จิตเวชคืออะไร เข้าใจสุขภาพจิต รู้ทันสาเหตุและแนวทางรักษา

Key Takeaway

  • จิตเวชคือสาขาการแพทย์ที่ศึกษา วินิจฉัย และรักษาความผิดปกติทางจิตใจและพฤติกรรม อาการอาจปรากฏทั้งทางอารมณ์ ความคิด พฤติกรรม และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือประสาทหลอน
  • โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตเวช ได้แก่ โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรคจิตเภท โรคบุคลิกภาพ และภาวะเครียดหลังเหตุสะเทือนขวัญ โดยเกิดจากปัจจัยพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม ความเครียด และประสบการณ์ชีวิต
  • รักษาจิตเวชด้วยการใช้ยา การบำบัดทางจิตวิทยา การปรับวิถีชีวิต และการสนับสนุนทางสังคมและครอบครัว เพื่อควบคุมอาการ ฟื้นฟูสภาพจิตใจ และช่วยให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตได้สมดุลและมีคุณภาพ

“จิตเวช” หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำนี้แต่ยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าจิตเวชเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง แท้จริงแล้วจิตเวชคือศาสตร์ที่ดูแลเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม หากปล่อยให้ความผิดปกติด้านจิตใจดำเนินไปโดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อทั้งการทำงาน ความสัมพันธ์ และสุขภาพกายได้

ทำความเข้าใจ ‘โรคจิตเวช’ คืออะไร?

การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาตั้งแต่ต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ โรงพยาบาลวิภาวดีมีทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกแผนกจิตเวชที่พร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งการให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัย และวางแผนการรักษาแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง

ทำความเข้าใจ ‘โรคจิตเวช’ คืออะไร?

จิตเวช หรือ จิตเวชศาสตร์ (Psychiatry) คือสาขาวิชาหนึ่งทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการศึกษา วินิจฉัย และรักษาความผิดปกติทางจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงอารมณ์ ความคิด การรับรู้ พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน 

ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับโรคจิตเวช เนื่องจากโรคจิตเวชคือกลุ่มความผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นจริง เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล โรคจิตเภท หรือภาวะอารมณ์แปรปรวน ที่ทำให้ผู้ป่วยมีความทุกข์หรือประสบปัญหาในการใช้ชีวิตเพื่อดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ จิตเวชศาสตร์จึงพัฒนาขึ้นเพื่อให้แพทย์สามารถประเมินอาการ วินิจฉัยโรค และวางแผนการรักษา ทั้งการใช้ยา การบำบัดพฤติกรรม และการให้คำปรึกษา ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจ ลดอาการรบกวน และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุล 

จึงเห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิตเวชและโรคจิตเวชเป็นทั้งเชิงวิชาการและเชิงปฏิบัติ โดยจิตเวชคือกรอบทางวิชาการและเครื่องมือรักษา ส่วนโรคจิตเวชคือภาวะที่ต้องได้รับการดูแลจากกรอบนั้น

โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตเวชมีอะไรบ้าง

โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตเวชมีอะไรบ้าง

สภาวะหรือโรคจิตเวชมีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับจิตเวช? จริงๆ แล้วมีหลายรูปแบบ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเกิดความยากลำบาก การทำความเข้าใจช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ตรงจุด โดยแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะและแนวทางการดูแลที่แตกต่างกัน ดังนี้

โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders)

โรควิตกกังวล คือโรคจิตเวชกลุ่มความผิดปกติทางจิตใจที่ผู้ป่วยมีความรู้สึกกลัวหรือกังวลอย่างรุนแรงเกินกว่าปกติและต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์กับผู้อื่น อาการสามารถแสดงออกทางร่างกาย เช่น ใจสั่น เหงื่อออก หรือหายใจไม่สะดวก รวมถึงความคิดวิตกกังวลหรือกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคต

กลุ่มโรควิตกกังวลที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคแพนิก (Panic Disorder) ผู้ป่วยมีอาการตื่นตระหนกอย่างฉับพลันและรุนแรง เช่น ใจสั่น เหงื่อออก หรือหายใจไม่สะดวก
  • โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder – GAD) กังวลต่อเรื่องประจำวันอย่างต่อเนื่อง เช่น งาน ครอบครัว หรือสุขภาพ และควบคุมความกังวลได้ยาก
  • โรคกลัวสังคม (Social Anxiety Disorder) กลัวการอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ทำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมสังคมหรือการแสดงตน
  • โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder – OCD) มีความคิดหรือพฤติกรรมซ้ำๆ เพื่อบรรเทาความวิตกกังวล

กลุ่มโรควิตกกังวลเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง และลดคุณภาพชีวิตอย่างชัดเจน ขาดความมั่นใจ และรู้สึกโดดเดี่ยว หากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ได้

โรคทางอารมณ์ (Mood Disorders)

โรคทางอารมณ์เป็นโรคจิตเวชด้านความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรุนแรงหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ส่งผลต่อความคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน มักจะแสดงอาการ เช่น อารมณ์แปรปรวนรุนแรง รู้สึกเศร้าหรือหงุดหงิดบ่อย ไม่มีแรงจูงใจ สมาธิลดลง หรือบางครั้งอาจรู้สึกดีเกินเหตุจนควบคุมตนเองได้ยาก

กลุ่มโรคทางอารมณ์ที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder – MDD) มีอารมณ์เศร้าต่อเนื่อง ขาดความสนใจ เหนื่อยง่าย และอาจมีความคิดอยากทำร้ายตนเอง
  • โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Persistent Depressive Disorder – Dysthymia) มีอาการซึมเศร้าแบบต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ความรุนแรงน้อยกว่า MDD
  • โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder – SAD) เกิดอาการซึมเศร้าเป็นช่วงๆ ตามฤดูกาล มักพบในช่วงที่แสงแดดน้อย
  • โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างสุดขั้ว ระหว่างช่วงซึมเศร้าและช่วงอารมณ์ดีหรือพลังงานสูงผิดปกติ (mania/hypomania)
  • โรคไซโคลไทเมีย (Cyclothymic Disorder) มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ขึ้นลงเรื่อยๆ แต่ไม่รุนแรงเท่าโรคไบโพลาร์

กลุ่มโรคทางอารมณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ และการทำงานของผู้ป่วย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้

โรคจิตเภท (Schizophrenia Spectrum and Other Psychotic Disorders)

โรคจิตเภทคือโรคจิตเวชกลุ่มความผิดปกติทางจิตเวชที่มีลักษณะสำคัญคือการบิดเบือนการรับรู้ ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม ผู้ป่วยมักมีอาการ เช่น ประสาทหลอน (Hallucinations) ได้ยินเสียงหรือเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หลงผิด (Delusions) เชื่อในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ความคิดสับสน พูดไม่เป็นเรื่อง หรือแสดงพฤติกรรมแปลกไปจากเดิม อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการทำงาน การเรียน และความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันอย่างมาก

กลุ่มโรคจิตเภทและโรคจิตอื่นๆ ได้แก่

  • โรคจิตเภท (Schizophrenia) มีอาการประสาทหลอน หลงผิด ความคิดและพฤติกรรมผิดปกติ ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันยากลำบาก
  • โรคจิตเภทแบบสั้น (Brief Psychotic Disorder) มีอาการจิต เช่น หลงผิดหรือประสาทหลอนเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ มักสัมพันธ์กับความเครียดรุนแรง
  • โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Delusional Disorder) มีความเชื่อผิดๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น เชื่อว่ามีคนปองร้าย หรือคู่สมรสนอกใจ แม้ไม่มีหลักฐานสนับสนุน
  • โรคจิตเภทแบบสกิทโซแอฟเฟกทีฟ (Schizoaffective Disorder) มีอาการของโรคจิตเภท ร่วมกับอาการผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้าหรือไบโพลาร์
  • โรคจิตจากสารเสพติดหรือยา (Substance/Medication-Induced Psychotic Disorder) เกิดอาการจิตจากการใช้สารเสพติด ยาบางชนิด หรือการหยุดยา
  • โรคจิตจากโรคทางกาย (Psychotic Disorder Due to Another Medical Condition) มีอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนที่เกิดจากโรคทางสมองหรือโรคทางกายอื่นๆ

กลุ่มโรคจิตเภท หากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน สูญเสียความสามารถในการดูแลตัวเอง และเสี่ยงต่อการแยกตัวออกจากสังคม แต่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมสามารถควบคุมอาการและปรับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้

โรคทางบุคลิกภาพ (Personality Disorders)

โรคทางบุคลิกภาพคือโรคจิตเวชด้านความผิดปกติทางจิตเวชที่แสดงออกผ่านรูปแบบความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่แข็งตัว ไม่ยืดหยุ่น ทำให้รับมือกับความเครียดหรือความสัมพันธ์ทางสังคมได้ยาก ทำให้เกิดความขัดแย้งซ้ำๆ ลดคุณภาพชีวิต และบางครั้งเสี่ยงต่อพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นหรือทำร้ายตนเอง อาการที่พบ เช่น การมองโลกหรือผู้อื่นในมุมที่บิดเบือน อารมณ์ไม่คงที่ แสดงออกสุดโต่ง ไม่สามารถควบคุมความโกรธ หรือมีปัญหาในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตส่วนตัว การงาน และสังคม

กลุ่มโรคทางบุคลิกภาพที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder – BPD) มักมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง กลัวถูกทอดทิ้ง ความสัมพันธ์ไม่มั่นคง และมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น
  • โรคบุคลิกภาพต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder – ASPD) แสดงพฤติกรรมละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่เคารพกฎเกณฑ์ ขาดความสำนึกผิด และอาจก้าวร้าวหรือใช้ความรุนแรง
  • โรคบุคลิกภาพหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder – NPD) มองตนเองสำคัญเกินจริง ต้องการการชื่นชมมากเกินไป ขาดความเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น
  • โรคบุคลิกภาพย้ำทำอย่างสมบูรณ์แบบ (Obsessive-Compulsive Personality Disorder – OCPD) มีความพิถีพิถันเกินไป ยึดติดกับกฎระเบียบ รายละเอียด และการควบคุม จนกระทบการทำงานและความสัมพันธ์
  • โรคบุคลิกภาพหวาดกลัว (Avoidant Personality Disorder – AvPD) กลัวการถูกวิจารณ์หรือปฏิเสธ หลีกเลี่ยงการเข้าสังคมแม้อยากมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ผู้ป่วยโรคบุคลิกภาพ หากได้รับการรักษาและบำบัดจึงช่วยให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมและอารมณ์ ลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้

โรคที่เกี่ยวข้องกับความบอบช้ำทางจิตใจและปัจจัยความเครียด (Trauma- and Stressor-Related Disorders)

โรคที่เกี่ยวข้องกับความบอบช้ำทางจิตใจและปัจจัยความเครียด คือโรคจิตเวชในกลุ่มความผิดปกติทางจิตเวชที่เกิดจากประสบการณ์บอบช้ำ ความเครียดรุนแรง หรือเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจอย่างมาก อาการที่พบได้แก่ การระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตซ้ำๆ (Flashback) ความวิตกกังวลหรือความกลัวอย่างรุนแรง ความหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน นอนหลับยาก หรือหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหล่านั้น ผลกระทบทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการทำงาน การเรียน และความสัมพันธ์ทางสังคม คุณภาพชีวิตลดลง และอาจเกิดปัญหาสุขภาพจิตร่วม เช่น ซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล

กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับความบอบช้ำทางจิตใจและปัจจัยความเครียดที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคเครียดหลังเหตุสะเทือนขวัญ (Post-Traumatic Stress Disorder – PTSD) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นหลังประสบเหตุการณ์บอบช้ำ เกิดอาการหวาดกลัว ซ้ำรอยความทรงจำจากเหตุการณ์นั้น และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นความทรงจำ
  • โรคปฏิกิริยาต่อความเครียดเฉียบพลัน (Acute Stress Disorder) อาการคล้าย PTSD แต่เกิดหลังเหตุการณ์ไม่นานและมักสั้นกว่า
  • โรคปรับตัวต่อความเครียด (Adjustment Disorders) มีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าตอบสนองต่อความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงชีวิต
  • โรคบอบช้ำจากการถูกละเมิด (Reactive Attachment Disorder/Disinhibited Social Engagement Disorder) เกิดในเด็กที่ได้รับการละเลยหรือบาดแผลทางอารมณ์ ทำให้มีปัญหาความสัมพันธ์และความไว้วางใจ

โรคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความบอบช้ำทางทางจิตใจและปัจจัยความเครียดเป็นความผิดปกติที่เกิดจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์รุนแรงที่กระทบจิตใจ การบำบัดทางจิตวิทยาและการใช้ยา สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ ลดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลและปลอดภัย

โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตเวช

โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตเวช

โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับจิตเวชเกิดจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งพันธุกรรม ชีวภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และปัจจัยด้านพฤติกรรมหรือจิตวิทยา ทำให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษามีความแม่นยำและตรงจุดมากขึ้น

  • ปัจจัยทางพันธุกรรมและชีวภาพ โรคจิตเวชบางชนิดมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์หรือความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง ทำให้สมองทำงานด้านอารมณ์และพฤติกรรมผิดปกติได้
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ความเครียดจากงาน ครอบครัว หรือความขัดแย้งทางสังคมสามารถกระตุ้นหรือทำให้อาการจิตเวชรุนแรงขึ้น
  • ปัจจัยด้านพฤติกรรมและจิตวิทยา การรับมือความเครียดไม่ดี หรือประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก อาจส่งผลต่อการพัฒนาทางอารมณ์และพฤติกรรม ทำให้เสี่ยงต่อโรคจิตเวช

อาการของโรคจิตเวชที่ควรรู้

  1. อาการทางอารมณ์ ผู้ป่วยอาจมีความเศร้า วิตกกังวล โกรธง่าย หรือมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรงเกินปกติ
  2. อาการทางความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น หลงผิด ประสาทหลอน หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
  3. อาการทางสังคมและการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลต่อความสัมพันธ์ การทำงาน หรือกิจวัตรประจำวัน เช่น หลีกเลี่ยงสังคม ขาดสมาธิ หรือทำกิจกรรมไม่ต่อเนื่อง

การวินิจฉัยและการรักษาจิตเวช

การวินิจฉัยและการรักษาจิตเวช

การวินิจฉัยและการรักษาจิตเวชเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายด้าน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีความแม่นยำและเหมาะสม หมอจิตเวชจะเริ่มจากการซักถามประวัติสุขภาพจิต ประเมินอาการ การตรวจร่างกาย การใช้แบบสอบถามทางจิตวิทยา และการประเมินโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลังจากได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว จึงวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจและดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุล

การใช้ยา

การรักษาด้วยยาเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของจิตเวช ช่วยควบคุมอาการทางอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นยาต้านเศร้า (Antidepressants) ใช้ลดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล ช่วยปรับสมดุลสารสื่อประสาทในสมองยารักษาโรคจิต (Antipsychotics) ช่วยบรรเทาอาการหลงผิด ประสาทหลอน หรือความคิดผิดปกติในโรคจิตเภทยารักษาอารมณ์สองขั้ว (Mood Stabilizers) มีบทบาทในการควบคุมความผันผวนของอารมณ์ในโรคไบโพลาร์ การใช้ยาเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การติดตามและปรับขนาดในการรับประทานโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด

การบำบัดด้วยจิตวิทยา

การบำบัดด้วยจิตวิทยาเน้นการปรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย เพื่อให้จัดการกับความเครียดและอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) ที่ช่วยผู้ป่วยระบุความคิดที่ผิดปกติและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับความจริง นอกจากนี้การให้คำปรึกษาเชิงจิตสังคมยังช่วยผู้ป่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา และสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน

การปรับวิถีชีวิต

การปรับวิถีชีวิตเป็นส่วนเสริมที่สำคัญต่อการรักษา เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการทำงานของสมองและสารสื่อประสาท ลดความรุนแรงของอาการ และส่งเสริมให้ผู้ป่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เร็วขึ้น

การสนับสนุนทางสังคมและครอบครัว

การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ การมีกลุ่มสนับสนุนช่วยลดความเครียด เพิ่มแรงจูงใจในการรักษา และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น การสนับสนุนเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อความต่อเนื่องของการรักษาและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

การรับมือและการดูแลผู้ป่วยจิตเวช

การรับมือและการดูแลผู้ป่วยจิตเวช

การรับมือและดูแลผู้ป่วยจิตเวชควรเข้าใจและยอมรับภาวะของผู้ป่วย สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นตัว ส่งเสริมให้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และดูแลสุขภาพกายและจิตใจ เพื่อเพิ่มโอกาสฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดียิ่งขึ้น

  • เข้าใจและยอมรับในภาวะของเขา รับฟังและเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นตัว จัดบ้านหรือสถานที่รอบตัวให้สงบ ปลอดภัย และลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้อาการกำเริบ
  • ส่งเสริมให้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนผู้ป่วยในการพบแพทย์หรือเข้ารับการบำบัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการและปรับแผนการรักษา
  • ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตัวเอง ผู้ดูแลควรพักผ่อน ออกกำลังกาย และขอคำปรึกษาหรือสนับสนุนจากผู้อื่น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน

วิธีป้องกันและดูแลสุขภาพจิต

  1. ดูแลตัวเอง (Self-care) ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อรักษาสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ
  2. ฝึกทักษะทางจิตใจ ฝึกสมาธิ การทำจิตใจให้สงบ หรือเทคนิคการโฟกัสช่วยเสริมความยืดหยุ่นทางอารมณ์และความคิด
  3. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี รักษาความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และชุมชน เพื่อรับการสนับสนุนทางสังคมและลดความเครียด
  4. ฝึกจัดการกับอารมณ์และความเครียด เรียนรู้วิธีรับมือกับความวิตกกังวลหรือความโกรธ เช่น การหายใจลึก หรือการใช้กิจกรรมผ่อนคลาย
  5. รู้จักและยอมรับตัวเอง เข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง ลดความกดดันและเพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
  6. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อมีอาการเครียดหรือความวิตกกังวลเกินควร ควรปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาอย่างเหมาะสม

ปรึกษา วินิจฉัย วางแผนการรักษาแบบองค์รวมที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ศูนย์จิตเวช โรงพยาบาลวิภาวดี เน้นการให้บริการ ดูแลแบบองค์รวม โดยเริ่มจากการปรึกษา เพื่อซักประวัติสุขภาพจิตและทำความเข้าใจอาการของผู้ป่วย จากนั้นแพทย์จิตเวชจะทำการวินิจฉัย โดยใช้การประเมินอาการทางจิต การตรวจร่างกาย และแบบสอบถามทางจิตวิทยา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำ หลังจากนั้นจะมีการวางแผนการรักษาแบบองค์รวม ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ครอบคลุมทั้งการใช้ยา การบำบัดด้วยจิตวิทยา การปรับวิถีชีวิต และการสนับสนุนทางครอบครัวและสังคม ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจ ลดอาการรบกวน และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและมีคุณภาพมากที่สุด

สรุป

จิตเวชเป็นสาขาการแพทย์ที่ศึกษาความผิดปกติทางจิตใจและพฤติกรรม ตัวอย่างโรคจิตเวช เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า ไบโพลาร์ และจิตเภท เกิดจากปัจจัยพันธุกรรม สารสื่อประสาท สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ชีวิต อาการมีทั้งทางอารมณ์ ความคิด พฤติกรรม และผลกระทบต่อสังคม วินิจฉัยอาการ ประเมินโดยจิตแพทย์ ส่วนการรักษาครอบคลุมยา บำบัดทางจิตวิทยา ปรับวิถีชีวิต และสนับสนุนทางครอบครัว การดูแลผู้ป่วยต้องเข้าใจ สร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการฟื้นตัว สนับสนุนการรักษา และดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย

การป้องกันและดูแลสุขภาพจิตรวมถึงดูแลตัวเอง ฝึกทักษะทางจิตใจ สร้างความสัมพันธ์ดี จัดการความเครียด รู้จักตัวเอง และขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์จิตเวช โรงพยาบาลวิภาวดีมีจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกคอยดูแล ให้คำปรึกษา วินิจฉัย และวางแผนการรักษาแบบองค์รวม ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูจิตใจและดำเนินชีวิตได้สมดุล ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย! ที่ โรงพยาบาลวิภาวดี หรือติดต่อได้ที่ โทร. 02-561-1111

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิตเวชมากขึ้น มาดูคำถามที่หลายคนมักสงสัยพร้อมคำตอบกัน

การใช้ยาในจิตเวชมีผลข้างเคียงอย่างไร?

ยาจิตเวชอาจมีผลข้างเคียงแตกต่างกันไปตามชนิดและบุคคล เช่น ยาต้านเศร้าอาจทำให้ปากแห้ง คลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะ ยารักษาโรคจิตอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มหรือมีอาการง่วงซึม การติดตามอาการโดยแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสมและลดผลข้างเคียง

การบำบัดด้วยจิตวิทยามีประสิทธิภาพจริงไหม?

การบำบัดทางจิตวิทยา เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (CBT) หรือการให้คำปรึกษาเชิงจิตสังคม มีงานวิจัยรองรับว่าช่วยลดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และความเครียดได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาด้วยยา ผลลัพธ์มักยั่งยืนและช่วยเสริมทักษะการปรับตัวในชีวิตประจำวัน

ครอบครัวและเพื่อนควรช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชอย่างไร?

ครอบครัวและเพื่อนควรรับฟังและเข้าใจภาวะของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสิน ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สนับสนุนให้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และสังเกตอาการผิดปกติเพื่อแจ้งแพทย์เมื่อจำเป็น การสนับสนุนเชิงบวกมีผลต่อการฟื้นฟูและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก

จะรู้ได้อย่างไรว่ามีอาการเกี่ยวกับจิตเวช?

สัญญาณเตือนอาจปรากฏทั้งทางอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม เช่น อารมณ์เศร้าหรือวิตกกังวลต่อเนื่อง ความคิดสับสนหรือหลงผิด การหลีกเลี่ยงสังคม หรือการทำกิจกรรมประจำวันลำบาก หากพบอาการเหล่านี้ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อตรวจประเมินและรับคำแนะนำที่เหมาะสม

รีวิวจากคนไข้

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์จิตเวชคืออะไร เข้าใจสุขภาพจิต รู้ทันสาเหตุและแนวทางรักษา