• วัณโรคปอดเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ อาการสำคัญ ได้แก่ ไอเรื้อรัง มีไข้ต่ำ เหงื่อออกตอนกลางคืน และน้ำหนักลด
  • สาเหตุของวัณโรคปอดเกิดจากการสูดละอองฝอยที่มีเชื้อจากผู้ป่วย โดยเฉพาะในพื้นที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • รักษาโดยใช้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน หากรับประทานยาสม่ำเสมอสามารถหายขาดได้
  • ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน BCG หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย สวมหน้ากากอนามัย และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

วัณโรคปอดเป็นโรคปอดติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและสามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจาม หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ มาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น ตั้งแต่สาเหตุของโรค วัณโรคปอดอาการเป็นอย่างไร? และวิธีป้องกันเพื่อดูแลสุขภาพให้ปลอดภัยจากวัณโรค

วัณโรคปอดคืออะไร?

วัณโรคปอดคืออะไร?

วัณโรคปอด (Tuberculosis หรือ TB) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ เชื้อสามารถแพร่กระจายผ่านอากาศ โดยติดต่อผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือพูดคุยกับผู้ติดเชื้อโดยไม่มีการป้องกัน

การติดเชื้อวัณโรคในปอดทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อปอดถูกทำลาย ผู้ป่วยอาจมีอาการคล้ายกับโรคปอดอื่นๆ เช่น ปอดบวมและปอดอักเสบ ได้แก่ ไอเรื้อรัง มีไข้ต่ำ เหงื่อออกตอนกลางคืน และน้ำหนักลดลง หากไม่ได้รับการรักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นและลุกลามไปยังอวัยวะอื่นในร่างกาย

อาการของโรควัณโรคปอด

อาการของโรควัณโรคปอด

อาการปอดอักเสบของวัณโรคปอดจะแสดงออกช้าๆ และอาจคล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ในช่วงแรกบางคนอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม โรควัณโรคปอดอาการก็จะเริ่มเด่นชัดขึ้น โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้

  • ไอเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ อาจมีเสมหะหรือไอเป็นเลือด
  • มีไข้ต่ำตอนบ่ายหรือเย็น และมีอาการต่อเนื่องหลายวัน
  • เหงื่อออกมากผิดปกติในตอนกลางคืน แม้อากาศไม่ร้อน
  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหารหรือรับประทานได้น้อยลง
  • อ่อนเพลียและรู้สึกเหนื่อยง่าย แม้ไม่ได้ออกแรงมาก
  • เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะหายใจลึกหรือไอ
  • หายใจลำบาก หากการติดเชื้อลุกลามไปมากขึ้น

วัณโรคปอดมีทั้งหมดกี่ระยะ

วัณโรคปอดมีทั้งหมดกี่ระยะ

วัณโรคปอดมีกี่ระยะ? วัณโรคปอดแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลักๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของอาการและความสามารถในการแพร่เชื้อ ดังนี้

  1. ระยะแฝง (Latent TB)ในระยะนี้ เชื้อวัณโรคยังไม่ก่อให้เกิดอาการ ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการผิดปกติ และไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ แต่หากร่างกายอ่อนแอลงหรือภูมิคุ้มกันลดลง เชื้ออาจตื่นตัวและพัฒนาไปเป็นวัณโรคระยะลุกลาม
  2. ระยะลุกลาม (Active TB)เป็นระยะที่เชื้อวัณโรคเริ่มแบ่งตัวและทำให้เกิดอาการ เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักลดลง และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นผ่านทางอากาศได้ หากไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่นของร่างกายได้

วัณโรคปอดเกิดจากสาเหตุอะไร

สาเหตุหลักของวัณโรคปอดมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม หรือพูดคุยกันในระยะใกล้ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบทางเดินหายใจ และหากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เชื้อก็สามารถเติบโตและก่อให้เกิดโรคได้ โดยปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่

  • ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอด โดยเฉพาะในที่อากาศถ่ายเทไม่ดี
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ
  • สภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิต เช่น อยู่ในสถานที่แออัด ขาดสุขอนามัย หรือขาดสารอาหาร
  • สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้ปอดอ่อนแอและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

วัณโรคปอดและอาการปอดอักเสบต่างกันอย่างไร

วัณโรคปอดและอาการปอดอักเสบต่างกันอย่างไร

แม้ว่าวัณโรคปอดและอาการปอดอักเสบจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและมีอาการคล้ายกัน แต่ทั้งสองโรคมีสาเหตุและลักษณะของอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • วัณโรคปอดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis โดยอาการจะค่อยๆ แสดงออกทีละน้อย เช่น ไอเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ มีไข้ต่ำตอนเย็น เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านอากาศจากการไอหรือจามของผู้ป่วย
  • ปอดอักเสบ (Pneumonia)เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา โดยจะมีอาการที่รุนแรงและเกิดขึ้นเร็วกว่า เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ไอมีเสมหะ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก และอาจมีอาการเหนื่อยง่ายได้มากขึ้น

หากมีอาการติดเชื้อในปอดและไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น และในบางกรณีการติดเชื้อในปอดที่เกิดจากแบคทีเรียวัณโรคอาจพัฒนาไปเป็นวัณโรคปอดได้ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคปอด

วัณโรคปอดเกิดจากอะไร? ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคปอด ได้แก่

  • ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค โดยเฉพาะในบ้านเดียวกันหรือที่ทำงานที่อากาศถ่ายเทไม่ดี
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วย HIV โรคเบาหวาน มะเร็ง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ
  • การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเสี่ยง เช่น อยู่ในสถานที่แออัด เรือนจำ บ้านพักคนชรา หรือศูนย์พักพิง
  • ขาดสารอาหารหรือภาวะทุพโภชนาการ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้ปอดอ่อนแอและภูมิคุ้มกันลดลง
  • ไม่ได้รับวัคซีน BCG ตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันพื้นฐานต่อวัณโรค
  • การเดินทางหรือพำนักในพื้นที่ที่มีการระบาดของวัณโรคสูง เพิ่มโอกาสได้รับเชื้อ

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอด

วัณโรคปอดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นกลุ่มคนเหล่านี้

  • ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค เช่น คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วย HIV โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ
  • ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงหรือเริ่มถดถอย
  • ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด เช่น เรือนจำ หอพัก ศูนย์พักพิง หรือสถานสงเคราะห์
  • ผู้ที่ขาดสารอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งทำให้ปอดอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคมากขึ้น
  • ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน BCG ตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันพื้นฐานต่อเชื้อวัณโรค

การวินิจฉัยวัณโรคปอด

การวินิจฉัยวัณโรคปอด

แพทย์ใช้หลายวิธีในการวินิจฉัยวัณโรคปอดเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งประกอบด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ตรวจเสมหะ (Sputum Test)เก็บตัวอย่างเสมหะไปตรวจหาเชื้อวัณโรคในห้องปฏิบัติการ โดยใช้การย้อมสี (AFB smear) หรือเพาะเชื้อเพื่อยืนยันการติดเชื้อ
  • เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray)ดูความผิดปกติของปอด เช่น จุดขาวหรือรอยโรคที่อาจเกิดจากวัณโรค
  • การตรวจทางผิวหนัง (Tuberculin Skin Test – TST หรือ Mantoux Test)ฉีดสารทดสอบใต้ผิวหนังและวัดปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อดูว่ามีภูมิต่อเชื้อวัณโรคหรือไม่
  • การตรวจเลือด (Interferon Gamma Release Assay – IGRA)ตรวจหาภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเชื้อวัณโรค เหมาะสำหรับตรวจวัณโรคระยะแฝง
  • การตรวจซีทีสแกน (CT Scan)ใช้ในกรณีที่เอกซเรย์ปอดให้ผลไม่ชัดเจน หรือเมื่อต้องการตรวจหาการลุกลามของโรค

วิธีรักษาวัณโรคปอด

วิธีรักษาวัณโรคปอด

การรักษาวัณโรคปอดมีเป้าหมายเพื่อกำจัดเชื้อให้หมดไปและป้องกันการแพร่กระจาย โดยส่วนใหญ่ใช้ยาเป็นหลัก ซึ่งต้องรับประทานอย่างสม่ำเสมอและครบตามกำหนดเพื่อให้ได้ผลดี โดยยาที่ใช้รักษามีดังนี้

  • ไอโซไนอาซิด (Isoniazid - INH)ฆ่าเชื้อวัณโรคที่กำลังเจริญเติบโตและช่วยป้องกันการดื้อยา
  • รแฟมพิซิน (Rifampicin - RIF)ยาตัวหลักที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ ควรรับประทานขณะท้องว่างเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  • พิราเซินาไมด์ (Pyrazinamide - PZA)ช่วยกำจัดเชื้อที่อยู่ในเซลล์และลดระยะเวลาการรักษา
  • อีแทมบูทอล (Ethambutol - EMB)ใช้ควบคู่กับยาตัวอื่นเพื่อลดโอกาสการดื้อยา

ผู้ป่วยต้องรับประทานยาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน หรือมากกว่านั้นตามคำแนะนำของแพทย์ หากหยุดยาก่อนกำหนดหรือรับประทานไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้เชื้อดื้อยาและรักษาได้ยากขึ้น

แนวทางปฏิบัติตนเมื่อเป็นวัณโรคปอด

เมื่อตรวจพบว่าเป็นวัณโรคปอด ควรปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อและช่วยให้การรักษาได้ผลดี โดยมีสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำดังนี้

สิ่งที่ควรทำ ได้แก่

  • กินยาให้ครบตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดยาเองแม้อาการจะดีขึ้น
  • ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอหรือจาม ใช้ทิชชู่แล้วทิ้งอย่างถูกวิธี
  • สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ใกล้ผู้อื่น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรักษา
  • เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ไม่อยู่ในที่อับชื้นหรือมีคนเยอะ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีน
  • เข้ารับการตรวจติดตามอาการตามนัดของแพทย์เสมอ

สิ่งที่ไม่ควรทำ ได้แก่

  • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือผ้าเช็ดหน้า
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ เพราะทำให้ร่างกายอ่อนแอและรักษาหายช้าลง
  • ไม่หยุดยาหรือขาดการรักษาเอง เพราะเสี่ยงต่อการดื้อยาและแพร่เชื้อต่อผู้อื่น
  • ไม่อยู่ใกล้ชิดเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อ

วิธีป้องกันวัณโรคปอด

วัณโรคปอดเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากดูแลสุขภาพและปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม โดยแนวทางป้องกันมีดังนี้

  • ฉีดวัคซีน BCG ตั้งแต่แรกเกิดเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรครุนแรง
  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคปอด โดยเฉพาะในที่อากาศถ่ายเทไม่ดี
  • สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่เสี่ยง เช่น โรงพยาบาล หรือสถานที่แออัดที่มีความเสี่ยงสูง
  • ล้างมือเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสิ่งของสาธารณะหรืออยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
  • เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ลดการสะสมของเชื้อโรคในพื้นที่ปิด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

การรักษาวัณโรคปอด ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

การรักษาวัณโรคปอด ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยวัณโรคปอดอย่างครบวงจร พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และรักษาด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนี้

  • ได้มาตรฐานระดับสากล ISO 9001 : 2008 และ Hospital Accreditation (HA)
  • มีศูนย์โรคระบบทางเดินหายใจและปอดโดยเฉพาะ พร้อมแพทย์ที่ชำนาญการ
  • วินิจฉัยแม่นยำ ด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย
  • รักษาครบวงจร ตั้งแต่การให้ยา ตรวจติดตามอาการ ไปจนถึงการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • มีบริการฉุกเฉินและสิทธิประกันสุขภาพที่รองรับผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการรักษาทันที
  • ห้องพักสะอาด เงียบสงบ อากาศถ่ายเทดี เหมาะสำหรับการพักฟื้น

สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่ โรงพยาบาลวิภาวดี 51/3 ถ.งามวงศ์วาน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ หรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่เบอร์โทร 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 สำหรับผู้ใช้สิทธิ์ประกัน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน LINE: @vibhainsurance

สรุป

วัณโรคปอดเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis แพร่กระจายผ่านอากาศและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โรควัณโรคปอดอาการจะเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้ต่ำ เหงื่อออกกลางคืน และน้ำหนักลดลง หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ การวินิจฉัยทำได้โดยตรวจเสมหะ เอกซเรย์ปอด และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนการรักษาหลักคือการใช้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน

โรงพยาบาลวิภาวดีมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินหายใจ พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา และติดตามอาการวัณโรคปอดอย่างครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานระดับสากล

FAQ

วัณโรคปอดเป็นโรคที่หลายคนกังวลเกี่ยวกับการรักษา การแพร่เชื้อ และผลกระทบต่อสุขภาพ เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบที่เข้าใจง่ายไว้ดังนี้

ป่วยเป็นวัณโรคปอด อยู่ได้กี่ปี

หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง วัณโรคปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ส่งผลต่ออายุขัย แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิต

คนเป็นวัณโรคปอดอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ไหม

วัณโรคปอดสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เช่น ใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากเวลาไอหรือจาม และรับประทานยาตามแพทย์สั่งเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ

วัณโรคปอดอันตรายไหม

หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิธีรักษาก็สามารถหายขาดได้ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่นและเป็นอันตรายต่อชีวิต

วัณโรคปอดติดต่อได้ไหม

วัณโรคปอดสามารถติดต่อได้ผ่านละอองฝอยในอากาศจากการไอ จาม หรือพูดคุยกับผู้ป่วยระยะลุกลามที่ยังไม่ได้รับการรักษา แต่หากรักษาและกินยาต่อเนื่องประมาณ 2-3 สัปดาห์ โอกาสแพร่เชื้อจะลดลงมาก

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์วัณโรคปอด