เมื่อพูดถึงอาการกรดไหลย้อน หลายคนอาจมองว่าเป็นอาการทั่วไปเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาก็อาจส่งผลต่อร่างกายได้ ซึ่งโรคกรดไหลย้อนคืออะไร? เกิดจากอาหารไม่ย่อยจริงหรือไม่? ต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหนและใครบ้างที่ควรระวังเป็นพิเศษ?
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ วิธีตรวจวินิจฉัย และแนวทางการรักษาจากทีมแพทย์ พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับการนัดหมาย สิทธิการรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลวิภาวดี เพื่อให้คุณได้รับแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) หมายถึงภาวะที่กรดหรือแก๊สในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารจนทำให้เกิดอาการแสบร้อนหน้าอกหรือหลอดอาหารระคายเคือง ซึ่งโรคกรดไหลย้อนแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่ โรคกรดไหลย้อนธรรมดา (GERD - Gastroesophageal Reflux Disease) และโรคกรดไหลย้อนที่ขึ้นมาคอและกล่องเสียง (LPR - Laryngopharyngeal Reflux)
หากสงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่ ก็สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ง่ายๆ ดังนี้
โรคกรดไหลย้อนเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการรับประทานอาหารด้วยความเร่งรีบ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารได้ทัน และส่งผลให้โรคเกิดกรดไหลย้อน นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการ ดังนี้
การแบ่งระยะของโรคกรดไหลย้อนแบ่งได้ 4 ระยะ คือ
ผลกระทบของระยะโรคกรดไหลย้อนต่อแนวทางการรักษา คือในระยะแรกสามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทานยาลดกรด หากอยู่ในระยะที่ 2 และ 3 ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยแพทย์จะจ่ายยาลดกรดกลุ่ม PPIs เพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนในระยะที่ 4 จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็ง
โรคกรดไหลย้อนสามารถพบได้ทุกเพศและทุกกลุ่มอายุ ได้แก่ เด็กทารกถึงเด็กโต ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ผู้ที่รับประทานอาหารแล้วนอนทันที ผู้ที่ชอบทานอาหารรสจัดเป็นประจำ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคผิวหนังแข็ง รวมถึงผู้ป่วยที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงหรือยาต้านโรคซึมเศร้า
การตรวจวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนเริ่มต้นด้วยการซักประวัติและสอบถามอาการที่เกิดขึ้น เช่น อาการเรอเปรี้ยว แสบร้อนกลางอก ท้องอืด พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การใช้ยา และโรคประจำตัวต่างๆ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น จะต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อสาเหตุของการเกิดโรค เช่น ตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร ส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ตรวจด้วยการเอกซเรย์ และตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เป็นต้น
การรักษาโรคกรดไหลย้อน สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับพฤติกรรมการกิน การใช้ยา และการรักษาทางการแพทย์ ดังนี้
การควบคุมพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันโรคกรดไหลย้อน โดยควรรับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารผลิตกรดมากเกินไป หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารคลายตัว และควรเดินย่อยหรือรอประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันกรดไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร งดอาหารรสจัดและเครื่องดื่มที่กระตุ้นกรดไหลย้อน เช่น แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และน้ำอัดลม นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดรูปจะช่วยลดความดันในช่องท้อง และการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดแรงกดที่กระเพาะอาหาร
สำหรับผู้ที่ต้องรับการรักษาโรคกรดไหลย้อนทางโรงพยาบาลวิภาวดีมีให้บริการการรักษาในรูปแบบ One Stop Service ซึ่งผู้ป่วยสามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาได้ทั้งในระยะเริ่มต้นและกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน โดยไม่ต้องไปหลายที่ให้ยุ่งยาก
เริ่มต้นการรักษาด้วยการสอบประวัติและอาการของผู้ป่วย พฤติกรรมการกินอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น และตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อน
มีวิธีการรักษาที่ครอบคลุมทั้งในระยะเริ่มต้นและกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การส่องกล้องหลอดอาหาร หรือการตรวจการทำงานของหูรูดหลอดอาหาร เป็นต้น
ได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้การรักษาโรคกรดไหลย้อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่ต้องการเข้ารับการตรวจหรือรับคำปรึกษาเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนที่โรงพยาบาลวิภาวดี สามารถโทรสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหาร โทร 02-058-111 หรือ 02-561-1111 ต่อ 4525 หรือ 4534 โดยเปิดให้บริการทุกวันวันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 07:00 - 20:00 น. และ วันเสาร์-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08:30 - 19:30 น.
ที่โรงพยาบาลวิภาวดีมีสิทธิการรักษาและค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาโรคกรดไหลย้อนที่ครอบคลุม ทั้งสิทธิประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจวินิจฉัย ค่ายา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามรูปแบบการรักษาพยาบาล
โรคกรดไหลย้อน (GERD) เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกและระคายเคืองในหลอดอาหาร โดยในระยะเริ่มต้นจะมีอาการอืดท้อง รู้สึกอาหารไม่ย่อย หากไม่รักษาอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบ หรือแผลในหลอดอาหาร จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายอย่างมะเร็งหลอดอาหารได้ จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารให้พอเหมาะ และเดินย่อยหลังรับประทานอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดกรดไหลย้อน
ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนสามารถเข้ารับการตรวจรักษาได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดีด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร และเครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัย ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเพื่อช่วยให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนได้มากขึ้น ดังนี้
โรคกรดไหลย้อนสามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือหายได้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโรคประจำตัวของแต่ละคน หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้
ตัวอย่างอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน ได้แก่ ช็อกโกแลต ของทอด อาหารรสจัด อาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารที่มีไขมันสูง ผลไม้รสเปรี้ยว กระเทียม หัวหอม และมะเขือเทศ
อาการของกรดไหลย้อนจะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในหลอดอาหาร กล่องเสียง และช่องคอ หากมีอาหารเรื้อรังเป็นเวลานานอาจทำให้เยื่อบุผิวของหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดภาวะหลอดอาหารบาร์เรต และนำไปสู่การเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้
หากสงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคกรดไหลย้อน ควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้น เช่น แสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว หรือมีอาการคลื่นไส้หลังทานอาหาร หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการในขั้นต่อไป
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved