10 อาการโรคหัวใจ สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

  • โรคหัวใจคือความผิดปกติของหัวใจหรือหลอดเลือด ทำให้หัวใจทำงานไม่เต็มที่ อาจเกิดจากหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือลิ้นหัวใจผิดปกติ หากไม่ดูแลอาจเสี่ยงหัวใจวายหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  • โรคหัวใจอาการเริ่มต้น ผู้ป่วยอาจเหนื่อยง่ายกว่าปกติ หายใจไม่เต็มอิ่ม ใจสั่น หรือมีอาการแน่นหน้าอกเป็นครั้งคราว อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นช้าๆ และบางครั้งถูกมองข้ามว่าเป็นความเหนื่อยล้าหรือความเครียด
  • อาการโรคหัวใจที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่ แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น เป็นลม ขาบวม เท้าบวม เหงื่อออกผิดปกติ นอนไม่หลับหรือหอบตอนนอน แน่นท้อง คลื่นไส้ และวิตกกังวลโดยไม่มีสาเหตุ หากพบอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหัวใจทันที

โรคหัวใจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด เพราะหลายคนอาจกำลังมีสัญญาณเตือนโดยไม่รู้ตัว! ไม่ว่าจะเป็นเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก หรือใจสั่นเป็นพักๆ ล้วนเป็นอาการที่บ่งบอกว่าหัวใจกำลังต้องการความดูแล มาลองเช็ก 10 อาการโรคหัวใจที่ไม่ควรมองข้าม รู้ทันตั้งแต่เนิ่นๆ ป้องกันได้ เพราะ “หัวใจ” คืออวัยวะที่ไม่ควรรอให้มีปัญหา ตรวจเช็กหัวใจที่โรงพยาบาลวิภาวดี เพื่อป้องกันก่อนเกิดเหตุฉุกเฉิน!

โรคหัวใจคืออะไร? ทำไมถึงอันตราย

โรคหัวใจคืออะไร? ทำไมถึงอันตราย

โรคหัวใจ (Heart Disease) คือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวใจและหลอดเลือดที่มาเลี้ยงหัวใจ ทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติไป ไม่ว่าจะเป็นการสูบฉีดเลือด การส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะ หรือจังหวะการเต้นของหัวใจ โรคหัวใจสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ ความเครียดเรื้อรัง กรรมพันธุ์ ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การทานอาหารไขมันสูง ไม่ออกกำลังกาย และน้ำหนักเกิน

โรคหัวใจจึงถือว่าอันตราย เพราะหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ส่งเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย หากหัวใจทำงานผิดปกติ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หัวใจวายเฉียบพลัน หัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะจนหมดสติ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้ นอกจากนี้โรคหัวใจมักพัฒนาเงียบๆ ในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวจนกว่าจะเกิดอาการรุนแรง จึงยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพหัวใจและการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง

10 อาการโรคหัวใจที่ไม่ควรมองข้าม

10 อาการโรคหัวใจที่ไม่ควรมองข้าม

โรคหัวใจมักเริ่มต้นโดยไม่มีอาการชัดเจน แต่สังเกตสัญญาณผิดปกติร่างกายแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันอันตรายร้ายแรงได้ ไปเช็กเลยโรคหัวใจอาการเป็นแบบไหนที่ควรเฝ้าระวัง

1. จุกแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

อาการจุกแน่นหน้าอกเป็นสัญญาณสำคัญของโรคหัวใจขาดเลือด มักรู้สึก “แน่น” หรือ “จุก” เหมือนมีของหนักมากดทับ บีบรัด หรือแน่นตึง บริเวณกลางหน้าอกหรือค่อนไปทางซ้าย อาการนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการออกแรง เดินเร็ว หรือมีภาวะเครียด และจะดีขึ้นเมื่อหยุดพักหรืออมยาขยายหลอดเลือด (สำหรับผู้ที่เป็นโรคอยู่แล้ว)

อาการเจ็บแน่นนี้อาจร้าวไปที่แขนซ้าย ไหล่ คอ ขากรรไกร หรือลิ้นปี่ก็ได้ หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกต่อเนื่องนานเกิน 15-20 นาที แม้ในขณะพัก ถือเป็นสัญญาณอันตรายของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

2. เหนื่อยง่ายกว่าปกติจากภาวะหัวใจวายเลือดคั่ง

เมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ เลือดจึงคั่งในปอดและร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน อาการเริ่มแรกคือเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น เคยเดินขึ้นบันได 3 ชั้นได้สบาย แต่ตอนนี้แค่เดินขึ้นชั้นเดียวก็รู้สึกหอบ เหนื่อย หายใจถี่ หรือหายใจไม่อิ่ม แม้ทำกิจกรรมเบาๆ อาการนี้เกิดจากหัวใจเริ่มอ่อนแรงลง ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายและปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีของเหลวคั่งอยู่ในปอด (ภาวะหัวใจวายเลือดคั่ง)

3. ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือความผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ช้า หรือไม่สม่ำเสมอ ลักษณะอาการที่พบคือผู้ป่วยจะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ชัดเจนและผิดปกติ เช่น รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วและรัวผิดปกติ (เกิน 100 ครั้ง/นาที) รู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าผิดปกติ (น้อยกว่า 50 ครั้ง/นาที) บางคนรู้สึก “ตุ้มๆ ต่อมๆ” รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นสะดุด เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นกระโดด หรือเต้นแผ่วไปชั่วขณะ อาจมีอาการวิงเวียน หน้ามืด หรือเป็นลมร่วมด้วย ในบางกรณีหากเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง อาจเสี่ยงต่อหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายได้ จึงไม่ควรมองข้ามเมื่อมีอาการใจสั่นบ่อยหรือเป็นนาน

เป็นลม หมดสติบ่อย

4. เป็นลม หมดสติบ่อย

อาการเป็นลมหมดสติที่มีสาเหตุมาจากโรคหัวใจ มักเกิดจากการที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ชั่วขณะ อาจเกิดจากภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติอย่างรุนแรง หรือมีภาวะลิ้นหัวใจตีบอย่างรุนแรง ทำให้เลือดไหลออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง ผู้ป่วยมักมีอาการวูบ หรือหมดสติไปทันที และมักเกิดขึ้นขณะออกแรงหรือเปลี่ยนท่าทาง หากมีอาการนี้บ่อยครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ควรเข้ารับการตรวจหัวใจอย่างละเอียด

5. ขาบวม เท้าบวม น้ำหนักขึ้นรวดเร็ว

เมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่ดี (ภาวะหัวใจล้มเหลว) เลือดและของเหลวจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ไม่สะดวก ทำให้เกิดการ คั่งของของเหลว ในส่วนล่างของร่างกาย ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นอาการบวมบริเวณข้อเท้าและขา โดยเฉพาะในช่วงเย็น และเมื่อกดจะเกิดรอยบุ๋มค้างอยู่ นอกจากนี้การสะสมของของเหลวในร่างกายอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (เช่น 2-3 กิโลกรัมในไม่กี่วัน) ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะน้ำเกินในร่างกายจากหัวใจวาย

6. เหงื่อออกมากผิดปกติ โดยไม่ออกแรง

การมีเหงื่อออกท่วมตัวอย่างผิดปกติ โดยที่ไม่ได้อยู่ในที่ร้อน ไม่ได้ออกกำลังกาย หรือไม่ได้มีไข้ โดยเฉพาะหากเกิดร่วมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หน้ามืด หรือคลื่นไส้ อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือภาวะช็อกที่เกิดจากหัวใจล้มเหลว เมื่อหัวใจกำลังเผชิญกับวิกฤต ร่างกายจะตอบสนองด้วยการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้ทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดการหลั่งอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเหงื่อออกมากผิดปกติร่วมกับอาการมือเท้าเย็น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมิน

เหนื่อยตอนนอนหรือต้องนั่งพิงหัวสูง

7. เหนื่อยตอนนอนหรือต้องนั่งพิงหัวสูง

อาการนี้เป็นลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยหัวใจวาย โดยผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อย หอบอย่างมากทันทีที่นอนราบ และอาการจะดีขึ้นเมื่อลุกขึ้นนั่งหรือใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูงหลายใบ การเหนื่อยเมื่อนอนราบเป็นผลมาจากการที่ของเหลวที่คั่งอยู่ตามร่างกายไหลกลับเข้าสู่ปอดง่ายขึ้นในท่านอน ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดชั่วคราว ซึ่งรบกวนการหายใจและทำให้รู้สึกอึดอัด หากสังเกตว่าต้องหนุนหมอนสูงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่นอนราบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินภาวะหัวใจ

8. นอนไม่หลับ หรือตื่นกลางดึกหอบเหนื่อย

ผู้ป่วยหัวใจวายบางรายอาจมีอาการที่เรียกว่า Paroxysmal Nocturnal Dyspnea (PND) คือการตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างกะทันหันด้วยอาการหอบเหนื่อย หรือสำลักอากาศอย่างรุนแรง จนต้องลุกขึ้นนั่งหรือยืนเพื่อหายใจ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าภาวะน้ำเกินในปอดมีความรุนแรง นอกจากนี้ความไม่สบายตัว อาการไอ หรือรู้สึกไม่สบายหน้าอกร่วมด้วย ยังทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการนอนหลับหรือนอนไม่หลับได้ อาการเหล่านี้มักสะท้อนภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปัญหาทางเดินหายใจที่ได้รับผลกระทบจากหัวใจ จึงควรประเมินการทำงานของหัวใจและปอดร่วมกัน

9. มีอาการแน่นท้อง คลื่นไส้ หรือเบื่ออาหาร

อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของอาการโรคหัวใจ โดยเฉพาะในภาวะหัวใจขาดเลือดที่ไม่แสดงอาการเจ็บหน้าอกชัดเจน ผู้ป่วยอาจรู้สึกจุกแน่นท้องคล้ายอาหารไม่ย่อย หรือมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย อีกทั้งภาวะหัวใจล้มเหลวอาจทำให้เกิดเลือดคั่งในตับและทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด และเบื่ออาหารตามมา

เนื่องจากอวัยวะภายในขยายตัวจากภาวะน้ำคั่ง อาการเหล่านี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ แต่หากเป็นร่วมกับอาการเหนื่อยง่าย ขาบวม เท้าบวม หรือแน่นหน้าอก ควรนึกถึงโรคหัวใจเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญด้วย

10. วิตกกังวล หรือรู้สึกใจไม่สงบโดยไม่มีสาเหตุ

ความรู้สึกวิตกกังวล กระสับกระส่าย หรือตื่นตระหนกโดยไม่มีสาเหตุทางจิตใจชัดเจน อาจมีมาจากปัญหาการทำงานของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นเร็ว หรือการขาดออกซิเจนที่กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้ตอบสนองผิดปกติ ผู้ป่วยอาจอธิบายว่ารู้สึก “ใจไม่สงบ” หรือกลัวว่าจะมีเหตุฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์ภายนอกรองรับ อาการเหล่านี้หากมาพร้อมกับอาการทางกาย เช่น เหงื่อออก หายใจเร็ว หรือเจ็บหน้าอก ควรตรวจหัวใจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน

ตรวจเช็กสุขภาพหัวใจ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ตรวจเช็กสุขภาพหัวใจ ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ตรวจสุขภาพหัวใจแบบครบวงจรที่โรงพยาบาลวิภาวดี ซักประวัติโรคประจำตัว พฤติกรรมเสี่ยง และตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ พิจารณาการตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหัวใจ (Echocardiogram) หรือการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) รวมถึงการตรวจเลือดประเมินไขมัน น้ำตาล และค่าการอักเสบต่างๆ เพื่อดูความเสี่ยงโรคหัวใจ เครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัย และบริการตรวจคัดกรองอย่างเป็นระบบ แนะนำแนวทางดูแลรักษา พร้อมวางแผนป้องกันโรคหัวใจอย่างเหมาะสมเฉพาะราย

สรุป

อาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของร่างกายอาจเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าหัวใจกำลังทำงานหนักกว่าที่ควร หากเรารู้จักสังเกต 10 อาการเตือนโรคหัวใจ เช่น แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือนอนแล้วหายใจลำบาก ก็ช่วยให้ตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรก การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดัน เบาหวาน ไขมันสูง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจหัวใจแบบครบวงจร พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางดูแลอย่างใกล้ชิด ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าหัวใจทำงานปกติและได้รับการดูแลทันทีหากพบความผิดปกติ เพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย อุ่นใจ และแข็งแรงในทุกวัน


FAQ

อาการระยะแรกมักเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น หรือแน่นหน้าอกเป็นครั้งคราว บางคนอาจมีอาการบวมที่เท้าหรือขา น้ำหนักขึ้นเร็ว หรือรู้สึกนอนหลับไม่สนิทเพราะหายใจติดขัด อาการเหล่านี้มักถูกมองข้ามว่ามาจากความเครียดหรือพักผ่อนไม่พอ แต่จริงๆ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของหัวใจทำงานผิดปกติ

อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจมักเป็นความรู้สึกแน่น กดทับ หรือหนักที่กลางหน้าอก ไม่ใช่เจ็บแปลบเฉียบพลันเหมือนกล้ามเนื้ออักเสบ อาจลามไปแขนซ้าย คอ กราม หรือหลังร่วมด้วย บางรายอาจมีเหงื่อออก หน้ามืด คลื่นไส้ หรือหายใจหอบร่วมด้วย หากอาการเป็นนานเกิน 5-10 นาที หรือเกิดบ่อย ควรตรวจหัวใจทันที

หัวใจวายจะมีอาการเหนื่อยมาก หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก เหงื่อออกมาก และอาจรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ในบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือรู้สึกอ่อนแรงจนยืนไม่ไหว หัวใจวายเฉียบพลันถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากเกิดอาการคล้ายหัวใจวายควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

สำหรับคนทั่วไปควรตรวจสุขภาพหัวใจปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดัน เบาหวาน ไขมันสูง สูบบุหรี่ น้ำหนักเกิน อายุมากกว่า 40 ปี หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรตรวจถี่ขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์ การตรวจอย่างสม่ำเสมอช่วยค้นหาความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และป้องกันอันตรายจากโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง