โรคลมชัก เป็นภาวะผิดปกติทางสมองอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน เป็นโรคที่สามารถรักษาและควบคุมอาการได้หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม บทความนี้พาไปทำความรู้จักกับอาการของโรคลมชัก สาเหตุ ระยะเวลาการรักษา วิธีปฐมพยาบาลโรคลมชัก และกลุ่มเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง
พร้อมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยและแนวทางการรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงค่าใช้จ่ายเบื้องต้นจากโรงพยาบาลวิภาวดี เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัววางแผนการรักษาและตัดสินใจเข้ารับบริการทางการแพทย์ได้อย่างมั่นใจ
โรคลมชัก (Epilepsy) คือภาวะที่สมองทำงานผิดปกติชั่วขณะ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการชัก เกร็ง หรือหมดสติเป็นช่วงๆ โดยเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมองที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าผิดจังหวะ ซึ่งอาการชักอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังและมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ชนิดตามลักษณะของอาการที่แสดง ดังนี้
ลมชักชนิดเฉพาะที่เกิดจากความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมองเพียงบางส่วนหรือบางตำแหน่งเท่านั้น อาการที่แสดงออกจึงขึ้นอยู่กับบริเวณของสมองที่ได้รับผลกระทบ โดยอาจเริ่มจากการกระตุกของกล้ามเนื้อที่แขน ขา หรือใบหน้าเพียงข้างใดข้างหนึ่ง และบางรายอาจมีอาการรู้สึกคลื่นไส้ มึนงง หูแว่ว หรือเห็นแสงผิดปกติได้ก่อนจะชัก ซึ่งผู้ป่วยอาจรู้สึกตัวขณะเกิดอาการหรือไม่รู้สึกตัวเลยก็ได้
โรคลมชักชนิดทั่วไปเกิดจากความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมองทั้งสองซีกพร้อมกัน ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียการรับรู้หรือหมดสติทันที โดยมักมีอาการกระตุกหรือเกร็งทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้
ลมชักประเภทที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถระบุจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าผิดปกติในสมองได้อย่างแน่ชัดว่าเริ่มจากสมองส่วนไหน ซึ่งอาจเกิดจากข้อจำกัดในการสังเกตขณะเกิดอาการ หรือยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่เพียงพอ เช่น ไม่มีภาพบันทึกวิดีโอหรือผลตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหมดสติหรือเกร็งกระตุกทันที โดยไม่มีใครเห็นลำดับอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น จึงทำให้การวินิจฉัยไม่สามารถจำแนกชนิดได้ชัดเจนตั้งแต่แรก
ลมชักที่ไม่สามารถจัดประเภทได้ เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถจัดให้อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับอาการไม่เพียงพอ หรือมีลักษณะอาการที่ไม่เข้าเกณฑ์จำแนกใดๆ โดยตรง เช่น อาจมีอาการหลายแบบผสมกัน หรือผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายอาการได้ชัดเจน
กรณีนี้พบได้ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีผลตรวจทางคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) หรือผลตรวจไม่สามารถชี้ชัดแหล่งกำเนิดของคลื่นผิดปกติได้ ซึ่งแพทย์มักจะเฝ้าติดตามอาการเพิ่มเติม หรือใช้เทคโนโลยีเสริมในการวินิจฉัย เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมในลำดับต่อไป
อาการของโรคลมชักแสดงออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของลมชักและบริเวณของสมองที่ได้รับผลกระทบ โดยอาการบางอย่างอาจเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ขณะที่บางอาการอาจรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้
โรคลมชักเป็นโรคที่สามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้
โรคลมชักไม่ได้เป็นเพียงแค่อาการที่เกิดขึ้นชั่วขณะเท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในระยะต่างๆ ซึ่งแต่ละระยะมีผลต่อแนวทางการวินิจฉัย การติดตามอาการ และการรักษาอย่างมีระบบ โดยทั่วไปสามารถแบ่งระยะของโรคลมชักออกได้เป็น 4 ระยะหลัก ดังนี้
โรคลมชักสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากมีปัจจัยกระตุ้นหรือภาวะทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองโดยตรง โดยกลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
การเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ และการตรวจสุขภาพประจำปีร่วมกับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การวินิจฉัยโรคลมชักต้องอาศัยข้อมูลหลายด้านร่วมกัน โดยแพทย์จะประเมินอย่างละเอียดเพื่อแยกโรคลมชักออกจากโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหมดสติจากหัวใจ หรืออาการทางจิตเวช ซึ่งวิธีการวินิจฉัยที่ใช้ทั่วไป มีดังนี้
การรักษาโรคลมชัก แพทย์จะประเมินอาการอย่างละเอียดเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ซึ่งวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาโรคลมชักมีดังนี้
การตรวจคลื่นสมองเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ประกอบการวินิจฉัยและช่วยกำหนดแนวทางการรักษาโรคลมชักได้อย่างแม่นยำ โดยแพทย์จะติดแผ่นอิเล็กโทรดเล็กๆ ไว้บนหนังศีรษะของผู้ป่วย เพื่อวัดและบันทึกกิจกรรมของคลื่นไฟฟ้าในสมอง ซึ่งใช้เวลาในการตรวจประมาณ 30 - 60 นาที หรืออาจนานกว่านั้น ในกรณีที่ต้องการตรวจขณะหลับหรือมีการกระตุ้นให้เกิดอาการชักจำลอง
วิธีนี้จะช่วยระบุชนิดของลมชักและตำแหน่งของความผิดปกติในสมองได้อย่างแม่นยำ รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการวางแผนรักษาระยะยาวและการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดรักษาในบางกรณี
MRI เป็นการตรวจทางรังสีวินิจฉัยที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพรายละเอียดของเนื้อสมอง โดยไม่ใช้รังสีเอกซเรย์ ทำให้สามารถเห็นโครงสร้างภายในสมองได้อย่างชัดเจนในหลายมิติ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยระบุสาเหตุของโรคลมชักที่เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างสมอง เช่น เนื้องอก แผลเป็น รอยโรคแต่กำเนิด หรือเนื้อสมองฝ่อได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด และประเมินความเหมาะสมของการรักษาด้วยยา หรือการผ่าตัดในผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อยาได้ดียิ่งขึ้น
แม้โรคลมชักบางชนิดจะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจากพันธุกรรมหรือความผิดปกติของสมองแต่กำเนิด แต่ยังมีวิธีการดูแลสุขภาพที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันปัจจัยกระตุ้นที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคลมชักได้ ดังนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีมุ่งมั่นให้บริการดูแลผู้ป่วยโรคลมชักแบบครบวงจร (One Stop Service) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่สะดวกสบายและครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้
ที่โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจวินิจฉัยโรคลมชักอย่างละเอียด ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท โดยเน้นการประเมินอาการด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) และการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อให้สามารถวางแผนการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนได้อย่างตรงจุดมากที่สุด
โรงพยาบาลวิภาวดีให้การรักษาโรคลมชักหลายรูปแบบตามอาการ ดังนี้
แม้ VNS จะไม่สามารถหยุดอาการชักได้ทั้งหมด แต่ผู้ป่วยจำนวนมากมักมีอาการดีขึ้น และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ
โรงพยาบาลวิภาวดีมีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมอง (Neurology) ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคลมชักโดยตรง ครอบคลุมทั้งด้านการวินิจฉัย รักษา ติดตามอาการ และฟื้นฟูสมรรถภาพ ดังนี้
ทั้งยังมีความร่วมมือของทีมสหสาขาวิชาชีพภายในโรงพยาบาลวิภาวดี ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยโรคลมชักได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในทุกระยะของการรักษา
หากต้องการเข้ารับการตรวจหรือรักษาโรคลมชักที่โรงพยาบาลวิภาวดี ผู้ป่วยสามารถนัดหมายล่วงหน้าได้อย่างสะดวกผ่านหลายช่องทาง ดังนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีมีทางเลือกด้านสิทธิการรักษาและระบบชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้ป่วยโรคลมชักสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยสิทธิที่สามารถใช้ได้และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น มีรายละเอียดดังนี้
หมายเหตุค่ารักษาอาจแตกต่างตามแผนการรักษาและสิทธิที่ผู้ป่วยมีอยู่ แนะนำให้ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลล่วงหน้าเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายเฉพาะกรณีเพิ่มเติม
โรคลมชักเป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมอง ส่งผลให้เกิดอาการชักในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากหลายวิธี ทั้งการซักประวัติโดยละเอียด การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) และการตรวจ MRI สมอง เพื่อค้นหาสาเหตุและตำแหน่งของความผิดปกติ โดยแนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ เช่น การใช้ยา ผ่าตัด หรือกระตุ้นเส้นประสาท
ซึ่งที่โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการดูแลผู้ป่วยโรคลมชักแบบครบวงจร (One Stop Service) โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมเครื่องมือทันสมัย และรองรับสิทธิการรักษาหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจได้ในทุกขั้นตอนของการรักษา
หลายคนยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโรคลมชัก หรืออาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยในชีวิตประจำวัน เราจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบที่กระชับและเข้าใจง่าย ดังนี้
โดยทั่วไปแล้วโรคลมชักไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่โรคลมชักเกิดขึ้นบ่อยหรือเกิดในสถานการณ์เสี่ยง เช่น ขณะขับรถ ว่ายน้ำ หรืออยู่ตามลำพัง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายตามมาได้ จึงควรได้รับการวินิจฉัยและดูแลโดยแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินอาการว่ายังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยไหม
สำหรับผู้ป่วยโรคลมชักไม่ได้มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามกินอะไร แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นระบบประสาทหรือรบกวนการทำงานของยา เช่น
ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ควบคุมอาหารแบบ Ketogenic Diet โดยเฉพาะในเด็กที่ดื้อต่อยากันชัก
หากพบผู้ป่วยมีอาการลมชัก วิธีปฐมพยาบาลโรคลมชักในเบื้องต้นสามารถทำได้ ดังนี้
โรคลมชักสามารถควบคุมอาการให้สงบได้นานหลายปี หรือในบางรายอาจหายขาดได้ โดยเฉพาะในเด็กที่มีลมชักบางประเภท อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ในการรักษาให้หายขึ้นอยู่กับชนิดของลมชัก อายุที่เริ่มเป็น ระยะเวลาที่เป็น และการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยที่รักษาอย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์จะมีโอกาสควบคุมอาการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved