เมื่อลูกน้อยเป็นโรคเท้าปุก... ต้องรีบปรึกษาแพทย์ก่อนสายเกินแก้

เมื่อลูกน้อยเป็นโรคเท้าปุก... ต้องรีบปรึกษาแพทย์ก่อนสายเกินแก้

 

 เมื่อลูกน้อยเป็นโรคเท้าปุก...

ต้องรีบปรึกษาแพทย์ก่อนสายเกินแก้

       “โรคเท้าปุก” เป็นการผิดรูปของเท้าในเด็กแรกเกิดที่พบบ่อยที่สุดชนิดหนึ่งโดยมีโอกาสพบได้ประมาณ 1 ใน 1,000 ของเด็กแรกคลอดอาจแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามเชื้อชาติ โดยรูปร่างเท้าจะมีลักษณะผิดรูปหลายอย่างร่วมกันแต่อาจสังเกตได้โดยมีลักษณะฝ่าเท้าบิดเข้าด้านใน ปลายเท้าโค้งเข้าและส้นเท้าจิกลง

       โรคเท้าปุกนี้เป็นที่รู้จักและสนใจกันมาเป็นเวลานานแล้วโดยเราอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ โรคเท้าปุกแท้ และ โรคเท้าปุกเทียม ซึ่งอาจแยกคร่าวๆ ได้โดยดูจากความรุนแรงของความผิดปกติที่พบ

       โดย  โรคเท้าปุกเทียม จะพบว่าความผิดรูปของเท้ามีลักษณะนิ่ม เพียงการดัดเบาๆ ก็จะเห็นเท้าคืนรูปได้ เท้าปุกชนิดนี้เท้าไม่ได้มีความผิดปกติที่เกิดกับโครงสร้างของเท้าที่แท้จริง สาเหตุเชื่อว่าอาจเกิดจากการที่เด็กขดตัวอยู่ในท้องแม่เป็นเวลานานหรืออาจหาสาเหตุไม่พบเลย เท้าปุกแบบนี้สามารถหายเองได้หรืออาจใช้เพียงการเขี่ยเท้าเพื่อกระตุ้นให้เด็กขยับเท้าก็เพียงพอ

       ส่วน  โรคเท้าปุกแท้  นั้น ความผิดปกติของรูปร่างเท้าจะรุนแรงกว่า เห็นได้ชัดเจนและแข็งไม่สามารถดัดให้เท้าคืนกลับมาอยู่ในรูปร่างปกติได้ เท้าปุกแบบนี้ไม่สามารถหายเองได้จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะหากทิ้งไว้จะก่อให้เกิดความผิดปกติหรือความพิการถาวรเกิดขึ้นได้ การแยกเท้าปุกทั้งสองแบบออกจากกันจึงมีความสำคัญหากไม่แน่ใจควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อในเด็ก 

วิธีการรักษาโรคเท้าปุก

       การรักษาโรคเท้าปุกมีการพัฒนามายาวนาน   มีทั้งการรักษาแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด   ในปัจจุบันวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือคือการรักษาโดยวิธีแบบ Ponseti หลักของการรักษาแบบนี้คือการดัดแก้ไขความผิดรูปของเท้าทีละน้อยร่วมกับการใส่เฝือก  โดยต้องเปลี่ยนเฝือกทุก 1-2  สัปดาห์และทำการดัดเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะประมาณ 6-8 ครั้งขึ้นกับความรุนแรง จนได้รูปเท้ากลับมาใกล้เคียงปกติ  และมักจะต้องร่วมกับการเจาะยืดเอ็นร้อยหวายในการใส่เฝือกครั้งสุดทาย   หลังจากเท้าได้รูปที่ดีแล้วยังคงต้องใส่อุปกรณ์ช่วยดัดเท้าในเวลาที่เด็กนอนหลับต่ออีก 3-4 ปีเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การรักษาโดยวิธีนี้ควรเริ่มรักษาให้เร็วที่สุดจะได้ผลดีกว่า

       แม้อาจฟังดูแล้วยุ่งยากและใช้เวลาแต่ก็เป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีและมีผลเสียน้อยที่สุด  โดยเฉพาะถ้าเทียบกับการผ่าตัดที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง  เช่นแผลเป็นที่แข็งและเจ็บหรือความเสื่อมของข้อต่อในเท้าก่อนเวลา  การผ่าตัดจึงจะทำในรายที่จำเป็นเท่านั้น

<