ลมชัก ความผิดปกติในการนอนหลับ ภาวะสมองเสื่อม หรือแม้แต่ใช้ช่วยประเมินสมองในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ข้อบ่งชี้ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง 1. ผู้ป่วยที่สงสัยภาวะชัก เช่นหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเกร็งกระตุกตามกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อาการทางจิตที่ไม่ทราบสาเหตุ 2. เพื่อวินิจฉัยโรคลมชักและเพื่อช่วยแยกชนิดของโรคลมชัก เช่น โรคชักเหม่อลอยในเด็ก absence Seizure โรคชักทั้งตัว Generalize epilepsy,Pseudo epilepsy 3. เพื่อวินิจฉัยโรคบางชนิดเช่นภาวะ Hepatic Encephalopathy,โรควัวบ้า Brain tumor 4. เพื่อช่วยวางแผนการรักษาภาวะ Status epilepticus โดยการทำ EEG monitoring 5. เพื่อช่วยในการเลือกยากันชักที่เหมาะสมกับผู้ป่วย 6. เพื่อช่วยวางแผนในการหยุดยากันชักในผู้ป่วยโรคลมชัก 7. เพื่อวางแผนในการผ่าตัดในผู้ป่วยลมชักที่ดิ้อต่อยา(Refractory epilepsy) โดยการทำ Video EEG monitoring 8. เพื่อช่วยวินิจฉัยและวางแผนในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่เกี่ยวกับการนอน (Sleep Disorder) เช่น  Obstructive Sleep apnea, Narcolepsy โดยการทำ Polysomnogram 9. เพื่อช่วยในการยืนยันภาวะสมองตาย (Brain Death) จุดเด่นของการตรวจ EEG ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ✅ ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดยา ✅ ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 30–60 นาที) ✅ วินิจฉัยแม่นยำ ด้วยเครื่อง EEG ที่ทันสมัยและระบบบันทึกดิจิทัล ✅ ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาท ให้คำแปลผลและวางแผนการรักษาต่อเนื่อง ✅ รองรับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมในการดูแลเฉพาะราย ขั้นตอนการตรวจ EEG เป็นอย่างไร? ผู้ป่วยนอนบนเตียงในห้องตรวจที่สงบ และผ่อนคลาย เจ้าหน้าที่จะติดขั้วไฟฟ้าขนาดเล็ก (Electrodes) ไว้บนศีรษะ โดยใช้เจลพิเศษ เครื่อง EEG จะเริ่มบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมองในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งตอนหลับและตื่น อาจมีการให้หายใจลึก ๆ หรือเปิด-ปิดแสง เพื่อกระตุ้นสมองและดูการตอบสนอง ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแปลผลและวินิจฉัยอย่างละเอียด EEG ใช้วินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง? โรคลมชัก (Epilepsy) ภาวะสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อในสมอง สมองขาดเลือด หรือหลอดเลือดสมองตีบ โรคพาร์กินสัน และโรคทางสมองอื่น ๆ โรคนอนไม่หลับ หรือนอนกรนผิดปกติ พฤติกรรมผิดปกติทางจิต หรือสมองเสื่อม ทำไมต้องตรวจ EEG ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการตรวจวินิจฉัยระบบประสาทอย่างครบวงจร ด้วยเครื่อง EEG รุ่นใหม่ที่มีความไวสูง สามารถตรวจวัดสัญญาณจากสมองได้อย่างแม่นยำ รวมถึงทีมแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา (Neurologist) ที่มีประสบการณ์ในการวินิจฉัยและดูแลผู้ป่วยโรคทางสมองอย่างใกล้ชิด

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ( TMS)

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ( TMS)

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก  (Transcranial Magnetic Stimulation, TMS)   เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก เป็นเครื่องที่อาศัยหลักการเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดเหนี่ยวนำเป็นคลื่นแม่เหล็ก ซึ่งสามารถผ่านเนื้อเยื่อและกะโหลกศีรษะได้ ใช้ในการวินิจฉัยและการรักษาโรคทางสมอง ได้แก่ โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน โรคเส้นประสาทส่วนปลาย โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น และใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้   การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก สามารถทำได้ 2 วิธีคือ   1. การกระตุ้นด้วยคลื่นความถี่สูง โดยใช้ความแรงของการกระตุ้นตั้งแต่ 1 รอบต่อวินาทีขึ้นไป สำหรับรักษาโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น 2. การกระตุ้นด้วยคลื่นความถี่ต่ำ โดยใช้ความแรงของการกระตุ้นต่ำกว่า 1 รอบต่อวินาที จะยับยั้งการทำงานของสมองที่ทำงานมากเกินไป เช่น โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น ข้อบ่งใช้ในการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก โรคซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุทางสมอง อาการปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง อาการปวดจากเส้นประสาท โรคสมอง ได้แก่ โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน เป็นต้น   วิธีการรักษา จะทำการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กวันละ 1 ครั้งจำนวน 5-10 วัน (เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการรักษาได้เต็มที่) ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ต่อการรักษา 1 ครั้ง ทั้งนี้แพทย์จะคอยถามและสังเกตอาการตลอดระยะเวลาในการกระตุ้น   ผลการรักษา คลื่นแม่เหล็กจะส่งดีต่อการทำงานของวงจรในสมอง มีผลต่อสารสื่อประสาท หลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทเกี่ยวกับโรคไมเกรน อาการเจ็บปวด และความเครียด ลดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง และลดอาการซึมเศร้า   ข้อห้าม   ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pace maker) ผู้ที่มีโลหะในศีรษะ เช่น เคยผ่าตัดหลอดเลือดสมองโป่งพองและใช้อุปกรณ์หนีบหลอดเลือด หรือตามร่างกาย โรคลมชัก ผลข้างเคียงที่พบ มีความร้อนบริเวณที่กระตุ้น เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กทำให้อุณหภูมิภายในสมองสูงขึ้นแต่น้อยมากจะมีปวดตึงศีรษะบริเวณที่ทำการกระตุ้น คลื่นไส้ วิงเวียน อาการชัก อารมณ์พลุ่งพล่าน สำหรับผู้ป่วยจิตเวช   ข้อแนะนำก่อนทำ 1. แพทย์จะแนะนำการรักษา ข้อบ่งชี้ และข้อห้ามในการใช้เครื่องมือดังกล่าว 2. ก่อนทำการกระตุ้นสมอง แพทย์จะกระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลายก่อน เพื่อให้ร่างกายรับรู้และคุ้นเคยกับความแรงและความถี่ของการกระตุ้น 3. เมื่อท่านคุ้นเคยแล้ว แพทย์จะกระตุ้นสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เป็น เช่น อัมพาต อัมพฤกษ์ จะกระตุ้นสมองด้านตรงกันข้ามกับอาการอ่อนนแรง เป็นต้น โดยกระตุ้นซ้ำเป็นชุดๆ  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สมองและระบบประสาท                          โทร.0-2561-1111 ต่อ 1214

การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า EDX (EMG & NCS)

การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า EDX (EMG & NCS)

EMG หรือ Electromyography คือ การตรวจวินิจฉัยการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนปลาย โดยใช้คลื่นไฟฟ้าขนาดต่ำเพื่อประเมินการส่งสัญญาณระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการหาสาเหตุของอาการชา อ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก หรือกล้ามเนื้อลีบ โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการตรวจ EMG ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่แม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า (electrodiagnosis)EMG             เป็นเครื่องมือในการช่วยตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า และค้นหาความบกพร่องของเส้นประสาท จากอาการชาที่มือ ชาเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องและแม่นยำ EMG คืออะไร? Electromyography (EMG) คือการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ เพื่อประเมินว่าเส้นประสาทสามารถสั่งงานกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้เข็มอิเล็กโทรดขนาดเล็กปักเข้าไปในกล้ามเนื้อ เพื่อวัดสัญญาณไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อสร้างขึ้น ทั้งขณะพักและขณะเกร็ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยในการวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทส่วนปลายและกล้ามเนื้อได้อย่างแม่นยำ เครื่อง EMG คืออะไร มีหลักการและวิธีการอย่างไร                                   การตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า คือ การนำเอาความรู้ทางด้านไฟฟ้ามาใช้ช่วย ในการตรวจวินิจฉัยโรค โดยทั่วไปจะมีหลักการและวิธีการตรวจอยู่ด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ   1.การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study)                   เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้ไฟฟ้าขนาดที่ปลอดภัยกระตุ้นตามแนวทางเดินของเส้นประสาทในส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อตรวจว่ามีความผิดปกติของเส้นประสาทตรงส่วนใดมากน้อยเพียงใด เช่น กรณีที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ อันเป็นผลเนื่องมาจากเบาหวาน หรือ การกดทับของเส้นประสาทบริเวณข้อมือและข้อศอก เป็นต้น  2.การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ (Needle Electromyographic Study)                  เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้เข็มเล็กๆตรวจดูความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท เช่น การกดทับของเส้นประสาทบริเวณคอและหลัง การบาดเจ็บของเส้นประสาท หรือภาวะกล้ามเนื้อมีความผิดปกติ เป็นต้น  3.การตรวจการนำไฟฟ้าของระบบประสาทส่วนกลาง (Evoked Potential)                  เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้ไฟฟ้า แสง เสียง กระตุ้นให้มีสัญญษณไฟฟ้าผ่านไปตามแนวของเส้นประสาท เพื่อตรวจว่ามีความผิดปกติที่ส่วนใดของสมองและไขสันหลัง ขั้นตอนการตรวจ EMG เป็นอย่างไร? แพทย์จะสอบถามอาการเบื้องต้น และตรวจร่างกายโดยละเอียด ขั้วไฟฟ้า (Electrode) จะถูกติดบนผิวหนัง หรือใช้เข็มเล็ก ๆ สอดเข้าในกล้ามเนื้อที่ต้องการตรวจ เครื่องจะบันทึกคลื่นไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อทั้งขณะพักและขณะออกแรง ข้อมูลจะถูกแปลผลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความผิดปกติของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังการตรวจ โดยไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร  การตรวจดังกล่าวมีประโยชน์อย่างไร                 การตรวจดังกล่าวข้างต้น จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งยังใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนรักษาต่อไป EMG เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการใดบ้าง? มีอาการ ชาหรือเจ็บตามแขน ขา มือ หรือเท้า กล้ามเนื้อ อ่อนแรงหรือกระตุก โดยไม่ทราบสาเหตุ สงสัยภาวะ ปลายประสาทอักเสบ หรือเส้นประสาทถูกกดทับ เช่น พังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) มีอาการปวดคอหรือหลัง ร้าวลงแขนหรือขา ซึ่งอาจเกิดจากเส้นประสาทถูกกด กล้ามเนื้อลีบลง หรือสูญเสียการเคลื่อนไหวบางส่วน สงสัยโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น Myopathy หรือ ALS (กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากสมองและไขสันหลัง)  การตรวจมีความปลอดภัยพียงใด                การตรวจนี้เป็นการตรวจที่ปลอดภัยตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ ท่านอาจรู้สึกเหมือนการถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า หรืออาจเจ็บบ้างเมื่อใช้เข็มตรวจในกล้ามเนื้อ สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น คือ  อาจระบมจากการใช้เข็มตรวจซึ่งมักหายไปใน 2-3 วัน กรณีที่ต้องมีการตรวจกล้ามเนื้อด้วยเข็ม ในบริเวณช่วงอกอาจเกิดภาวะลมรั่ว (Pncumothorax)  ซึ่งจะมีอาการแน่นหน้าอกหายใจลำบากแต่อย่างไรก็ตามภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้น้อยมากและสามารถแก้ไขได้ ถ้าท่านมีปัญหาดังต่อไปนี้ กรุณาแจ้งแพทย์ก่อนการตรวจ ประวัติเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาบางชนิดที่อาจทำให้เลือดออกง่าย (ในกรณีที่ต้องใช้เข็มตรวจ) ติดเครี่องกระตุ้นการของหัวใจด้วยไฟฟ้า (Pace Maker) มีผิวหนังอักเสบและติดเชื้อในบริเวณที่ต้องการตรวจ  หมายเหตุ  ผู้ป่วยที่กินยา Mestinon (ยาแก้โรค Myasthenia gravis) งดรับ ประทานยาล่วงหน้าก่อนการตรวจ 1 วัน ไม่ต้อง งดน้ำ และอาหาร ทำไมต้องตรวจ EMG ที่โรงพยาบาลวิภาวดี? โรงพยาบาลวิภาวดีมีศูนย์ประสาทวิทยาที่ครบวงจร พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคทางระบบประสาท เส้นประสาท และกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ การตรวจ EMG ของเราดำเนินการด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และการวิเคราะห์ผลอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู รพ.วิภาวดี เบอร์ 02-561-1111 ต่อ 1118-9