รากฟันเทียม คืออะไร

รากเทียม(Implant) คือ วัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันทำจากไทเทเนียม (Titanium) ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยต่อร่างกาย โดยจะใช้สำหรับฝังเข้าไปในขากรรไกรเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป จากนั้นทันตแพทย์จะยึดติดครอบฟันเข้ากับรากเทียม 
 

ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อฟันถูกถอนไป
 

1.ฟันที่อยู่ข้างเคียงกับช่องว่างฟันจะล้มเข้าหาช่องว่าง ทำให้การเรียงตัวของฟันและตำแหน่งฟันผิดปกติไป

2.เศษอาหารติดซอกฟันมากขึ้น เมื่อมีช่องว่างฟันเกิดขึ้นฟันข้างเคียงจะขยับเข้ามาในช่องว่าง ทำให้ฟันที่เหลืออยู่ที่เคยชิดกันจะห่างมากขึ้นอาจนำไปสู่ปัญหาเศษอาหารติดตามระหว่างซี่ฟันหรือซอกฟันมากขึ้น

3.การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพลดลง เพราะเหลือฟันที่ใช้บดเคี้ยวน้อยลง

4.ในกรณีที่ฟันที่เป็นคู่สบกับฟันที่ถูกถอนเป็นฟันบนก็จะงอกย้อยลงข้างล่างมากขึ้น แต่ถ้าคู่สบเป็นฟันล่างก็จะค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างบนมากขึ้น เนื่องจากฟันที่ถูกถอนไปเคยสบกัน ค้ำยันเอาไว้ พอถูกถอนไปทำให้ไม่มีฟันสบค้ำยัน ในกรณีที่ทิ้งช่องว่างไว้หลายๆปี อาจทำให้คู่สบเคลื่อนออกมาจนรากฟันโผล่และต้องถอนฟันไปในที่สุด

5.กระดูกบริเวณที่ฟันถูกถอนไปมีการละลายมากขึ้น เนื่องจากโดยธรรมชาติเมื่อกระดูกไม่มีฟันอยู่ ทำให้กระดูกบริเวณนั้นไม่ได้ใช้งาน ก็จะเกิดการละลายไปเรื่อยๆทำให้กระดูกแคบและเตี้ยลง

6.ในกรณีที่สูญเสียฟันหน้าบนและล่างหลายซี่เป็นระยะเวลานาน ทำให้กระดูกขากรรไกรละลาย มีการยุบตัว ส่งผลให้ใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลง คือใบหน้าดูสั้นขึ้นและคางยุบเข้าไป ทำให้ใบหน้าดูสูงอายุมากกว่าปกติ

7.เพิ่มโอกาสเป็นโรคปริทันต์หรือเหงือกอักเสบเพราะเมื่อฟันถูกถอนไปทำให้การดูแลทำความ สะอาดยากขึ้นส่งผลให้เหงือกอักเสบและเกิดฟันผุได้

8.สูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้ายิ้ม กลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นช่องว่างฟันที่ถูกถอนไป
 

ข้อดีของการทำรากฟันเทียม
 

1.เป็นการใส่ฟันติดแน่นถาวร ที่ช่วยทดแทนฟันที่สูญเสียไป

2.ทำให้มีฟันในการบดเคี้ยวอาหาร ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น

3.มีความสะดวกสบายเพราะรากเทียมเป็นฟันติดแน่นถาวร ทำให้ไม่รู้สึกรำคาญ หรือกดเจ็บจากฟันปลอมถอดได้

4.ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีและมีความมั่นใจในรอยยิ้ม เพราะรากเทียมดูคล้ายกับฟันธรรมชาติ

5.ช่วยทดแทนการทำสะพานฟัน โดยปกติการทำสะพานฟันต้องมีการกรอแต่งฟันธรรมชาติที่อยู่ข้างหน้า และข้างหลังของช่องว่างฟัน แต่การทำรากเทียม ไม่ต้องไปรบกวนฟันที่อยู่ข้างเคียงของช่องว่างฟัน ทำให้ไม่ต้องกรอฟันธรรมชาติโดยไม่มีความจำเป็น
 

ขั้นตอนในการทำรากเทียม แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ คือ
 

1.การตรวจประเมินสภาพในช่องปากเพื่อวางแผนการรักษา

ผู้ป่วยมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินช่องปากก่อนว่าตำแหน่งที่ฟันถูกถอนไปมีความพร้อมและเหมาะสมที่จะฝังรากเทียมหรือไม่ มีการถ่ายภาพรังสีทั้งแบบธรรมดา และแบบ3มิติ (3D Cone Beam CT) เพื่อดูความกว้างและความสูงของกระดูกบริเวณที่จะฝังว่าเพียงพอหรือไม่ จากนั้นทันตแพทย์จะวิเคราะห์และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

2.การผ่าตัดฝังรากเทียม

หลังจากวางแผนการรักษาเรียบร้อยแล้วทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดฝังรากเทียมเข้าไปในกระดูกขา กรรไกรโดยใช้ยาชาฉีดก่อนทำการผ่าตัด จากนั้นนัดตัดไหมและดูแผล 7-14 วันหลังการผ่าตัด และทิ้งช่วงรอเวลาให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรประมาณ 3-6 เดือน 

3.การต่อส่วนแกนและครอบฟัน

เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกรเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปาก และเลือกแกนหลัก(Abutment)ที่เหมาะสมกับตำแหน่งฟันซี่นั้น โดยแกนหลักจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างรากเทียมกับครอบฟันด้านบน และทำครอบฟันเพื่อมาสวมใส่ทับบนแกนหลักอีกที โดยจะนัดมาลองครอบฟันหลังจากพิมพ์ปากไปแล้ว 1-2สัปดาห์

คำแนะนำการดูแลรักษารากฟันเทียม

 

            การดูแลรักษารากเทียมเหมือนกับการดูแลฟันธรรมชาติ ถึงแม้ว่ารากเทียมไม่สามารถผุได้ เนื่องจากเป็นโลหะทั้งซี่ แต่รากเทียมสามารถเป็นโรคปริทันต์หรือว่าโรคเหงือกอักเสบเหมือนกับฟันธรรมชาติได้ ซึ่งถ้าเป็นโรคเหงือกอักเสบจะทำให้กระดูกรอบๆรากเทียมมีการละลาย และในที่สุดกระดูกรอบรากเทียมไม่เพียงพอที่จะรองรับ จะทำให้รากเทียมโยกและหลุดออกมาได้ ดังนั้นการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน การทำความสะอาดอย่างถูกต้องรวมถึงการตรวจสุขภาพช่องปากสม่ำเสมอมีความสำคัญทั้งรากเทียมและฟันธรรมชาติ ซึ่งข้อปฏิบัติการดูแลมีดังนี้
 

•ควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารและก่อนเข้านอน อย่างน้อยวันละ2ครั้ง

•ควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ1-2ครั้ง หรือใช้แปรงซอกฟันในการทำความสะอาดซอกฟัน

•ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและรากเทียมตามที่ทันตแพทย์นัด หรืออย่างน้อยทุก6เดือน
 

ด้วยความปรารถนาดี 
ทพญ.กัญธนัช  ฉัตรวรัทธนา 
ศูนย์ทันตกรรม รพ.วิภาวดี