ต้อหิน: ภัยเงียบทำลายดวงตา

ต้อหิน: ภัยเงียบทำลายดวงตา รู้ทันอาการก่อนสายตาบอด

Key Takeaway

  • ต้อหินเป็นโรคที่ทำลายเส้นประสาทตาจากความดันลูกตาสูง หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร
  • อาการของต้อหินมักไม่ชัดเจนในระยะแรก เช่น มองเห็นลานสายตาแคบลงหรือพร่ามัว บางชนิดอาจปวดตาเฉียบพลันหรือเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ
  • การรักษาต้อหินทำได้หลายวิธี ได้แก่ การใช้ยาเพื่อลดความดันลูกตา การรักษาด้วยเลเซอร์ และ การผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค

“ต้อหิน” ภัยเงียบของดวงตาที่หลายคนมองข้าม เกิดจากความดันในลูกตาสูงจนทำลายเส้นประสาทตาอย่างช้าๆ โดยในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใดๆ หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจและรักษา อาจทำให้สายตาพร่ามัว จนสูญเสียการมองเห็นได้ การตรวจตาอย่างสม่ำเสมอและรู้ทันสัญญาณเตือนจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสายตาของคุณให้ปลอดภัย

ต้อหินคืออะไร

ต้อหินคืออะไร?

ต้อหินเกิดจากความดันลูกตาสูงหรือตัวประสาทตาไวต่อความดัน ทำให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย ส่งผลให้ลานสายตาค่อยๆ แคบลง หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรหรือตาบอดได้ ลักษณะสำคัญคือการเสื่อมของเส้นประสาทตาที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ โดยในระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน จึงถูกเรียกว่า “ฆาตกรเงียบของดวงตา” 

ต้อหินแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่

  • ต้อหินมุมเปิด (Open-Angle Glaucoma)
  • ต้อหินมุมปิด (Angle-Closure Glaucoma)
  • ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma)
  • ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma)

โดยแต่ละชนิดมีความรุนแรงและแนวทางการรักษาต่างกัน จึงควรตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภาวะสูญเสียการมองเห็นในระยะยาว

ต้อหินเกิดจากอะไรได้บ้าง?

ต้อหินสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ได้มาจากความดันตาสูงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้ความเสี่ยงในการสูญเสียการมองเห็นเพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. ความดันในตาสูงเกินไป กดทับเส้นประสาทตาและทำลายการทำงาน
  2. ปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นต้อหิน จะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น
  3. พบได้บ่อยในผู้ที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป เพราะเนื้อเยื่อตาเสื่อมตามวัย
  4. โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่มีผลต่อการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทตา
  5. การใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์ในระยะยาว อาจเพิ่มความดันตาได้
  6. การบาดเจ็บหรือโรคตาอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุที่ดวงตา หรือต้อประเภทอื่นที่ส่งผลต่อการระบายน้ำในตา


เช็กอาการของต้อหิน ก่อนสูญเสียการมองเห็น

เช็กอาการของต้อหิน ก่อนสูญเสียการมองเห็น

ต้อหินเป็นโรคที่อันตรายเพราะมักไม่ค่อยแสดงอาการชัดเจนในระยะแรก หลายคนจึงสับสนระหว่างตาพร่าเพราะความเหนื่อยล้าหรือสายตาผิดปกติทั่วไปกับตาพร่าจากต้อหิน ความต่างคืออาการพร่าตามปกติจะดีขึ้นเมื่อพักสายตาหรือใส่แว่นที่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นต้อหินอาการจะค่อยๆ รุนแรงขึ้นและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ไปดูกันว่าอาการต้อหินแต่ละประเภทมีอาการอย่างไร

ต้อหินมุมเปิด (Open-Angle Glaucoma)

ต้อหินมุมเปิดเป็นต้อหินที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการอุดกั้นของทางระบายน้ำในตาอย่างช้าๆ ทำให้ความดันตาสูงขึ้นทีละน้อย มักไม่มีอาการในระยะแรก อาจเริ่มมองเห็นลานสายตาข้างๆ แคบลง จนเหลือเพียงการมองตรงกลางเหมือนมองผ่านท่อ พบบ่อยในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน

ต้อหินมุมปิด (Angle-Closure Glaucoma)

ต้อหินมุมปิดเกิดจากมุมระบายน้ำในตาถูกปิดกั้นทันที ทำให้ความดันตาสูงขึ้นรวดเร็ว มักมีอาการปวดตาเฉียบพลัน ตาแดง เห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ คลื่นไส้ อาเจียน และตามัวลงทันที พบในผู้ที่มีสายตายาวหรือดวงตาลึก โดยเฉพาะผู้หญิงวัยกลางคนขึ้นไป

ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma)

ต้อหินแต่กำเนิดมักเกิดมาจากความผิดปกติของระบบระบายน้ำในตาตั้งแต่เกิด ลักษณะ อาการ คือเด็กจะมีดวงตาขนาดใหญ่กว่าปกติ น้ำตาไหลมาก ตาสู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น พบในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดหรือช่วงปีแรกๆ ของชีวิต

ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma)

ต้อหินทุติยภูมิคือต้อหินที่มีสาเหตุอื่นที่กระทบต่อความดันตา เช่น การอักเสบ การบาดเจ็บ การใช้ยาสเตียรอยด์ หรือโรคตาบางชนิด อาจมีตาแดง ปวดตา มองเห็นไม่ชัด หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน พบบ่อยในผู้ที่มีโรคตาเรื้อรัง ประวัติบาดเจ็บที่ตา หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่อง

อาการต้อหินแบบไหน ควรไปพบแพทย์

อาการต้อหินแบบไหน ควรไปพบแพทย์?

อาการต้อหินบางอย่างอาจดูคล้ายอาการตาพร่าทั่วไป แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจ อาจทำให้การมองเห็นเสียไปอย่างถาวรได้ ดังนั้นควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการต่อไปนี้

  • การมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงรอบดวงไฟ (แสงฟุ้ง) หรือภาพซ้อน
  • ลานสายตาแคบลง มองเห็นด้านข้างได้น้อยลง เหมือนมองผ่านท่อ
  • ปวดตาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะร่วมกับตาแดง และตามัวเฉียบพลัน
  • คลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับอาการปวดตาและตามัว
  • เด็กเล็กที่ตาโตผิดปกติ น้ำตาไหลมาก หรือกระจกตาขุ่น ควรสงสัยต้อหินแต่กำเนิด

หากมีอาการผิดปกติทางตา โดยเฉพาะปวดตา ตามัวลงแบบเฉียบพลัน หรือการมองเห็นเปลี่ยนไปจากเดิม ควรรีบตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์ เพื่อป้องกันความเสียหายของเส้นประสาทตาที่ไม่สามารถฟื้นคืนได้


วิธีตรวจวินิจฉัยต้อหิน

วิธีตรวจวินิจฉัยต้อหิน

การตรวจต้อหินไม่ใช่เพียงการวัดสายตาทั่วไป แต่เป็นการตรวจเช็กสุขภาพตาเชิงลึก เพื่อดูความผิดปกติ ทั้งความดันลูกตา เส้นประสาทตา และลานสายตา หากพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะสามารถควบคุมโรคได้ก่อนเกิดความเสียหายถาวร โดยมีวิธีวินิจฉัยดังนี้

การตรวจความดันลูกตา (Tonometry)

เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้ตรวจต้อหิน โดยเครื่องจะวัดแรงดันภายในลูกตา ค่าเฉลี่ยปกติจะอยู่ระหว่าง 10-21 มม.ปรอท (mmHg) ถ้าค่าสูงกว่านี้ อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงต้อหิน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ความดันตาสูงจะเป็นต้อหินเสมอไป จึงต้องใช้การตรวจอื่นๆ ประกอบร่วมด้วย

การตรวจลานสายตา (Visual Field Test)

เป็นการทดสอบการมองเห็นรอบนอกหรือด้านข้าง ผู้ป่วยจะนั่งจ้องไปยังจุดกลางของเครื่อง จากนั้นจะมีแสงไฟเล็กๆ ปรากฏขึ้นตามจุดต่างๆ ผู้ป่วยกดปุ่มเมื่อตาเห็นไฟ การทดสอบนี้ใช้ตรวจว่าลานสายตามีการหายไปหรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของต้อหิน โดยปกติในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าลานสายตาแคบลง

การตรวจมุมระหว่างกระจกตาและม่านตา (Gonioscopy)

แพทย์จะวางเลนส์ขนาดเล็กที่มีกระจกสะท้อนลงบนตา (หลังหยอดยาชา) เพื่อส่องดูมุมระหว่าง กระจกตาและม่านตาว่าเปิดกว้างหรือถูกปิดกั้น การตรวจนี้สำคัญเพราะช่วยแยกชนิดของต้อหิน เช่น ต้อหินมุมเปิด (น้ำไหลออกยากแต่ยังมีช่องว่าง) กับต้อหินมุมปิด (มุมถูกปิดจนระบายน้ำไม่ได้เลย)

การตรวจเพิ่มเติม

นอกจากการตรวจพื้นฐาน แพทย์อาจแนะนำตรวจเสริมเพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำขึ้น เช่น

  • OCT (Optical Coherence Tomography) ถ่ายภาพเส้นประสาทตาแบบละเอียด ดูการเสื่อมของใยประสาทตา
  • Pachymetry ตรวจวัดความหนาของกระจกตา เพราะความหนาหรือบางของกระจกตาส่งผลต่อค่าความดันตาที่วัดได้
  • Fundus Examination การส่องตรวจจอประสาทตาเพื่อดูรูปร่างของขั้วประสาทตา ว่ามีการถูกทำลายจากต้อหินหรือไม่

แนวทางการรักษาต้อหิ

แนวทางการรักษาต้อหิน

การรักษาต้อหินมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ระดับความรุนแรง และสุขภาพตาของผู้ป่วยเป้าหมายหลักคือ ลดความดันลูกตา ป้องกันการทำลายเส้นประสาทตา และรักษาการมองเห็นให้คงที่

การรักษาโดยใช้ยา (Medication)

การใช้ยาเป็นวิธีรักษาต้อหินที่นิยมมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มมีความดันลูกตาสูงแต่ยังไม่รุนแรง ยาหยอดตาต้องใช้เป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดความดันลูกตาโดยตรง มีทั้งยาที่ลดการผลิตน้ำในลูกตา และยาที่เพิ่มการระบายน้ำออกจากลูกตา การใช้ยาอย่างสม่ำเสมอสามารถชะลอความเสียหายของเส้นประสาทตาได้ แต่ต้องระวังผลข้างเคียง เช่น ตาแห้ง ตาแดง หรือระคายเคือง รวมถึงบางชนิดอาจมีผลต่อหัวใจหรือความดันเลือด จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

การรักษาโดยเลเซอร์ (Laser Therapy)

การรักษาด้วยเลเซอร์เหมาะกับบางกลุ่ม เช่น ต้อหินมุมปิดหรือบางกรณีของต้อหินมุมเปิด แพทย์จะใช้พลังงานเลเซอร์สร้างทางระบายน้ำใหม่หรือปรับปรุงการไหลเวียนของน้ำในลูกตา เพื่อช่วยลดความดันตา วิธีนี้มักทำเพียงครั้งเดียวก็เห็นผลชัดเจน และใช้เวลาสั้น แต่ต้องตรวจติดตามผลเป็นระยะ เพราะผลการรักษาอาจค่อยๆ ลดลงตามเวลา

การรักษาโดยผ่าตัด (Surgery)

การผ่าตัดต้อหินช่วยสร้างทางระบายน้ำใหม่ให้ลูกตา เพื่อลดความดันอย่างถาวร มีหลายวิธี เช่น Trabeculectomy ที่สร้างทางน้ำออกชั่วคราวใต้ผิวตา หรือการใส่อุปกรณ์ระบายน้ำตา (Glaucoma Drainage Device) หลังผ่าตัดต้องดูแลตาอย่างใกล้ชิด ป้องกันการติดเชื้อและอาการแทรกซ้อนต่างๆ การปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัดมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของการรักษา

การติดตามผลหลังการรักษา

การรักษาต้อหินไม่ได้จบเพียงแค่การใช้ยา เลเซอร์ หรือผ่าตัด เพราะโรคนี้สามารถกลับมาเป็นอีกครั้งได้ การตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอช่วยให้แพทย์ประเมิน ความดันลูกตา ลานสายตา และเส้นประสาทตา เพื่อปรับแนวทางรักษาให้เหมาะสม และทำให้การมองเห็นคงที่ไปได้นาน ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย

แนวทางดูแลและป้องกันต้อหิน

การป้องกันต้อหินเริ่มต้นจากการดูแลดวงตาและสุขภาพโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ เพราะต้อหินมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก การดูแลดวงตาต่อไปนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคตาต่างๆ ได้

  • ควรไปตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีหรือมีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน
  • ดูแลสุขภาพทั่วไป ด้วยการควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ รวมถึงการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงดวงตาดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อความดันลูกตาสูง
  • เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อดวงตา เช่น ลดการใช้ยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหรือแรงกระแทกต่อดวงตา และพักสายตาเมื่อต้องใช้สายตามากๆ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน
  • รู้ทันอาการผิดปกติของตา เช่น ตามัว ปวดตา มองเห็นแสงสีรุ้ง ลานสายตาแคบลง หรือดวงตาโตผิดปกติในเด็ก หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที


รักษาต้อหินที่โรงพยาบาลวิภาวดี
 

รักษาต้อหินที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ศูนย์จักษุโรงพยาบาลวิภาวดี ตรวจคัดกรองและวินิจฉัยต้อหินอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตรวจความดันลูกตา การตรวจสนามสายตา และการตรวจเส้นประสาทตา เพื่อวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

สำหรับแนวทางการรักษา โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการครบทุกขั้นตอน ทั้งการใช้ยาหยอดตาเพื่อลดความดันลูกตา การรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อปรับปรุงการระบายน้ำในลูกตา และการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการควบคุมความดันลูกตาอย่างถาวร นอกจากนี้ยังมีการติดตามผลหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นและดูแลสุขภาพตาให้คงที่ มั่นใจได้ว่าการมองเห็นจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่
 

สรุป

ต้อหินเกิดจากโรคที่ทำลายเส้นประสาทตา จากความดันลูกตาสูง หากไม่รักษาอาจทำให้การมองเห็นสูญเสียถาวร อาการมักไม่ชัดเจนในระยะแรก เช่น ลานสายตาแคบลง หรือปวดตาเฉียบพลันในบางชนิด ต้อหินแบ่งเป็นมุมเปิด มุมปิด แต่กำเนิด และทุติยภูมิ การวินิจฉัยทำได้โดยตรวจ ความดันลูกตา สนามสายตา มุมกระจกตา และตรวจเพิ่มเติมอย่าง OCT การรักษาครอบคลุม ยา เลเซอร์ และผ่าตัด พร้อมติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงสูญเสียการมองเห็น การป้องกันทำได้ด้วย ตรวจตาสม่ำเสมอ ดูแลสุขภาพ เลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และสังเกตอาการผิดปกติ

ตรวจและรักษาต้อหิน โรคที่ทำลายเส้นประสาทตา หากไม่รักษาอาจทำให้การมองเห็นเสียถาวร ที่ศูนย์จักษุโรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการ ตรวจคัดกรองและรักษาต้อหินครบวงจร ทั้งด้วยยา เลเซอร์ และการผ่าตัด ด้วยจักษุแพทย์มากประสบการณ์และเทคโนโลยีทันสมัย ดูแลทุกปัญหาสายตาอย่างมืออาชีพ สนใจตรวจหรือต้องการรักษาตา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลวิภาวดี หรือติดต่อ โทร. 02-561-1111

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับต้อหินช่วยให้รับมือกับโรคได้อย่างถูกวิธี และลดความเสี่ยงการสูญเสียการมองเห็น

ต้อหินรักษาให้หายขาดได้ไหม?

ต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมความดันลูกตาและชะลอความเสียหายของเส้นประสาทตาได้ด้วยการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น ยาหยอดตา เลเซอร์ หรือการผ่าตัด การตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร

อาการแบบไหนต้องผ่าตัดต้อหิน?

ผู้ป่วยอาจต้องผ่าตัดหาก ใช้ยาและเลเซอร์แล้วความดันลูกตายังสูง หรือมีความเสียหายต่อเส้นประสาทตาอย่างชัดเจน การผ่าตัดช่วยสร้างทางระบายน้ำใหม่ ลดความดันลูกตาและป้องกันการมองเห็นเสียถาวร

เลเซอร์ต้อหินเจ็บไหม?

การทำเลเซอร์ต้อหินมักไม่เจ็บรุนแรง แพทย์จะหยอดยาชาเพื่อลดความรู้สึก ผู้ป่วยอาจรู้สึกเพียง ความร้อนหรือแรงกดเล็กน้อยขณะทำ แต่สามารถทำเสร็จในเวลาไม่นานและกลับบ้านได้เลย

ผ่าตัดต้อหินใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน?

หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดการผ่าตัดและการฟื้นตัวของแต่ละคน แพทย์จะนัดติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความดันลูกตาและการมองเห็น

รีวิวจากคนไข้

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์ต้อหิน: ภัยเงียบทำลายดวงตา