- รากฟันเทียมคือวัสดุทดแทนรากฟันธรรมชาติที่ฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อรองรับครอบฟันหรือสะพานฟัน ทำจากไทเทเนียมหรือเซรามิกที่ปลอดภัย แข็งแรง และเข้ากับร่างกายได้ดี ช่วยให้ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันจริงที่สุด
- การฝังรากฟันเทียมช่วยฟื้นฟูการบดเคี้ยว การพูด และความมั่นใจ ขณะเดียวกันยังป้องกันฟันล้ม กระดูกขากรรไกรยุบ และปัญหาช่องว่างฟันในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการทดแทนฟันแบบมั่นคงและถาวร
- การดูแลรักษารากฟันเทียมที่ดีคือควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบทันตแพทย์ตรวจเช็กทุก 6 เดือน หลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็งจัดในระยะแรก และหากมีอาการเจ็บ บวม หรือรากเทียมโยก ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ทันที
การสูญเสียฟันไม่เพียงส่งผลต่อรอยยิ้ม แต่ยังส่งผลต่อการบดเคี้ยวและสุขภาพช่องปากในระยะยาว รากฟันเทียมจึงเป็นทางเลือกการรักษาที่ช่วยทดแทนฟันที่หายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งในด้านความสวยงามและการใช้งาน แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่ารากฟันเทียมคืออะไร มีกี่แบบ เหมาะกับใคร และมีข้อดี-ข้อจำกัดอย่างไรบ้าง? บทความนี้พามาทำความเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับรากฟันเทียม เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในรอยยิ้มของตัวเอง!
รากฟันเทียมคืออะไร?
รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวัสดุทดแทนรากฟันธรรมชาติที่ใช้สำหรับฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานรองรับฟันปลอมครอบฟันหรือสะพานฟัน โดยทั่วไปทำจากไทเทเนียมคุณภาพทางการแพทย์ ซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน ยึดเกาะกับกระดูกได้ดีโดยไม่ก่อให้เกิดการแพ้
รากฟันเทียมมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน เพราะช่วยให้การบดเคี้ยวดีขึ้น มีความมั่นคงกว่าฟันปลอมแบบถอดได้ และช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกรไม่ให้ยุบตัว นอกจากนี้ยังช่วยให้รอยยิ้มและการพูดกลับมาเป็นธรรมชาติ ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทดแทนฟันที่สูญเสียอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในมาตรฐานทางการแพทย์
%20Re-op/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2011%20(%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1)%20Re-op_Article.jpg)
13 เหตุผล ทำไมควรฝังรากฟันเทียม
- ฟันข้างเคียงล้มเข้าหาช่องว่าง หรือเรียงตัวผิดปกติ
- เศษอาหารติดซอกฟันมากขึ้น
- การบดเคี้ยวและการย่อยอาหารลดประสิทธิภาพ
- ฟันคู่สบเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง ฟันยื่นหรือฟันโผล่
- กระดูกบริเวณฟันถูกถอนไปลดลง
- โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลง ใบหน้าดูสั้น คางยุบ
- ลดความเสี่ยงโรคเหงือกและปริทันต์
- เพิ่มความมั่นใจในการยิ้ม
- ป้องกันการสึกกร่อนของฟันข้างเคียง
- รักษาสุขภาพฟันระยะยาว
- ป้องกันปัญหาการออกเสียง
- เพิ่มประสิทธิภาพการบดเคี้ยว
- ลดความเสี่ยงฟันหักหรือเคลื่อนตัว
รากฟันเทียมมีกี่รูปแบบ
รากฟันเทียมสามารถแบ่งออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจำนวนฟันที่ต้องการทดแทน วัสดุที่ใช้ เทคนิคการฝัง และช่วงเวลาที่ทำหัตถการ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพช่องปากและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้
1.แบ่งตามจำนวนฟันที่ทดแทน
- รากฟันเทียมเดี่ยว (Single Implant) ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสีย 1 ซี่
- รากฟันเทียมหลายซี่ (Multiple Implants) ใช้รองรับสะพานฟันหรือทดแทนฟันหลายซี่ติดกัน
- รากฟันเทียมทั้งปาก (Full Arch Implant / All-on-4 / All-on-6) เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันจำนวนมากหรือทั้งปาก
2.แบ่งตามระยะเวลาการทำหัตถการ
- ฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน (Immediate Implant) ทำทันทีหลังถอนฟัน ลดจำนวนครั้งในการผ่าตัด
- ฝังรากฟันเทียมหลังแผลหาย (Delayed Implant) รอให้กระดูกและเหงือกฟื้นตัวก่อนจึงทำการฝังราก
3.แบ่งตามวัสดุและเทคนิคการผลิต
- รากฟันเทียมไทเทเนียม (Titanium Implant) ได้รับความนิยมสูง แข็งแรง ยึดเกาะกับกระดูกได้ดี
- รากฟันเทียมเซรามิก (Zirconia / Ceramic Implant) สีใกล้เคียงฟันธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้โลหะ
4.แบ่งตามตำแหน่งและเทคนิคการฝังลงในกระดูก เช่น Subperiosteal Implant, Endosteal Implant
- Subperiosteal Implant วางอยู่บนกระดูกขากรรไกร ใต้เหงือก เหมาะสำหรับผู้ที่มวลกระดูกไม่เพียงพอ
- Endosteal Implant ฝังลงในกระดูกขากรรไกรโดยตรง เป็นรูปแบบที่ใช้บ่อยที่สุด
%20Re-op/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2011%20(%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1)%20Re-op_Article2.jpg)
ใครเหมาะกับการทำรากฟันเทียม
- ผู้ที่สูญเสียฟัน 1 ซี่ หรือหลายซี่ ต้องการทดแทนฟันที่หายไปแบบถาวรและมั่นคง
- ผู้ที่ฟันข้างเคียงยังแข็งแรง ไม่ต้องการกรอฟันข้างเคียงเพื่อทำสะพานฟัน
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการบดเคี้ยวและการออกเสียงให้เป็นปกติ รากฟันเทียมช่วยให้ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด
- ผู้ที่ต้องการป้องกันฟันล้ม หรือการสูญเสียกระดูกขากรรไกร เพราะรากฟันเทียมช่วยกระตุ้นกระดูก ทำให้ไม่ยุบตัวในระยะยาว
- ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามและความมั่นใจ รากฟันเทียมให้ความกลมกลืนกับฟันธรรมชาติ ทำให้ยิ้มได้อย่างมั่นใจ
- ผู้ที่ไม่ต้องการใช้ฟันปลอมถอดได้ เพราะรากฟันเทียมให้ความมั่นคงกว่า ไม่เลื่อนหลุด ไม่ต้องพึ่งกาวติดฟันปลอม
- ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรเพียงพอ เช่น กระดูกมีความหนาและความสูงเหมาะสมต่อการฝังราก หากกระดูกบางอาจต้องเสริมกระดูกตามดุลยพินิจแพทย์
- ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานควบคุมไม่ได้ หรือผู้ที่สูบบุหรี่จัด อาจทำให้การยึดเกาะของรากฟันเทียมลดลง
- ผู้ที่ต้องการการดูแลระยะยาวที่คุ้มค่า แม้ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง แต่ใช้งานได้นานหลายปี ทำให้คุ้มค่ากว่าฟันปลอมบางประเภท
ใครไม่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวานควบคุมไม่ดี ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคที่ส่งผลต่อการหายของแผล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและรากฟันเทียมยึดเกาะไม่ดี
- ผู้ที่มีภาวะบดเคี้ยวรุนแรงหรือกัดฟันตอนนอน (Bruxism) หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้รากฟันเทียมรับแรงกระแทกมากเกินไปจนเกิดความเสียหาย
- ผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สามารถเสริมกระดูก (Bone Grafting) ได้ตามดุลยพินิจของแพทย์
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด ทำให้กระดูกยึดกับรากฟันเทียมได้ไม่ดี และอาจทำให้แผลหายช้า
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร แนะนำให้เลื่อนการทำรากฟันเทียมออกไปจนกว่าภาวะสุขภาพจะเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้รังสีเอกซเรย์และการผ่าตัดระหว่างตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีโรคเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ที่ยังไม่ได้รักษา เพราะเหงือกที่อักเสบอาจทำให้เกิดการติดเชื้อรอบรากฟันเทียมได้ง่าย จำเป็นต้องรักษาเหงือกให้แข็งแรงก่อน
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ หรือโรคบางชนิดที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ซึ่งเพิ่มโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการฝังรากฟันเทียม
- ผู้ที่ไม่สามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้ดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะการรักษาความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของรากฟันเทียมในระยะยาว
%20Re-op/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2011%20(%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1)%20Re-op_Article3.jpg)
ฝังรากฟันเทียมมีข้อดีและข้อเสียมีอะไรบ้าง?
การฝังรากฟันเทียมคือหนึ่งในวิธีทดแทนฟันที่สูญเสียที่ให้ผลใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด การเลือกทำรากฟันเทียมควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อจำกัด เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพช่องปากและสุขภาพของแต่ละบุคคลมากที่สุด
ข้อดีของการฝังรากฟันเทียม
- ไม่เลื่อนหลุดหรือคลอนเหมือนฟันปลอมถอดได้
- มีความสะดวกสบาย ไม่รู้สึกรำคาญ หรือกดเจ็บจากฟันปลอมถอดได้
- เหมือนฟันธรรมชาติ ทั้งรูปร่างและความแข็งแรง ทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ดี
- ป้องกันการล้มของฟันข้างเคียง รักษาการเรียงตัวของฟันไม่ให้เอียงหรือเคลื่อน
- ป้องกันการสูญเสียกระดูกขากรรไกร แรงบดเคี้ยวกระตุ้นกระดูกไม่ให้ยุบ
- ช่วยให้ออกเสียงและพูดชัดเจน ไม่มีช่องว่างทำให้เสียงเพี้ยน
- เพิ่มความมั่นใจในการยิ้ม เหมือนฟันจริง สวยและเป็นธรรมชาติ
- ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียง ต่างจากสะพานฟันที่ต้องกรอฟันข้างเคียง
- อายุการใช้งานยาวนาน อยู่ได้นานหลายปีหรือมากกว่า 10-20 ปี ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว
ข้อเสียของการฝังรากฟันเทียม
- มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีการทดแทนฟันบางรูปแบบ
- ต้องใช้เวลารักษาหลายขั้นตอน อาจใช้เวลา 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับการยึดติดของกระดูก
- ต้องมีการผ่าตัด มีความเสี่ยงติดเชื้อหรือบวมระหว่างทำ แต่พบได้น้อยเมื่อทำโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง
- ไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น เบาหวานไม่ควบคุม สูบบุหรี่จัด กระดูกไม่เพียงพอ
- อาจต้องมีการเสริมกระดูก ในบางกรณีหากกระดูกบริเวณฟันหายไป
การเตรียมตัวก่อนฝังรากฟันเทียม
- ปรึกษาและประเมินสภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพเหงือก ฟัน และกระดูกขากรรไกร รวมถึงถ่ายภาพเอกซเรย์หรือ CT Scan เพื่อวางแผนตำแหน่งการฝังรากฟันเทียมอย่างแม่นยำ
- แจ้งประวัติโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมถึงประวัติการผ่าตัดและอาการแพ้ยา เพื่อให้แพทย์ประเมินความปลอดภัย
- ปรับพฤติกรรมก่อนผ่าตัด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและช่วยให้กระดูกยึดตัวได้ดีขึ้น
- เตรียมร่างกายให้พร้อม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน)
- เตรียมจิตใจและวางแผนหลังผ่าตัด ทำความเข้าใจขั้นตอน ระยะเวลาการรักษา และอาการที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ รวมถึงเตรียมผู้ดูแลหรือคนพากลับบ้านในวันที่ผ่าตัด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การงดอาหารก่อนผ่าตัด (หากแพทย์ระบุ) การใช้ยาฆ่าเชื้อล่วงหน้า หรือขั้นตอนอื่นๆ ที่ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด
%20Re-op/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2011%20(%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1)%20Re-op_Article4.jpg)
ขั้นตอนการทำรากเทียม
ขั้นตอนการทำรากเทียมแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
การตรวจและประเมินสภาพช่องปาก
ผู้ป่วยจะต้องมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินว่าบริเวณที่ฟันถูกถอนไปเหมาะสมสำหรับการฝังรากเทียมหรือไม่ โดยมีการถ่ายภาพรังสีทั้งแบบธรรมดาและแบบ 3 มิติ (3D Cone Beam CT) เพื่อตรวจวัดความกว้างและความสูงของกระดูก จากนั้นทันตแพทย์จะวิเคราะห์ผลและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
การผ่าตัดฝังรากเทียม
หลังจากวางแผนการรักษาเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร โดยใช้ยาชาฉีดเพื่อลดความเจ็บปวด หลังผ่าตัดจะนัดตัดไหมและตรวจแผลภายใน 7-14 วัน จากนั้นรอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกประมาณ 3-6 เดือน
การต่อส่วนแกนและครอบฟัน
เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะพิมพ์ปากและเลือกแกนหลัก (Abutment) ที่เหมาะสม ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมรากเทียมกับครอบฟัน จากนั้นจะทำครอบฟันเพื่อสวมทับบนแกนหลัก โดยนัดมาลองครอบฟันประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังพิมพ์ปาก
คำแนะนำการดูแลรักษารากฟันเทียม
การดูแลรากฟันเทียมมีความสำคัญไม่ต่างจากการดูแลฟันธรรมชาติ ถึงแม้ว่ารากฟันเทียมจะทำจากโลหะและไม่สามารถผุได้ แต่ยังสามารถเกิดปัญหาเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์รอบรากเทียมได้ หากเกิดเหงือกอักเสบ กระดูกรอบรากฟันเทียมอาจละลาย ทำให้รากเทียมไม่สามารถยึดแน่นและอาจหลุดออกในที่สุด ดังนั้นการดูแลความสะอาดและตรวจสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งต่อรากฟันเทียมและฟันธรรมชาติ โดยแนะนำวิธีดูแลดังนี้
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังมื้ออาหารและก่อนนอน ใช้แปรงที่มีขนอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองรากเทียม
- ใช้ไหมขัดฟัน 1-2 ครั้งต่อวัน หรือใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดซอกฟันเพื่อกำจัดคราบอาหารและแบคทีเรีย
- พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันและรากเทียมตามนัด หรืออย่างน้อย ทุก 6 เดือน
- หลีกเลี่ยงการใช้แรงบดเคี้ยวฟันหนักๆ หรือเคี้ยวอาหารแข็งในช่วงแรกหลังฝังรากเทียมจนกว่าจะครบตามคำแนะนำของทันตแพทย์
- งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจชะลอการติดรากเทียม
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น เจ็บ บวม หรือรากเทียมโยก หากพบควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ทันที
ข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนของรากฟันเทียม
- การติดเชื้อบริเวณรากเทียม อาจเกิดจากการดูแลช่องปากไม่เหมาะสมหรือมีคราบแบคทีเรียสะสม จำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างเคร่งครัดและรับยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง
- รากเทียมไม่ติดหรือหลุด เกิดจากกระดูกไม่สามารถยึดกับรากเทียมได้ดี เช่น ในผู้สูบบุหรี่จัด หรือผู้ที่ควบคุมเบาหวานไม่ดี ต้องให้แพทย์ประเมินซ้ำและวางแผนการรักษาใหม่
- เลือดออกหรือบวมหลังผ่าตัด พบได้บ่อยในช่วง 1-3 วันแรก ถือเป็นอาการปกติ แต่หากเลือดออกมากผิดปกติหรือบวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบกลับมาพบทันตแพทย์
- ชาหรือเจ็บปวดบริเวณรากฟันเทียม โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น หากชาเรื้อรังควรให้แพทย์ตรวจประเมินทันที
- ปัญหากระดูกหรือเนื้อเยื่อรอบรากเทียม เช่น Peri-implantitis ซึ่งเป็นการอักเสบของเหงือกและกระดูกรอบรากเทียม อาจส่งผลให้รากเทียมคลอนได้ จำเป็นต้องรักษาอย่างรวดเร็ว
- ปฏิกิริยาต่อวัสดุรากเทียม (พบได้น้อยมาก) แม้ไทเทเนียมและเซรามิกจะมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย แต่ในบางรายที่แพ้โลหะอาจเกิดการระคายได้ แพทย์จะตรวจประเมินก่อนทำเสมอ
- ปัญหาการบดเคี้ยวหรือการเรียงตัวของฟันผิดปกติ อาจเกิดหากตำแหน่งรากเทียมไม่สมดุลกับฟันข้างเคียง ต้องได้รับการปรับแต่งการสบฟันโดยทันตแพทย์
ค่าใช้จ่ายในการทำรากฟันเทียม
การทำรากฟันเทียมที่โรงพยาบาลวิภาวดีได้รับการดูแลโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง พร้อมเทคโนโลยีทันตกรรมที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัย แม่นยำ และมั่นใจในผลลัพธ์ในระยะยาว ด้วยโปรแกรมรากฟันเทียม ที่ครอบคลุมตั้งแต่การฝังรากเทียมจนถึงครอบฟันในซี่เดียวกัน ทำให้ผู้รับบริการสะดวกและมั่นใจในคุณภาพการรักษา
- รากฟันเทียม Osstem ราคา 55,000 บาท/ซี่ รวมครอบฟันเซรามิก คุณภาพมาตรฐาน แข็งแรง ทนทาน
- รากฟันเทียม Straumann ราคา 75,000 บาท/ซี่ โดดเด่นเรื่องการยึดเกาะของกระดูกและความคงทนในระยะยาว
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาตรฐานการรักษาสูงและผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน
%20Re-op/Vibhavadi%20Hospital%20-%20Oct%20Article%2011%20(%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1)%20Re-op_Article5.jpg)
ทำรากฟันเทียม ที่โรงพยาบาลวิภาวดี
การทำรากฟันเทียมที่โรงพยาบาลวิภาวดีได้รับการดูแลโดยทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟันเทียม พร้อมด้วยเทคโนโลยีการวินิจฉัยและหัตถการที่ทันสมัย เช่น การถ่ายภาพเอกซเรย์ 3 มิติ (CT Scan) การวางแผนตำแหน่งรากเทียมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำ ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้มั่นใจได้ทั้งในด้านความปลอดภัย การดูแลอย่างใกล้ชิด และผลลัพธ์ที่คงทนในระยะยาว
สรุป
การฝังรากฟันเทียมคือทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ที่สูญเสียฟันกลับมามีฟันที่ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด ทั้งในด้านการบดเคี้ยว การพูด และความมั่นใจในรอยยิ้ม นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันปัญหาฟันล้ม กระดูกยุบ และปัญหาช่องปากอื่นๆ ในระยะยาว แม้จะต้องผ่านกระบวนการรักษาหลายขั้นตอนและมีค่าใช้จ่ายมากกว่าวิธีอื่น แต่ผลลัพธ์ที่มั่นคงและคงทนถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก หากกำลังพิจารณาทำรากฟันเทียม พร้อมด้วยโปรแกรมรากฟันเทียมที่ครอบคลุม มีมาตรฐานด้านทันตกรรมที่ครบครัน โรงพยาบาลวิภาวดีเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูฟันที่สูญเสียด้วยรากฟันเทียมอย่างมั่นใจและมีคุณภาพ
FAQ
ราคาทำรากฟันเทียมที่โรงพยาบาลวิภาวดีขึ้นอยู่กับแบรนด์ของรากฟันเทียม โดย Osstem Implant ราคา 55,000 บาท/ซี่ และ Straumann Implant ราคา 75,000 บาท/ซี่ ราคานี้รวมครอบฟันเซรามิก และเป็นราคาต่อซี่
รากฟันเทียมถูกออกแบบให้ใช้ได้นานหลายปี หากดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสมและเข้ารับการตรวจฟันตามกำหนด ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานคือการดูแลฟันและเหงือก คุณภาพรากฟันเทียม และ พฤติกรรมการใช้ฟัน เช่น การกัดของแข็งหรือฟันกราม
หลังทำรากฟันเทียมควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเหนียว งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช้ฟันที่เพิ่งทำเคี้ยวของแข็งทันที และรักษาความสะอาดช่องปากตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อหรือปัญหารากฟันเทียมล้มเหลว
การฝังรากฟันเทียมมักทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ จึงลดความเจ็บปวดระหว่างทำได้มาก หลังทำอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือปวดบริเวณรากฟัน ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด การทำรากฟันเทียมถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัย และสามารถควบคุมอาการเจ็บได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์