นิ่วในถุงน้ำดี

Key Takeaway

  • นิ่วในถุงน้ำดีคือการตกผลึกของสารต่างๆ ในน้ำดีจนเกิดเป็นก้อนแข็งภายในถุงน้ำดี แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ นิ่วคอเลสเตอรอล ที่เกิดจากคอเลสเตอรอลสะสม และนิ่วเม็ดสีดำและน้ำตาล ที่เกิดจากบิลิรูบินหรือเซลล์เม็ดเลือดแดงสลายตัว หรือสารบิลิรูบินแคลเซียมรวมตัวกัน
  • สาเหตุการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีส่วนใหญ่เกิดจากความไม่สมดุลของสารในน้ำดี เช่น คอเลสเตอรอลสูงหรือบิลิรูบินมากเกินไป รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น น้ำหนักตัวเกิน การอดอาหาร การตั้งครรภ์ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
  • การวินิจฉัยทำได้โดยอัลตราซาวด์ช่องท้อง ซึ่งสามารถเห็นขนาดและจำนวนของนิ่วได้อย่างชัดเจน ส่วนการรักษาขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมและยาละลายนิ่ว ไปจนถึงการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง เพื่อเอานิ่วออกและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

หลายคนอาจเคยประสบกับอาการปวดท้องด้านขวาบน คลื่นไส้ หรือรู้สึกจุกแน่นหลังรับประทานอาหารมัน ซึ่งหลายครั้งมักถูกมองข้ามหรือคิดว่าเป็นเพียงอาการท้องอืดธรรมดา แต่ในความจริงอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “นิ่วในถุงน้ำดี”

โรคที่เกิดจากการสะสมของก้อนนิ่วภายในถุงน้ำดี ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ตรวจหรือรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การอักเสบของถุงน้ำดีหรือตับอักเสบเฉียบพลัน ตรวจให้ชัดก่อนอาการลุกลาม และรับการดูแลอย่างตรงจุดจากแพทย์เฉพาะทางได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิภาวดี

นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร?

นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร?

นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) คือก้อนแข็งขนาดเล็กที่เกิดจากการสะสมของสารต่างๆ เช่น คอเลสเตอรอล เกลือแคลเซียม หรือสารเม็ดสีน้ำดีภายในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นอวัยวะเล็กๆ ใต้ตับที่ทำหน้าที่เก็บน้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมันในอาหาร นิ่วเกิดขึ้นเมื่อสารเหล่านี้มีความสมดุลผิดปกติทำให้ตกตะกอนและรวมตัวกันเป็นก้อน

การมีนิ่วในถุงน้ำดีอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อก้อนนิ่วอุดทางน้ำดีจะทำให้เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลัน คลื่นไส้ หรืออาเจียนได้ จึงควรใส่ใจและตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของถุงน้ำดีหรือตับอ่อนอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

นิ่วในถุงน้ำดี มีกี่ประเภท?

นิ่วในถุงน้ำดี มีกี่ประเภท?

นิ่วในถุงน้ำดีมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบและสาเหตุการเกิด ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและกลุ่มเสี่ยงที่ต่างกัน ดังนี้

1. นิ่วคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stone)

นิ่วประเภทนี้เกิดจากการสะสมที่มากเกินไปของคอเลสเตอรอลในน้ำดี ทำให้ตกผลึกและรวมตัวเป็นก้อน นิ่วคอเลสเตอรอลมักมีสีเหลืองถึงเขียวอ่อน และพบได้บ่อยที่สุดจากทุกประเภท กลุ่มเสี่ยงหลักคือผู้หญิงวัยกลางคน ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูง และผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นนิ่ว นอกจากนี้ ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิดก็มีโอกาสเกิดนิ่วประเภทนี้ได้สูงขึ้น

2. นิ่วเม็ดสีดำ (Black Pigment Stones)

นิ่วเม็ดสีดำเกิดจากการสะสมของสารเม็ดสีบิลิรูบิน ซึ่งเกิดจากการสลายของเม็ดเลือดแดง นิ่วชนิดนี้มักมีสีดำหรือเข้ม แข็ง และขรุขระ กลุ่มเสี่ยงได้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเลือดบางชนิด เช่น โรคโลหิตจางจากพันธุกรรม หรือผู้ที่มีภาวะตับแข็ง นิ่วเม็ดสีดำมักพบร่วมกับภาวะที่เม็ดเลือดแดงแตกหรือการทำลายเม็ดเลือดแดงบ่อยๆ

3. นิ่วเม็ดสีน้ำตาล (Brown Pigment Stones)

นิ่วเม็ดสีน้ำตาลเกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบในท่อน้ำดี ทำให้สารบิลิรูบินและแคลเซียมรวมตัวกัน นิ่วชนิดนี้มักมีสีน้ำตาลและค่อนข้างอ่อนนุ่ม กลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่มีการติดเชื้อในท่อน้ำดีหรือท่อน้ำดีอุดตันเรื้อรัง และผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการติดเชื้อทางเดินน้ำดีบ่อย นิ่วเม็ดสีน้ำตาลมักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินน้ำดีมากกว่าปัจจัยด้านอาหารหรือพันธุกรรม

สาเหตุของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

โรคนิ่วในถุงน้ำดีสาเหตุการเกิดนิ่วมักเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของส่วนประกอบในน้ำดี เช่น คอเลสเตอรอล เกลือแคลเซียม และสารเม็ดสีบิลิรูบิน เมื่อมีสารบางอย่างมากเกินไปหรือการบีบตัวของถุงน้ำดีผิดปกติ ทำให้เกิดการตกผลึกและรวมตัวเป็นก้อนนิ่ว โดยปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มีดังนี้

  • เพศหญิง โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-50 ปี เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดี
  • อายุที่มากขึ้น ยิ่งอายุมาก ความเสี่ยงยิ่งสูง เพราะความเสื่อมถอยของระบบเผาผลาญและอวัยวะ
  • ภาวะอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน ทำให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลมากขึ้น
  • การรับประทานอาหารไขมันสูง ไฟเบอร์ต่ำ ส่งผลให้น้ำดีมีคอเลสเตอรอลเกินสมดุล
  • ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรืออดอาหารเป็นเวลานาน ทำให้ถุงน้ำดีบีบตัวไม่สม่ำเสมอและเกิดนิ่วได้ง่าย
  • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ตับแข็ง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการสลายเม็ดเลือดแดง
  • พันธุกรรมและประวัติครอบครัว หากมีคนในครอบครัวเป็นนิ่ว โอกาสที่เป็นจะสูงขึ้น
  • การตั้งครรภ์ หรือใช้ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนทดแทน เพราะฮอร์โมนส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและสมดุลของน้ำดี

อาการของนิ่วในถุงน้ำดี

การดูแลสุขภาพด้วยการควบคุมน้ำหนัก เลือกรับประทานอาหารที่สมดุล และตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

อาการของนิ่วในถุงน้ำดี

อาการของนิ่วในถุงน้ำดีอาจต่างกันไปตามขนาดและตำแหน่งของนิ่ว บางคนอาจไม่มีอาการใดเลย แต่ในหลายกรณีจะเริ่มแสดงสัญญาณที่ชัดเจน

อาการเริ่มต้นของนิ่วในถุงน้ำดีที่พบได้บ่อย มีดังนี้

  • ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือกลางท้องด้านบน มักปวดหลังรับประทานอาหารมันหรือมื้อใหญ่
  • คลื่นไส้หรืออาเจียน
  • อาการจุกแน่น ท้องอืด หรือรู้สึกไม่สบายท้องหลังรับประทานอาหาร
  • อาจมีอาการปวดร้าวไปหลังหรือไหล่ขวา

อาการแทรกซ้อนที่อันตราย เกิดเมื่อก้อนนิ่วอุดทางน้ำดีหรือนำไปสู่การอักเสบ เช่น

  • ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน ทำให้ปวดท้องรุนแรง มีไข้ หรือหนาวสั่น
  • ท่อน้ำดีอุดตัน อาจทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีสีปัสสาวะเข้ม
  • ตับอ่อนอักเสบ ซึ่งเกิดได้หากนิ่วอุดท่อน้ำดีร่วมกับท่อของตับอ่อน เป็นภาวะรุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน

การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่นๆ และพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและลดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้

วิธีตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี

วิธีตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดีแพทย์มักเริ่มจากการซักประวัติอาการและตรวจร่างกายเบื้องต้น หากสงสัยว่ามีนิ่ว จะใช้การตรวจทางรังสีและห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยัน โดยมีวิธีตรวจวินิจฉัยดังนี้

  • อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นวิธีมาตรฐานที่นิยมมากที่สุด สามารถมองเห็นก้อนนิ่วและตรวจความหนาของผนังถุงน้ำดีได้
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ MRI ใช้ในกรณีที่อัลตราซาวด์ไม่ชัดเจน หรือสงสัยภาวะแทรกซ้อน
  • การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาภาวะการอักเสบ ตับอักเสบ หรือการทำงานของตับและตับอ่อน

เมื่อแพทย์ตรวจเจอนิ่วในถุงน้ำดีจะประเมินตามอาการและความเสี่ยงก่อนแนะนำการรักษา หากไม่มีอาการหรืออาการน้อย แพทย์อาจแนะนำเพียงการเฝ้าติดตามและปรับพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหารและน้ำหนัก แต่หากมีอาการปวดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน หรือท้องเหลือง แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก (Cholecystectomy) ซึ่งปัจจุบันนิยมทำแบบส่องกล้องเพื่อลดความเจ็บปวดและเวลาพักฟื้น

วิธีรักษานิ่วในถุงน้ำดี

วิธีรักษานิ่วในถุงน้ำดี

เป็นนิ่วในถุงน้ำดีรักษาอย่างไร? คำตอบคือมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่ว อาการของผู้ป่วย และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยและฟื้นตัวได้รวดเร็ว

รักษาโดยไม่ผ่าตัด (Conservative Treatment)

ในกรณีที่นิ่วมีขนาดเล็กหรือผู้ป่วยยังไม่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจเลือกวิธีรักษาแบบประคับประคอง เช่น การปรับพฤติกรรมการกิน หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด ควบคุมน้ำหนัก และใช้ยาละลายนิ่วในบางราย นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาแก้ปวดและยาลดอักเสบเพื่อบรรเทาอาการ แต่ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพราะอาจกลับมาเป็นซ้ำได้

รักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดี (Cholecystectomy Treatment)

การผ่าตัดถุงน้ำดีถือเป็นวิธีมาตรฐานและได้ผลถาวรที่สุด โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีที่มีนิ่วออกทั้งใบ เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำและภาวะแทรกซ้อน โดยผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open Cholecystectomy) เหมาะกับกรณีที่ถุงน้ำดีมีการอักเสบรุนแรง ท่อน้ำดีอุดตัน หรือมีภาวะแทรกซ้อนซับซ้อน การฟื้นตัวอาจใช้เวลานานกว่า 4-6 สัปดาห์

รักษาด้วยการส่องกล้อง (Laparoscopic Treatment)

การส่องกล้องรักษานิ่วในถุงน้ำดี หรือ Laparoscopic Cholecystectomy เป็นเทคนิคที่แพทย์จะเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องเพื่อสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปตัดถุงน้ำดีออก และผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด

  • แผลเล็ก เจ็บน้อย ขนาดรูเจาะเพียง 0.5-1 เซนติเมตร ทำให้แผลเล็ก การเสียเลือดน้อย และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  • ฟื้นตัวเร็ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถลุกเดินได้ภายใน 1 วันหลังผ่าตัด และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ลดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ทำให้โอกาสเกิดแผลเป็นใหญ่หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ น้อยลง
  • ผลลัพธ์ทางการแพทย์เทียบเท่าการผ่าตัดแบบเปิด สามารถเอานิ่วและถุงน้ำดีออกได้ครบถ้วน ป้องกันการเกิดซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

การดูแลตัวเองและป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี

หลังการรักษาหรือต้องการลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่ว ควรปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่สมดุล เลือกอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ลดอาหารไขมันสูงและอาหารทอด
  • ควบคุมน้ำหนัก โดยลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักเร็วเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่ว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำช่วยละลายสารในน้ำดีและลดโอกาสการตกผลึกของนิ่ว
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและลดไขมันสะสม
  • หลีกเลี่ยงการอดอาหารนาน เพราะการกินมื้อไม่สม่ำเสมอหรืออดอาหารเป็นเวลานาน อาจทำให้การบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง เพิ่มโอกาสเกิดนิ่ว
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากมีประวัตินิ่วในครอบครัวหรือปัจจัยเสี่ยง ควรตรวจอัลตราซาวด์ตามคำแนะนำแพทย์

ตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี ที่โรงพยาบาลวิภาว

ตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

สำหรับผู้ที่สงสัยว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีหรือมีอาการปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ หรือรู้สึกจุกแน่นหลังรับประทานอาหารมัน สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี โดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์ และเทคนิคการส่องกล้องวินิจฉัยเพื่อตรวจอย่างแม่นยำ พร้อมให้การรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง ที่แผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว อีกทั้งยังให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองทั้งหลังตรวจและหลังการรักษาอย่างครบถ้วน

สรุป

นิ่วในถุงน้ำดีคือก้อนแข็งในถุงน้ำดีที่เกิดจากคอเลสเตอรอล เกลือแคลเซียม หรือบิลิรูบิน อาจไม่มีอาการช่วงแรก แต่สามารถทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ หรืออาเจียนได้ สามารถพบได้ในวัยกลางคนแต่มักมีความเสี่ยงมากกว่าในเพศหญิง และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น อายุ น้ำหนักเกิน อาหารไขมันสูง โรคบางชนิด และพันธุกรรม การวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีเริ่มที่ตรวจร่างกาย อัลตราซาวด์ CT หรือ MRI ส่วนการรักษามีทั้งผ่าตัดแบบเปิดและส่องกล้อง โดยปัจจุบันมักนิยมกัน หลังรักษานิ่วในถุงน้ำดีควรควบคุมน้ำหนัก รับประทานอาหารสมดุล ดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

หากคุณรู้สึกสงสัยว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และอยากตรวจเช็กเพื่อความมั่นใจ สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทั้งการตรวจอัลตราซาวด์และการส่องกล้องวินิจฉัย พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาและการดูแลตัวเองหลังตรวจอย่างครบถ้วน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและเข้ารับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี หรือติดต่อได้ที่ โทร. 02-561-1111

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

สำหรับผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีหรือสนใจการดูแลสุขภาพถุงน้ำดี เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบเพื่อให้เข้าใจง่ายและชัดเจนในช่วงถาม-ตอบนี้แล้ว

ผ่าตัดถุงน้ำดีแล้วใช้ชีวิตปกติได้หรือไม่?

หลังผ่าตัดถุงน้ำดีส่วนใหญ่ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ระบบย่อยอาหารปรับตัวได้ดี อาจมีการปรับพฤติกรรมการกินอาหารบางประเภทช่วงแรก แต่โดยทั่วไปสามารถกลับมารับประทานอาหารและทำกิจกรรมได้ตามปกติ

นิ่วในถุงน้ำดีหายเองได้ไหม?

นิ่วในถุงน้ำดีมักหายเองไม่ได้ หากไม่มีอาการอาจเฝ้าระวัง แต่ถ้ามีอาการปวดหรือภาวะแทรกซ้อน การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดอาจจำเป็น การสังเกตอาการและตรวจติดตามเป็นสิ่งสำคัญ

นิ่วในถุงน้ำดีกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม?

หลังผ่าตัดถุงน้ำดี นิ่วจะไม่เกิดซ้ำในถุงน้ำดีเพราะถุงน้ำดีถูกเอาออกไปแล้ว แต่หากไม่ได้ผ่าตัดและรักษาด้วยวิธีอื่น มีโอกาสเกิดนิ่วซ้ำได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น อ้วนหรือระบบย่อยอาหารผิดปกติ

ต้องผ่าตัดทุกคนไหมถ้าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี?

ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดทุกคน ผู้ที่มีนิ่วแต่ไม่มีอาการสามารถเฝ้าระวังและปรับพฤติกรรมได้ แต่หากมีอาการปวดรุนแรง นิ่วอุดท่อน้ำดี หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อป้องกันปัญหารุนแรงในอนาคต

 

รีวิวจากคนไข้

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์นิ่วในถุงน้ำดี