- ถุงลมโป่งพองเป็นโรคปอดเรื้อรังที่ทำให้หายใจลำบากจากการเสื่อมสภาพของถุงลม อาการหลัก ได้แก่ ไอเรื้อรัง หายใจติดขัด และเหนื่อยง่าย
- ปัจจัยเสี่ยงหลักคือการสูบบุหรี่ การได้รับมลพิษทางอากาศ การสัมผัสสารเคมี และกรรมพันธุ์ที่ทำให้ปอดอ่อนแอลง
- ถุงลมโป่งพองไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถบรรเทาอาการด้วยยา ออกซิเจนบำบัด กายภาพบำบัด และในบางกรณีอาจต้องพิจารณาการผ่าตัด
- การป้องกันโรคถุงลมโป่งพอง ควรหลีกเลี่ยงบุหรี่ ควันพิษ รักษาสุขภาพปอดด้วยการออกกำลังกาย รับวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ และตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ
ถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่เกิดจากความเสียหายของถุงลมในปอด ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง ทำให้หายใจลำบากและเกิดภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง โรคนี้มักเกิดจากการสูบบุหรี่หรือการได้รับสารระคายเคืองทางอากาศเป็นเวลานาน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและนำไปสู่โรคปอดเรื้อรังรุนแรงได้ มาทำความเข้าใจสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพองว่าเกิดจากอะไร รวมถึงอาการ และวิธีป้องกันเพื่อดูแลสุขภาพปอดให้แข็งแรง
/1.jpg)
โรคถุงลมโป่งพองคืออะไร?
โรคถุงลมโป่งพองเป็นภาวะที่ถุงลมในปอดถูกทำลายอย่างถาวร ส่งผลให้ผนังของถุงลมบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการขยายตัวผิดปกติ อากาศที่หายใจเข้าไปติดค้างอยู่ในปอดมากขึ้น ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง โดยอาการถุงลมโป่งพองระยะแรก ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก เหนื่อยง่าย และอาจเกิดภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง หากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษา โรคนี้อาจลุกลามและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
/2.jpg)
ถุงลมโป่งพอง มีกี่ระยะ
โรคถุงลมโป่งพองสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ตามความรุนแรงของอาการ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- ระยะที่ 1 (Mild COPD)อาการถุงลมโป่งพองระยะแรกจะยังไม่รุนแรงมาก โดยเริ่มจากไอเรื้อรัง มีเสมหะ แต่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การทำงานของปอดลดลงเพียงเล็กน้อย
- ระยะที่ 2 (Moderate COPD)เริ่มมีอาการหายใจติดขัด โดยเฉพาะเวลาทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง เช่น เดินขึ้นบันได หรือออกกำลังกาย รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- ระยะที่ 3 (Severe COPD)หายใจลำบากมากขึ้น แม้ทำกิจกรรมทั่วไปที่ไม่ต้องใช้แรงมาก รวมถึงออกซิเจนในเลือดเริ่มลดลงจนอาจมีภาวะปอดแฟบหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อในปอดได้
- ระยะที่ 4 (Very Severe COPD)การทำงานของปอดลดลงอย่างมาก ทำให้หายใจติดขัดแม้ในขณะพัก มีออกซิเจนในเลือดต่ำ และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หัวใจวาย หรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
/3.jpg)
อาการของถุงลมโป่งพอง
อาการหลักของโรคถุงลมโป่งพองคือหายใจลำบาก เหนื่อยง่าย และไอเรื้อรัง โดยอาการจะค่อยๆ แสดงออกและรุนแรงขึ้นตามระยะของโรค ซึ่งอาการอื่นๆ ที่พบ ได้แก่
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะเวลาทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง
- ไอเรื้อรัง มักมีเสมหะร่วมด้วย โดยเฉพาะในช่วงเช้า
- เจ็บแน่นหน้าอก หรือรู้สึกไม่สบายในบริเวณปอด
- เสียงหวีด (Wheezing) หรือหายใจมีเสียงคล้ายลมรั่ว
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เนื่องจากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
- น้ำหนักลด และกล้ามเนื้อลีบจากการใช้พลังงานมากขึ้นในการหายใจ
- ริมฝีปากหรือปลายนิ้วเขียวคล้ำ เนื่องจากออกซิเจนในเลือดต่ำ
- เกิดภาวะแทรกซ้อนง่าย เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจหรือภาวะปอดแฟบ
/4.jpg)
ถุงลมโป่งพองเกิดจากอะไร
สาเหตุที่ทำให้เกิดถุงลมโป่งพองมีหลายปัจจัย โดยส่วนใหญ่โรคถุงลมโป่งพองเกิดจากการได้รับสารระคายเคืองเข้าสู่ปอดเป็นเวลานาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เนื้อเยื่อปอดถูกทำลายและถุงลมเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- การได้รับมลพิษทางอากาศ เช่น ควันจากโรงงาน ควันท่อไอเสีย หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
- การสัมผัสสารเคมีหรือฝุ่นในที่ทำงาน เช่น แร่ใยหิน ฝุ่นซิลิกา หรือสารระเหยจากอุตสาหกรรม
- การติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ อาจทำให้เนื้อเยื่อปอดอักเสบและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- กรรมพันธุ์ โดยเฉพาะผู้ที่ขาดเอนไซม์ Alpha-1 Antitrypsin ซึ่งช่วยปกป้องถุงลมจากความเสียหาย
- การสูดดมควันบุหรี่มือสอง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแม้ไม่ได้สูบบุหรี่โดยตรง
- อายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้การทำงานของปอดเสื่อมลงตามธรรมชาติ
กลุ่มคนที่เสี่ยงจะเป็นถุงลมโป่งพอง
โรคถุงลมโป่งพองส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง ซึ่งได้แก่
- ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ทั้งบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า มีโอกาสสูงที่จะเกิดความเสียหายต่อปอด
- ผู้ที่สูดดมควันบุหรี่ แม้ไม่ได้สูบเอง แต่การได้รับควันบุหรี่เป็นเวลานานก็เพิ่มความเสี่ยง
- ผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นหรือสารเคมี เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง โรงงานผลิตสารเคมี หรือเหมืองแร่
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง โดยเฉพาะในเมืองที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูง หรือมีควันจากการเผาไหม้มาก
- ผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคปอดอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ที่มีภาวะขาดเอนไซม์ Alpha-1 Antitrypsin ซึ่งเป็นภาวะทางพันธุกรรมที่ทำให้ปอดเสื่อมเร็วขึ้น
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่หรือสัมผัสมลพิษมาเป็นเวลานาน
/5.jpg)
วิธีตรวจวินิจฉัยถุงลมโป่งพอง
การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพองใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรคและหาสาเหตุที่เกี่ยวข้อง โดยแพทย์จะใช้วิธีการตรวจดังต่อไปนี้
- ซักประวัติและตรวจร่างกายแพทย์จะสอบถามอาการ ประวัติการสูบบุหรี่ การสัมผัสมลพิษ รวมถึงตรวจร่างกายเพื่อฟังเสียงหายใจและดูสัญญาณของภาวะออกซิเจนต่ำ เช่น ปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ
- ทำเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray)ใช้เพื่อตรวจดูรูปร่างของปอดและโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง แพทย์สามารถมองเห็นภาวะปอดโป่งพองหรือปอดแฟบ และช่วยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น ปอดอักเสบ
- เอกซเรย์ทรวงอกทางคอมพิวเตอร์ (Chest CT Scan) ให้ภาพที่ละเอียดกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา ช่วยให้เห็นความเสียหายของถุงลมปอดได้ชัดเจนขึ้น และสามารถประเมินความรุนแรงของโรคได้แม่นยำขึ้น
- ตรวจวัดสมรรถภาพทางปอด (Pulmonary Function Testing - PFTs)เป็นการเป่าลมหายใจเข้า-ออกผ่านเครื่องตรวจ เพื่อวัดความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซของปอดและปริมาณลมที่สามารถหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของโรคถุงลมโป่งพอง
- วิเคราะห์ก๊าซในเลือดแดง (Arterial Blood Gas: ABG)ใช้เจาะเลือดจากหลอดเลือดแดงเพื่อตรวจระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ช่วยประเมินว่าสภาพร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอหรือไม่
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram - EKG)ใช้เพื่อตรวจหาผลกระทบของถุงลมโป่งพองต่อหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือภาวะหัวใจล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของปอดที่ลดลง
- ตรวจเลือดอาจใช้ตรวจภาวะขาดเอนไซม์ Alpha-1 Antitrypsin ซึ่งเป็นสาเหตุของถุงลมโป่งพองจากพันธุกรรม รวมถึงตรวจดูภาวะการอักเสบหรือภาวะติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน
/6.jpg)
การรักษาถุงลมโป่งพอง
การรักษาถุงลมโป่งพองขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยมีแนวทางการรักษาหลายวิธีเพื่อช่วยบรรเทาอาการและชะลอการลุกลามของโรค โดยโรคถุงลมโป่งพองมีวิธีรักษา ดังนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ฝุ่น มลพิษ และสารเคมีที่อาจทำให้ปอดอักเสบมากขึ้น
- ใช้ยาขยายหลอดลมช่วยให้กล้ามเนื้อรอบหลอดลมหย่อนตัว ลดอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศในปอด
- ใช้ยาสเตียรอยด์ ลดการอักเสบในหลอดลมและช่วยควบคุมอาการ โดยใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงและมีภาวะหลอดลมอักเสบร่วมด้วย
- ให้การรักษาด้วยออกซิเจน สำหรับผู้ป่วยที่มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำมาก แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ออกซิเจนเสริมเพื่อช่วยหายใจ
- ทำกายภาพบำบัดปอด รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ และฝึกเทคนิคการหายใจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจเช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่อาจทำให้อาการแย่ลง
- รักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเช่น หากมีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปอดติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาขับปัสสาวะ หรือยารักษาหัวใจตามความจำเป็น
- การผ่าตัดรักษาในกรณีรุนแรงอาจมีการผ่าตัดเพื่อลดขนาดปอดบางส่วน หรือในกรณีที่ปอดเสียหายมาก อาจต้องพิจารณาปลูกถ่ายปอดร่วมด้วย
แนวทางป้องกันถุงลมโป่งพอง
การป้องกันโรคถุงลมโป่งพองสามารถทำได้ทั้งในกลุ่มที่ยังไม่เป็นโรคและผู้ที่ได้รับการรักษาแล้วแต่ต้องการลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ โดยสามารถปรับพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงได้ดังนี้
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่เป็นวิธีป้องกันที่สำคัญที่สุด เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ ควรหลีกเลี่ยงทั้งบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงควันบุหรี่มือสอง
- หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศหรือการอยู่ในพื้นที่ที่มีควัน ฝุ่น และสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อปอด หากจำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ ควรสวมหน้ากากป้องกัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอเช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของปอดและกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
- รักษาสุขอนามัยและป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจโดยการล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดในช่วงที่มีการระบาดของโรคทางเดินหายใจ และรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหากมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระของปอดและหัวใจ ทำให้การหายใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพปอดเน้นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 เพื่อช่วยลดการอักเสบของปอด
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อลดฝุ่น ควัน และสารก่อภูมิแพ้ที่อาจเป็นอันตรายต่อปอด โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีปัญหาถุงลมโป่งพองมาก่อน
- หมั่นตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่เคยสูบบุหรี่หรือทำงานในที่ที่มีฝุ่นและสารเคมี เพื่อให้สามารถตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
/7.jpg)
การรักษาถุงลมโป่งพอง ที่โรงพยาบาลวิภาวดี
โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพปอด พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และรักษาโรคถุงลมโป่งพองด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย และมีแนวทางการรักษาที่ครอบคลุม ตั้งแต่การใช้ยา กายภาพบำบัดปอด ไปจนถึงการรักษาด้วยออกซิเจนเสริม นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น
- ได้รับมาตรฐานสากล ISO 9001:2008 และ Hospital Accreditation (HA) มั่นใจได้ในคุณภาพการรักษา
- มีศูนย์โรคระบบทางเดินหายใจและปอด ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทาง
- ตรวจรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคปอด พร้อมดูแลแบบครบวงจร
- ใช้เทคโนโลยีวินิจฉัยและการรักษาที่ทันสมัย เช่น เครื่องตรวจสมรรถภาพปอด CT Scan และการวิเคราะห์ก๊าซในเลือด
- ให้บริการฉุกเฉินและรองรับสิทธิประกันสุขภาพหลากหลายรูปแบบ
- ห้องพักผู้ป่วยสะอาด สงบ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการพักฟื้น
หากต้องการเข้ารับการรักษาหรือขอคำปรึกษา สามารถติดต่อ โรงพยาบาลวิภาวดี ได้ที่ 51/3 ถ.งามวงศ์วาน จตุจักร กรุงเทพฯ หรือโทร 02-561-1111, 02-058-1111 และสำหรับสิทธิประกันสุขภาพ สามารถสอบถามเพิ่มเติมผ่าน LINE: @vibhainsurance