รากฟันเทียมคืออะไร? ข้อดี ราคา และวิธีดูแลที่ถูกวิธี

  • รากฟันเทียมคือวัสดุทดแทนรากฟันธรรมชาติที่ฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อรองรับครอบฟันหรือสะพานฟัน ทำจากไทเทเนียมหรือเซรามิกที่ปลอดภัย แข็งแรง และเข้ากับร่างกายได้ดี ช่วยให้ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันจริงที่สุด
  • การฝังรากฟันเทียมช่วยฟื้นฟูการบดเคี้ยว การพูด และความมั่นใจ ขณะเดียวกันยังป้องกันฟันล้ม กระดูกขากรรไกรยุบ และปัญหาช่องว่างฟันในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการทดแทนฟันแบบมั่นคงและถาวร
  • การดูแลรักษารากฟันเทียมที่ดีคือควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบทันตแพทย์ตรวจเช็กทุก 6 เดือน หลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็งจัดในระยะแรก และหากมีอาการเจ็บ บวม หรือรากเทียมโยก ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ทันที

การสูญเสียฟันไม่เพียงส่งผลต่อรอยยิ้ม แต่ยังส่งผลต่อการบดเคี้ยวและสุขภาพช่องปากในระยะยาว รากฟันเทียมจึงเป็นทางเลือกการรักษาที่ช่วยทดแทนฟันที่หายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งในด้านความสวยงามและการใช้งาน แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่ารากฟันเทียมคืออะไร มีกี่แบบ เหมาะกับใคร และมีข้อดี-ข้อจำกัดอย่างไรบ้าง? บทความนี้พามาทำความเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับรากฟันเทียม เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในรอยยิ้มของตัวเอง!

รากฟันเทียมคืออะไร?

รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวัสดุทดแทนรากฟันธรรมชาติที่ใช้สำหรับฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานรองรับฟันปลอมครอบฟันหรือสะพานฟัน โดยทั่วไปทำจากไทเทเนียมคุณภาพทางการแพทย์ ซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน ยึดเกาะกับกระดูกได้ดีโดยไม่ก่อให้เกิดการแพ้ 

รากฟันเทียมมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน เพราะช่วยให้การบดเคี้ยวดีขึ้น มีความมั่นคงกว่าฟันปลอมแบบถอดได้ และช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกรไม่ให้ยุบตัว นอกจากนี้ยังช่วยให้รอยยิ้มและการพูดกลับมาเป็นธรรมชาติ ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในมาตรฐานทางการแพทย์

13 เหตุผล ทำไมควรฝังรากฟันเทียม

13 เหตุผล ทำไมควรฝังรากฟันเทียม

  1. ฟันข้างเคียงล้มเข้าหาช่องว่าง หรือเรียงตัวผิดปกติ
  2. เศษอาหารติดซอกฟันมากขึ้น
  3. การบดเคี้ยวและการย่อยอาหารลดประสิทธิภาพ
  4. ฟันคู่สบเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง ฟันยื่นหรือฟันโผล่
  5. กระดูกบริเวณฟันถูกถอนไปลดลง
  6. โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลง ใบหน้าดูสั้น คางยุบ
  7. ลดความเสี่ยงโรคเหงือกและปริทันต์
  8. เพิ่มความมั่นใจในการยิ้ม
  9. ป้องกันการสึกกร่อนของฟันข้างเคียง
  10. รักษาสุขภาพฟันระยะยาว
  11. ป้องกันปัญหาการออกเสียง
  12. เพิ่มประสิทธิภาพการบดเคี้ยว
  13. ลดความเสี่ยงฟันหักหรือเคลื่อนตัว

 

รากฟันเทียมมีกี่รูปแบบ

รากฟันเทียมสามารถแบ่งออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจำนวนฟันที่ต้องการทดแทน วัสดุที่ใช้ เทคนิคการฝัง และช่วงเวลาที่ทำหัตถการ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพช่องปากและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้

1.แบ่งตามจำนวนฟันที่ทดแทน

  • รากฟันเทียมเดี่ยว (Single Implant) ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสีย 1 ซี่
  • รากฟันเทียมหลายซี่ (Multiple Implants) ใช้รองรับสะพานฟันหรือทดแทนฟันหลายซี่ติดกัน
  • รากฟันเทียมทั้งปาก (Full Arch Implant / All-on-4 / All-on-6) เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันจำนวนมากหรือทั้งปาก

2.แบ่งตามระยะเวลาการทำหัตถการ

  • ฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน (Immediate Implant) ทำทันทีหลังถอนฟัน ลดจำนวนครั้งในการผ่าตัด
  • ฝังรากฟันเทียมหลังแผลหาย (Delayed Implant) รอให้กระดูกและเหงือกฟื้นตัวก่อนจึงทำการฝังราก

3.แบ่งตามวัสดุและเทคนิคการผลิต

  • รากฟันเทียมไทเทเนียม (Titanium Implant) ได้รับความนิยมสูง แข็งแรง ยึดเกาะกับกระดูกได้ดี
  • รากฟันเทียมเซรามิก (Zirconia / Ceramic Implant) สีใกล้เคียงฟันธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้โลหะ

4.แบ่งตามตำแหน่งและเทคนิคการฝังลงในกระดูก เช่น Subperiosteal Implant, Endosteal Implant

  • Subperiosteal Implant วางอยู่บนกระดูกขากรรไกร ใต้เหงือก เหมาะสำหรับผู้ที่มวลกระดูกไม่เพียงพอ
  • Endosteal Implant ฝังลงในกระดูกขากรรไกรโดยตรง เป็นรูปแบบที่ใช้บ่อยที่สุด

 

ใครเหมาะกับการทำรากฟันเทียม

ใครเหมาะกับการทำรากฟันเทียม

  • ผู้ที่สูญเสียฟัน 1 ซี่ หรือหลายซี่ ต้องการทดแทนฟันที่หายไปแบบถาวรและมั่นคง
  • ผู้ที่ฟันข้างเคียงยังแข็งแรง ไม่ต้องการกรอฟันข้างเคียงเพื่อทำสะพานฟัน
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการบดเคี้ยวและการออกเสียงให้เป็นปกติ รากฟันเทียมช่วยให้ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด
  • ผู้ที่ต้องการป้องกันฟันล้ม หรือการสูญเสียกระดูกขากรรไกร เพราะรากฟันเทียมช่วยกระตุ้นกระดูก ทำให้ไม่ยุบตัวในระยะยาว
  • ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามและความมั่นใจ รากฟันเทียมให้ความกลมกลืนกับฟันธรรมชาติ ทำให้ยิ้มได้อย่างมั่นใจ
  • ผู้ที่ไม่ต้องการใช้ฟันปลอมถอดได้ เพราะรากฟันเทียมให้ความมั่นคงกว่า ไม่เลื่อนหลุด ไม่ต้องพึ่งกาวติดฟันปลอม
  • ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรเพียงพอ เช่น กระดูกมีความหนาและความสูงเหมาะสมต่อการฝังราก หากกระดูกบางอาจต้องเสริมกระดูกตามดุลยพินิจแพทย์
  • ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานควบคุมไม่ได้ หรือผู้ที่สูบบุหรี่จัด อาจทำให้การยึดเกาะของรากฟันเทียมลดลง
  • ผู้ที่ต้องการการดูแลระยะยาวที่คุ้มค่า แม้ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง แต่ใช้งานได้นานหลายปี ทำให้คุ้มค่ากว่าฟันปลอมบางประเภท

 

ใครไม่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม

  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวานควบคุมไม่ดี ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคที่ส่งผลต่อการหายของแผล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและรากฟันเทียมยึดเกาะไม่ดี
  • ผู้ที่มีภาวะบดเคี้ยวรุนแรงหรือกัดฟันตอนนอน (Bruxism) หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้รากฟันเทียมรับแรงกระแทกมากเกินไปจนเกิดความเสียหาย
  • ผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สามารถเสริมกระดูก (Bone Grafting) ได้ตามดุลยพินิจของแพทย์
  • ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด ทำให้กระดูกยึดกับรากฟันเทียมได้ไม่ดี และอาจทำให้แผลหายช้า
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร แนะนำให้เลื่อนการทำรากฟันเทียมออกไปจนกว่าภาวะสุขภาพจะเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้รังสีเอกซเรย์และการผ่าตัดระหว่างตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ที่ยังไม่ได้รักษา เพราะเหงือกที่อักเสบอาจทำให้เกิดการติดเชื้อรอบรากฟันเทียมได้ง่าย จำเป็นต้องรักษาเหงือกให้แข็งแรงก่อน
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ หรือโรคบางชนิดที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ซึ่งเพิ่มโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการฝังรากฟันเทียม
  • ผู้ที่ไม่สามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้ดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะการรักษาความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของรากฟันเทียมในระยะยาว

 

ฝังรากฟันเทียมมีข้อดีและข้อเสียมีอะไรบ้าง?

ฝังรากฟันเทียมมีข้อดีและข้อเสียมีอะไรบ้าง?

การฝังรากฟันเทียมคือหนึ่งในวิธีทดแทนฟันที่สูญเสียที่ให้ผลใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด การเลือกทำรากฟันเทียมควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อจำกัด เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพช่องปากและสุขภาพของแต่ละบุคคลมากที่สุด

ข้อดีของการฝังรากฟันเทียม

  • ไม่เลื่อนหลุดหรือคลอนเหมือนฟันปลอมถอดได้
  • มีความสะดวกสบาย ไม่รู้สึกรำคาญ หรือกดเจ็บจากฟันปลอมถอดได้
  • เหมือนฟันธรรมชาติ ทั้งรูปร่างและความแข็งแรง ทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ดี
  • ป้องกันการล้มของฟันข้างเคียง รักษาการเรียงตัวของฟันไม่ให้เอียงหรือเคลื่อน
  • ป้องกันการสูญเสียกระดูกขากรรไกร แรงบดเคี้ยวกระตุ้นกระดูกไม่ให้ยุบ
  • ช่วยให้ออกเสียงและพูดชัดเจน ไม่มีช่องว่างทำให้เสียงเพี้ยน
  • เพิ่มความมั่นใจในการยิ้ม เหมือนฟันจริง สวยและเป็นธรรมชาติ
  • ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียง ต่างจากสะพานฟันที่ต้องกรอฟันข้างเคียง
  • อายุการใช้งานยาวนาน อยู่ได้นานหลายปีหรือมากกว่า 10-20 ปี ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว

ข้อเสียของการฝังรากฟันเทียม

  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีการทดแทนฟันบางรูปแบบ
  • ต้องใช้เวลารักษาหลายขั้นตอน อาจใช้เวลา 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการยึดติดของกระดูก
  • ต้องมีการผ่าตัด มีความเสี่ยงติดเชื้อหรือบวมระหว่างทำ แต่พบได้น้อยเมื่อทำโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง
  • ไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น เบาหวานไม่ควบคุม สูบบุหรี่จัด กระดูกไม่เพียงพอ
  • อาจต้องมีการเสริมกระดูก ในบางกรณีหากกระดูกบริเวณฟันหายไป

 

การเตรียมตัวก่อนฝังรากฟันเทียม

  1. ปรึกษาและประเมินสภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพเหงือก ฟัน และกระดูกขากรรไกร รวมถึงถ่ายภาพเอกซเรย์หรือ CT Scan เพื่อวางแผนตำแหน่งการฝังรากฟันเทียมอย่างแม่นยำ
  2. แจ้งประวัติโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมถึงประวัติการผ่าตัดและอาการแพ้ยา เพื่อให้แพทย์ประเมินความปลอดภัย
  3. ปรับพฤติกรรมก่อนผ่าตัด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและช่วยให้กระดูกยึดตัวได้ดีขึ้น
  4. เตรียมร่างกายให้พร้อม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน)
  5. เตรียมจิตใจและวางแผนหลังผ่าตัด ทำความเข้าใจขั้นตอน ระยะเวลาการรักษา และอาการที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ รวมถึงเตรียมผู้ดูแลหรือคนพากลับบ้านในวันที่ผ่าตัด
  6. ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การงดอาหารก่อนผ่าตัด (หากแพทย์ระบุ) การใช้ยาฆ่าเชื้อล่วงหน้า หรือขั้นตอนอื่นๆ ที่ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด

 

ขั้นตอนการทำรากเทียม

ขั้นตอนการทำรากเทียม

ขั้นตอนการทำรากเทียมแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

การตรวจและประเมินสภาพช่องปาก

ผู้ป่วยจะต้องมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินว่าบริเวณที่ฟันถูกถอนไปเหมาะสมสำหรับการฝังรากเทียมหรือไม่ โดยมีการถ่ายภาพรังสีทั้งแบบธรรมดาและแบบ 3 มิติ (3D Cone Beam CT) เพื่อตรวจวัดความกว้างและความสูงของกระดูก จากนั้นทันตแพทย์จะวิเคราะห์ผลและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

การผ่าตัดฝังรากเทียม

หลังจากวางแผนการรักษาเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร โดยใช้ยาชาฉีดเพื่อลดความเจ็บปวด หลังผ่าตัดจะนัดตัดไหมและตรวจแผลภายใน 7-14 วัน จากนั้นรอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกประมาณ 3-6 เดือน

การต่อส่วนแกนและครอบฟัน

เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะพิมพ์ปากและเลือกแกนหลัก (Abutment) ที่เหมาะสม ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมรากเทียมกับครอบฟัน จากนั้นจะทำครอบฟันเพื่อสวมทับบนแกนหลัก โดยนัดมาลองครอบฟันประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังพิมพ์ปาก

คำแนะนำการดูแลรักษารากฟันเทียม

การดูแลรากฟันเทียมมีความสำคัญไม่ต่างจากการดูแลฟันธรรมชาติ ถึงแม้ว่ารากฟันเทียมจะทำจากโลหะและไม่สามารถผุได้ แต่ยังสามารถเกิดปัญหาเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์รอบรากเทียมได้ หากเกิดเหงือกอักเสบ กระดูกรอบรากฟันเทียมอาจละลาย ทำให้รากเทียมไม่สามารถยึดแน่นและอาจหลุดออกในที่สุด ดังนั้นการดูแลความสะอาดและตรวจสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งต่อรากฟันเทียมและฟันธรรมชาติ โดยแนะนำวิธีดูแลดังนี้

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังมื้ออาหารและก่อนนอน ใช้แปรงที่มีขนอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองรากเทียม
  • ใช้ไหมขัดฟัน 1-2 ครั้งต่อวัน หรือใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดซอกฟันเพื่อกำจัดคราบอาหารและแบคทีเรีย
  • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและรากเทียมตามนัด หรืออย่างน้อย ทุก 6 เดือน
  • หลีกเลี่ยงการใช้แรงบดเคี้ยวฟันหนักๆ หรือเคี้ยวอาหารแข็งในช่วงแรกหลังฝังรากเทียมจนกว่าจะครบตามคำแนะนำของทันตแพทย์
  • งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจชะลอการติดรากเทียม
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น เจ็บ บวม หรือรากเทียมโยก หากพบควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ทันที

 

ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนของรากฟันเทียม

  1. การติดเชื้อบริเวณรากเทียม อาจเกิดจากการดูแลช่องปากไม่เหมาะสมหรือมีคราบแบคทีเรียสะสม จำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างเคร่งครัดและรับยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง
  2. รากเทียมไม่ติดหรือหลุด เกิดจากกระดูกไม่สามารถยึดกับรากเทียมได้ดี เช่น ในผู้สูบบุหรี่จัด หรือผู้ที่ควบคุมเบาหวานไม่ดี ต้องให้แพทย์ประเมินซ้ำและวางแผนการรักษาใหม่
  3. เลือดออกหรือบวมหลังผ่าตัด พบได้บ่อยในช่วง 1-3 วันแรก ถือเป็นอาการปกติ แต่หากเลือดออกมากผิดปกติหรือบวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบกลับมาพบทันตแพทย์
  4. ชาหรือเจ็บปวดบริเวณรากฟันเทียม โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น หากชาเรื้อรังควรให้แพทย์ตรวจประเมินทันที
  5. ปัญหากระดูกหรือเนื้อเยื่อรอบรากเทียม เช่น Peri-implantitis ซึ่งเป็นการอักเสบของเหงือกและกระดูกรอบรากเทียม อาจส่งผลให้รากเทียมคลอนได้ จำเป็นต้องรักษาอย่างรวดเร็ว
  6. ปฏิกิริยาต่อวัสดุรากเทียม (พบได้น้อยมาก) แม้ไทเทเนียมและเซรามิกจะมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย แต่ในบางรายที่แพ้โลหะอาจเกิดการระคายได้ แพทย์จะตรวจประเมินก่อนทำเสมอ
  7. ปัญหาการบดเคี้ยวหรือการเรียงตัวของฟันผิดปกติ อาจเกิดหากตำแหน่งรากเทียมไม่สมดุลกับฟันข้างเคียง ต้องได้รับการปรับแต่งการสบฟันโดยทันตแพทย์

 

ค่าใช้จ่ายในการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมที่โรงพยาบาลวิภาวดีได้รับการดูแลโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง พร้อมเทคโนโลยีทันตกรรมที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัย แม่นยำ และมั่นใจในผลลัพธ์ในระยะยาว ด้วยโปรแกรมรากฟันเทียม ที่ครอบคลุมตั้งแต่การฝังรากเทียมจนถึงครอบฟันในซี่เดียวกัน ทำให้ผู้รับบริการสะดวกและมั่นใจในคุณภาพการรักษา

  • รากฟันเทียม Osstem ราคา 55,000 บาท/ซี่ รวมครอบฟันเซรามิก คุณภาพมาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน
  • รากฟันเทียม Straumann ราคา 75,000 บาท/ซี่ โดดเด่นเรื่องการยึดเกาะของกระดูกและความคงทนในระยะยาว

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาตรฐานการรักษาสูงและผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน

 

ทำรากฟันเทียม ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ทำรากฟันเทียม ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

การทำรากฟันเทียมที่โรงพยาบาลวิภาวดีได้รับการดูแลโดยทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟันเทียม พร้อมด้วยเทคโนโลยีการวินิจฉัยและหัตถการที่ทันสมัย เช่น การถ่ายภาพเอกซเรย์ 3 มิติ (CT Scan) การวางแผนตำแหน่งรากเทียมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำ ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้มั่นใจได้ทั้งในด้านความปลอดภัย การดูแลอย่างใกล้ชิด และผลลัพธ์ที่คงทนในระยะยาว

สรุป

การฝังรากฟันเทียมคือทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ที่สูญเสียฟันกลับมามีฟันที่ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด ทั้งในด้านการบดเคี้ยว การพูด และความมั่นใจในรอยยิ้ม นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันปัญหาฟันล้ม กระดูกยุบ และปัญหาช่องปากอื่นๆ ในระยะยาว แม้จะต้องผ่านกระบวนการรักษาหลายขั้นตอนและมีค่าใช้จ่ายมากกว่าวิธีอื่น แต่ผลลัพธ์ที่มั่นคงและคงทนถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก หากกำลังพิจารณาทำรากฟันเทียม พร้อมด้วยโปรแกรมรากฟันเทียมที่ครอบคลุม มีมาตรฐานด้านทันตกรรมที่ครบครัน โรงพยาบาลวิภาวดีเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูฟันที่สูญเสียด้วยรากฟันเทียมอย่างมั่นใจและมีคุณภาพ


FAQ

ราคาทำรากฟันเทียมที่โรงพยาบาลวิภาวดีขึ้นอยู่กับแบรนด์ของรากฟันเทียม โดย Osstem Implant ราคา 55,000 บาท/ซี่ และ Straumann Implant ราคา 75,000 บาท/ซี่ ราคานี้รวมครอบฟันเซรามิก และเป็นราคาต่อซี่

รากฟันเทียมถูกออกแบบให้ใช้ได้นานหลายปี หากดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสมและเข้ารับการตรวจฟันตามกำหนด ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานคือการดูแลฟันและเหงือก คุณภาพรากฟันเทียม และ พฤติกรรมการใช้ฟัน เช่น การกัดของแข็งหรือฟันกราม

หลังทำรากฟันเทียมควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเหนียว งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช้ฟันที่เพิ่งทำเคี้ยวของแข็งทันที และรักษาความสะอาดช่องปากตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อหรือปัญหารากฟันเทียมล้มเหลว

การฝังรากฟันเทียมมักทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ จึงลดความเจ็บปวดระหว่างทำได้มาก หลังทำอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือปวดบริเวณรากฟัน ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด การทำรากฟันเทียมถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัย และสามารถควบคุมอาการเจ็บได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์


แพทย์ผู้ดูแล

 กัญธนัช ฉัตรวรัทธนา

นัดหมายเเพทย์

กัญธนัช ฉัตรวรัทธนา

ทันตกรรม
ทันตกรรมรากเทียม

บทความที่เกี่ยวข้อง