คัน ผื่นขึ้น แสบ แดง ลอกเป็นขุย ถ้าใครเผชิญกับอาการเหล่านี้อยู่บ่อยๆ และไม่ทราบสาเหตุ อาจถึงเวลาที่ต้องสังเกตตัวเองให้มากขึ้น! เพราะอาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ผิวแพ้ธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณของ “โรคผิวหนัง” ที่ต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรักษาอย่างตรงจุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามหรือเรื้อรังจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน
บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ ระยะเวลาการรักษา และกลุ่มเสี่ยงของโรคผิวหนัง พร้อมข้อมูลการตรวจวินิจฉัย แนวทางการรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาลวิภาวดี รวมถึงสิทธิการรักษา ขั้นตอนการนัดหมาย และค่าใช้จ่ายที่ควรทราบ
โรคผิวหนัง (Skin Diseases) คือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ซึ่งอาจมีลักษณะหลากหลาย เช่น ผื่นแดง คัน แสบ แห้ง ลอก เป็นตุ่มหนอง หรือมีรอยโรคที่ผิวหนังแตกต่างกันไปในแต่ละคน อาการของโรคผิวหนังอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือเป็นเรื้อรังก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค สาเหตุ และการดูแลรักษา โดยสามารถแบ่งได้หลายชนิด ดังนี้
โรคผิวหนังบางชนิดอาจไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจเกิดการลุกลามหรือมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลรักษาอย่างตรงจุด
อาการของโรคผิวหนังแสดงออกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและปัจจัยที่กระตุ้น โดยอาการที่มักพบบ่อย มีดังนี้
โรคผิวหนังสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในร่างกายและสิ่งแวดล้อมภายนอก ดังนี้
ปฏิกิริยาภูมิแพ้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้นบางชนิดมากเกินไป เช่น ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ อาหารทะเล หรือเครื่องสำอาง แม้สารเหล่านั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป อาการแพ้ที่เกิดขึ้นอาจแสดงออกทางผิวหนังในรูปแบบต่างๆ เช่น ผื่นแดง คัน ลมพิษ หรือผิวลอกเป็นขุย ในบางกรณีผู้ป่วยอาจมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นทันทีหลังสัมผัส หรืออาจใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวันถึงจะแสดงอาการออกมา
การติดเชื้อเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆ ของโรคผิวหนัง โดยเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล รอยถลอก หรือการสัมผัสโดยตรง และทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเป็นตุ่ม ผื่น และแผลต่างๆ ได้ ซึ่งการติดเชื้อสามารถแบ่งได้ตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุหลัก ได้แก่
โรคผิวหนังเกิดจากผิวหนังสัมผัสกับสารเคมีหรือวัสดุที่มีฤทธิ์ระคายเคือง เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก สารเคมีในเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซึ่งอาจทำลายชั้นปกป้องผิว ส่งผลให้ผิวเกิดการอักเสบ ระคายเคือง คัน แดง แสบ หรือแห้งลอกได้
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ สะเก็ดเงิน หรือโรคลูปัส เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติจนไปกระตุ้นหรือทำร้ายเซลล์ผิวหนังของตัวเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบ ผื่นแดง คันแห้ง หรือผิวหนังลอกเรื้อรัง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหรือสารระคายเคียงภายนอก
กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรคผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคผิวหนังบางชนิด การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอาจเพิ่มโอกาสให้คนในครอบครัวเดียวกันมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป แม้จะไม่ได้สัมผัสสิ่งกระตุ้นโดยตรงก็ตาม
ฮอร์โมนและความเครียดอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดหรือกำเริบของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว ผื่นผิวหนังอักเสบ หรือสะเก็ดเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ฮอร์โมนมีความเปลี่ยนแปลง เช่น ช่วงวัยรุ่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยทอง นอกจากนี้ ความเครียดเรื้อรังยังส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง อักเสบง่ายขึ้น หรือฟื้นตัวช้ากว่าปกติอีกด้วย
การได้รับแสงแดดอย่างต่อเนื่องหรือมากเกินไปโดยไม่ป้องกัน อาจทำให้เกิดอาการผิวไหม้ ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือกระตุ้นให้โรคผิวหนังบางชนิดกำเริบ เช่น โรคแพ้แสง และสะเก็ดเงิน รวมถึงทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติจนเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
อากาศร้อนจัด หนาวจัด หรือแห้งเกินไป สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคผิวหนัง เช่น ผิวแห้งแตก ผื่นคัน หรือผิวลอกเป็นขุย โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่มีความชื้นในอากาศต่ำ หรือในฤดูร้อนที่เหงื่อออกมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราได้
โรคผิวหนังสามารถแบ่งได้หลายระยะตามความรุนแรงและลักษณะของโรค ซึ่งแต่ละระยะมีความแตกต่างทั้งในด้านอาการที่แสดงออกและแนวทางในการรักษา ดังนี้
การทราบระยะของโรคมีผลต่อการเลือกวิธีรักษาเป็นอย่างมาก หากรักษาถูกจุดตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม อาจช่วยให้โรคหายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ในทางกลับกัน หากปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะเรื้อรัง อาจต้องใช้เวลารักษานานขึ้นและมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็น หรือผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้
โรคผิวหนังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบมากเป็นพิเศษในบางกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงทางร่างกาย พฤติกรรม หรือสิ่งแวดล้อม ดังนี้
การตรวจวินิจฉัยโรคผิวหนังเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์สามารถกำหนดแนวทางการรักษาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาการของโรคผิวหนังแต่ละชนิดอาจมีความคล้ายคลึงกัน การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบ และโดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
การรักษาโรคผิวหนังขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ระยะของอาการ และปัจจัยร่วมของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น อายุ พฤติกรรม หรือโรคประจำตัว โดยแนวทางการรักษาหลักของโรคผิวหนัง ได้แก่
เพื่อไม่ให้ตัวเองเสี่ยงเป็นโรคผิวหนัง สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ดังต่อไปนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการรักษาโรคผิวหนังแบบครบวงจร (One Stop Service) ครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัย รักษา ติดตามผล ไปจนถึงให้คำแนะนำด้านการดูแลผิวในระยะยาว โดยทีมแพทย์เฉพาะผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนังโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและตรงจุดแบบครบจบในที่เดียว
ที่โรงพยาบาลวิภาวดีมีการตรวจวินิจฉัยโรคผิวหนังอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยแพทย์จะประเมินอาการจากลักษณะของผื่นหรือความผิดปกติที่ปรากฏบนผิวหนังร่วมกับการซักประวัติสุขภาพ และหากแพทย์มีข้อสงสัย อาจพิจารณาใช้การตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น
โรงพยาบาลวิภาวดีมีแนวทางการรักษาโรคผิวหนังที่หลากหลาย โดยเน้นการรักษาที่ปลอดภัย เห็นผลจริง และเหมาะสมกับสภาพผิวของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งมีแนวทางการรักษาที่ให้บริการ ดังนี้
ทีมแพทย์ผิวหนังของโรงพยาบาลวิภาวดีประกอบด้วยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนัง ทั้งด้านการดูแลรักษาโรคผิวหนังทั่วไป ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ตลอดจนให้คำปรึกษาด้านผิวพรรณและความงามแบบองค์รวม
แพทย์ทุกท่านผ่านการฝึกอบรมในระดับสากล พร้อมใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่แม่นยำ เช่น การฉายแสง Excimer เลเซอร์ผิวหนัง หรือการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ตรงจุด เห็นผลลัพธ์อย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
หากต้องการเข้ารับการตรวจหรือรักษาโรคผิวหนังที่โรงพยาบาลวิภาวดี ผู้ป่วยสามารถนัดหมายล่วงหน้าได้อย่างสะดวกผ่านหลายช่องทาง ดังนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีมีทางเลือกด้านสิทธิการรักษาและระบบชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้ป่วยโรคผิวหนังสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวก โดยสิทธิที่สามารถใช้ได้และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น มีดังนี้
โรคผิวหนังเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้สารเคมี การติดเชื้อ ภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือสภาพแวดล้อม มักจะมีอาการคัน ผิวแห้ง ผื่นแดง แสบ ผิวลอก หรือมีตุ่มหนอง โดยการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใช้ยา การฉายแสง การผลัดเซลล์ผิว หรือการใช้เลเซอร์ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระดับความรุนแรงของอาการ
โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการรักษาโรคผิวหนังโดยทีมแพทย์ผิวหนังผู้มีประสบการณ์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย ให้การรักษาตรงจุด และมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยทุกราย!
สำหรับใครที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ แนวทางการรักษา และความรุนแรงของโรคผิวหนังอยู่ เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบที่ชัดเจนไว้ให้คุณได้เข้าใจมากขึ้น ดังนี้
ยาที่ใช้รักษาโรคผิวหนังอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแพทย์อาจพิจารณาใช้ยา ดังนี้
ยาทาภายนอกเช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Steroid) เพื่อลดอาการอักเสบ และอาจใช้ยาต้านเชื้อราหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกรณีมีการติดเชื้อร่วม
ยารับประทานเช่น ยาแก้แพ้ (Antihistamine) เพื่อลดอาการคัน หรือยากดภูมิคุ้มกันในกรณีที่มีสาเหตุจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
ยาทาบำรุงผิวเช่น ครีมให้ความชุ่มชื้น เพื่อช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวหนัง
หากมีอาการผิวหนังผิดปกติที่ไม่หายภายใน 1 - 2 สัปดาห์ หรือมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังในทันที
ผื่นแดง คัน แสบ หรือลอกที่เป็นเรื้อรังหรือกำเริบบ่อย
มีตุ่มน้ำ หนอง แผลเปื่อย หรือมีของเหลวไหลซึม
รู้สึกเจ็บแสบ บวม หรือมีไข้ร่วมกับผื่น
รอยโรคกระจายเป็นวงกว้างหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
มีรอยดำ รอยแดง หรือแผลที่ไม่หายสักที
โดยทั่วไปโรคผิวหนังไม่ถือว่าเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
การติดเชื้อแทรกซ้อนโดยเฉพาะในกรณีที่มีตุ่มน้ำ แผล หรือการเกา
อาการเรื้อรังผิวหนังอาจหนาตัว ดำคล้ำ หรือเกิดรอยแผลเป็นถาวร
กระทบต่อคุณภาพชีวิตเช่น ความไม่มั่นใจ การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือปัญหาด้านจิตใจ
แพร่กระจายโรคบางชนิดอาจติดต่อได้ เช่น หิด เชื้อรา เริม
ในบางกรณี โรคผิวหนังอาจเป็นสัญญาณของโรคระบบอื่น เช่น โรคภูมิคุ้มกันหรือโรคในระบบภายใน จึงควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved