ต่อมลูกหมากโต

  Key Takeaway

  • ต่อมลูกหมากโต (BPH) คือภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ มักเกิดในผู้ชายอายุมากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชายตามวัย
  • อาการของต่อมลูกหมากโตนั้นผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะลำบากหรือไม่สุด และอาจมีอาการปวดเบาๆ บริเวณท้องน้อย
  • การรักษาต่อมลูกหมากโตแบ่งเป็นการใช้ยาเพื่อลดขนาดต่อมลูกหมากหรือบรรเทาอาการ ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำ และในกรณีรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือหัตถการเฉพาะทาง

อาการปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะสะดุดหรือรู้สึกว่าปัสสาวะไม่สุด อาจเป็นสัญญาณของโรค “ต่อมลูกหมากโต” ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไป หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือปัสสาวะคั่งในกระเพาะปัสสาวะได้

เมื่อเกิดอาการเหล่านี้จึงไม่ควรรอให้อาการลุกลาม ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อตรวจประเมินความรุนแรงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ พร้อมทั้งมีเทคโนโลยีและวิธีการรักษาที่ทันสมัย ได้รับการดูแลที่ตรงจุดและปลอดภัย

ต่อมลูกหมากโตคืออะไร อันตรายไหม?

ต่อมลูกหมากโตคืออะไร อันตรายไหม?

ต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia หรือ BPH) คือภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ โดยขนาดต่อมลูกหมากโตมักจะเพิ่มขึ้นเป็นน้ำหนัก 40–100 กรัม หรือมากกว่า ซึ่งไม่มีขนาดที่ตายตัว มักพบได้บ่อยในเพศชายเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป 

แล้วต่อมลูกหมากอยู่ตรงไหน? ต่อมลูกหมากอยู่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะและอยู่รอบท่อปัสสาวะส่วนต้น เมื่อต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงไปบีบท่อปัสสาวะให้แคบลงทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน ปัสสาวะไม่พุ่ง ต้องเบ่งปัสสาวะ หรือรู้สึกปัสสาวะไม่สุด

คำถามต่อมาคือต่อมลูกหมากโตอันตรายไหม? แม้ว่าโรคต่อมลูกหมากโตจะไม่ใช่มะเร็งและไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ หากสังเกตเห็นว่าเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

สาเหตุของต่อมลูกหมากโต

ต่อมลูกหมากโตเกิดจากหลายปัจจัย โดยมักสัมพันธ์กับอายุและฮอร์โมนเพศชายเป็นหลัก และปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น 

  • ฮอร์โมนเพศชายเปลี่ยนแปลง เมื่ออายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายลดลง แต่ฮอร์โมน Dihydrotestosterone (DHT) ซึ่งเป็นสารอนุพันธ์ของเทสโทสเตอโรนที่ต่อมลูกหมาก จะกระตุ้นให้เซลล์ต่อมลูกหมากแบ่งตัวและเพิ่มขนาด
  • อายุที่มากขึ้น ต่อมลูกหมากโตมักพบในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป และความเสี่ยงจะสูงขึ้นตามอายุ
  • พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นต่อมลูกหมากโต ความเสี่ยงในการเกิด BPH จะสูงกว่า
  • ปัจจัยสุขภาพและไลฟ์สไตล์ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และการขาดการออกกำลังกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดต่อมลูกหมากโต
  • ปัจจัยอื่นๆ การอักเสบเรื้อรังของต่อมลูกหมาก การรับประทานอาหารบางประเภทที่มีไขมันสูงหรือขาดผักผลไม้

อาการของต่อมลูกหมากโต

อาการของต่อมลูกหมากโต

ต่อมลูกหมากโตขนาดเท่าไร? โดยปกติแล้วต่อมลูกหมากของผู้ชายขนาดปกติจะมีประมาณ 3 × 4 × 2 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 20–30 กรัม เมื่อเกิดต่อมลูกหมากโตขนาดของต่อมลูกหมากสามารถเพิ่มขึ้นได้หลายเท่า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอายุ โดยทั่วไปอาจมีน้ำหนัก 40–100 กรัม หรือมากกว่านั้น ซึ่งการขยายตัวนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการการขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ ซึ่งอาการอาจค่อยๆ แสดงออกทีละน้อยจนผู้ป่วยหลายคนไม่ทันสังเกตเห็น แต่หากปล่อยไว้นานอาจรบกวนคุณภาพชีวิตได้

โดยอาการที่สามารถสังเกตได้ มีดังนี้

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างเฉียบพลัน
  • ปัสสาวะช้า เริ่มปัสสาวะลำบาก
  • ปัสสาวะสะดุด หรือไหลเป็นหยด ไม่พุ่ง
  • ปัสสาวะไม่สุด เหมือนยังมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ
  • ต้องเบ่งเวลาปัสสาวะ
  • รู้สึกปวดหรือแสบขณะปัสสาวะ (ในบางราย)
  • มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือในรายที่รุนแรงอาจมีภาวะไตเสื่อม

วิธีตรวจวินิจฉัยต่อมลูกหมากโต

วิธีตรวจวินิจฉัยต่อมลูกหมากโต

แพทย์จะใช้หลายวิธีร่วมกันในการตรวจเพื่อหาความผิดปกติของต่อมลูกหมาก รวมถึงการประเมินความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยวิธีตรวจหลักที่ใช้มีดังนี้

1. ซักถามประวัติ และตรวจร่างกาย

แพทย์จะสอบถามอาการที่ผู้ป่วยเป็น เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะสะดุด หรือกลั้นไม่อยู่ รวมถึงประวัติการเจ็บป่วยอื่นๆ และยาที่ใช้ร่วมด้วย พร้อมทั้งตรวจร่างกายโดยเฉพาะการตรวจทางทวารหนัก (Digital Rectal Exam – DRE) เพื่อประเมินขนาด ลักษณะ และความผิดปกติของต่อมลูกหมากเบื้องต้น

2. ตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)

การตรวจปัสสาวะเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติของการขับถ่าย เนื่องจากอาการของต่อมลูกหมากโตอาจคล้ายกับการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือโรคไตบางชนิด ในการตรวจ แพทย์จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะแล้วนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อดูว่ามีเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง หรือเชื้อโรคปนอยู่หรือไม่ หากพบการติดเชื้อจะได้รับการรักษาที่แตกต่างออกไปจากต่อมลูกหมากโต

3. ตรวจเลือด (Prostate-Specific Antigen - PSA)

หากต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ผิดปกติ อักเสบ หรือติดเชื้อ ระดับ PSA อาจสูงขึ้นได้ การตรวจนี้ช่วยแยกความแตกต่างระหว่างต่อมลูกหมากโตธรรมดา มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ซึ่งค่า PSA ไม่ได้บ่งบอกว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งแน่นอน แต่ใช้เป็นสัญญาณเตือนร่วมกับการตรวจร่างกายและการตรวจอื่นๆ หากพบค่าสูงผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์ หรือเจาะชิ้นเนื้อ

4. การตรวจปริมาณปัสสาวะคงค้าง (Post-Void Residual - PVR)

PVR คือการตรวจดูว่าหลังจากผู้ป่วยปัสสาวะเสร็จแล้วยังมีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะหรือไม่ โดยใช้การอัลตราซาวด์หรือใส่สายสวนตรวจวัด หากมีปริมาณปัสสาวะคงค้างมาก แสดงว่ามีการอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะจากต่อมลูกหมากโต เพราะปัสสาวะคงค้างอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ หรือนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมได้ในระยะยาว

5. ตรวจการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry)

เป็นการตรวจโดยให้ผู้ป่วยปัสสาวะลงในเครื่องมือที่สามารถวัดอัตราการไหล ความแรง และปริมาณปัสสาวะได้อย่างแม่นยำ ผลการตรวจจะช่วยบอกได้ว่าผู้ป่วยมีการอุดกั้นในระดับใด เช่น ปัสสาวะไหลช้า แรงดันอ่อน หรือปริมาณน้อยกว่าปกติ แพทย์จะนำข้อมูลจากการตรวจนี้มาประกอบกับอาการของผู้ป่วย เพื่อใช้ประเมินความรุนแรงของโรค และเลือกแนวทางการรักษา เช่น การใช้ยา หรือจำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัด

6. การส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ (Cystoscopy)

เป็นการตรวจโดยใช้กล้องขนาดเล็กสอดผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปยังกระเพาะปัสสาวะ ทำให้แพทย์สามารถเห็นสภาพของท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก และกระเพาะปัสสาวะได้โดยตรง การตรวจนี้มักใช้ในกรณีที่ต้องการประเมินอย่างละเอียดก่อนการผ่าตัด หรือเมื่อต้องแยกโรคอื่นๆ ที่มีอาการใกล้เคียง แม้จะเป็นการตรวจที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและอาจมีความไม่สบายตัว แต่ถือว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์ได้ข้อมูลชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับการอุดกั้นและความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ

วิธีรักษาต่อมลูกหมากโต

วิธีรักษาต่อมลูกหมากโต

การรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยต่อมลูกหมากโตรักษาได้ด้วยแนวทางดังนี้

การปรับพฤติกรรมและเฝ้าระวัง

สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์มักแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน เช่น ลดการดื่มน้ำ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ซึ่งกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย ฝึกการถ่ายปัสสาวะเป็นเวลา และพยายามปัสสาวะให้สุดทุกครั้ง รวมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัสสาวะคั่ง การเฝ้าระวังจะรวมถึงการตรวจสุขภาพกับแพทย์เป็นระยะเพื่อติดตามว่าต่อมลูกหมากมีการโตเพิ่มขึ้นหรือไม่

การใช้ยา

หากอาการเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิต แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ยาที่ใช้บ่อย ได้แก่ ยากลุ่ม Alpha-blockers ที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบท่อปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะออกง่ายขึ้น และยากลุ่ม 5-alpha reductase inhibitors ที่ช่วยยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายไปเป็น DHT เพื่อลดขนาดต่อมลูกหมากลงในระยะยาว บางรายแพทย์อาจให้ยาร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาอาจมีผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตต่ำ หรือสมรรถภาพทางเพศลดลง

การรักษาด้วยหัตถการหรือผ่าตัด

หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ปัสสาวะไม่ออกบ่อยครั้ง มีปัสสาวะคั่งจำนวนมาก หรือยารักษาไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด ตัวอย่างเช่น การส่องกล้องผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านท่อปัสสาวะ (TURP) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่ช่วยเปิดทางเดินปัสสาวะให้โล่งขึ้น หรือวิธีใหม่ๆ เช่น การใช้เลเซอร์ หรือการทำให้องค์ประกอบของต่อมลูกหมากหดตัวลงโดยใช้พลังงานความร้อน การเลือกวิธีขึ้นอยู่กับขนาดต่อมลูกหมาก สุขภาพของผู้ป่วย และความเหมาะสมที่แพทย์ประเมิน

การดูแลและป้องกันต่อมลูกหมากโต

แม้ว่าต่อมลูกหมากโตจะเป็นภาวะที่พบได้ตามวัย แต่การดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการได้ โดยแนวทางที่แนะนำ ได้แก่

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลินและการอักเสบเรื้อรังที่สัมพันธ์กับการโตของต่อมลูกหมาก
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพื่อช่วยระบบการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของทางเดินปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่กระตุ้นการปัสสาวะ เช่น กาแฟ ชา แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน
  • ดื่มน้ำอย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไปในครั้งเดียว และลดการดื่มน้ำก่อนเข้านอนเพื่อลดอาการปัสสาวะกลางดึก
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงหรือแปรรูป
  • ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคต่อมลูกหมาก เพื่อเฝ้าระวังและตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • จัดการความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะความเครียดอาจมีผลต่อสมดุลของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของต่อมลูกหมาก

ต่อมลูกหมากโตกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แตกต่างกันอย่างไร?

ต่อมลูกหมากโตกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แตกต่างกันอย่างไร?

ต่อมลูกหมากโตและมะเร็งต่อมลูกหมาก แม้จะเกิดขึ้นที่อวัยวะเดียวกัน แต่มีความต่างกันอย่างมาก โดยต่อมลูกหมากโตเป็นภาวะ ไม่ใช่มะเร็ง เกิดจากการที่เซลล์ต่อมลูกหมากเพิ่มจำนวนจนทำให้ขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้กดทับท่อปัสสาวะและทำให้มีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะไม่สุด ขณะที่มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากการที่เซลล์ผิดปกติแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายที่สามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่นได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

อาการบางอย่างของทั้งสองโรคอาจคล้ายกัน แต่ความรุนแรงและผลกระทบต่างกันอย่างชัดเจน โดยต่อมลูกหมากโตมักไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ขณะที่มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค

รักษาต่อมลูกหมากโตที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ศูนย์ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลวิภาวดี ให้บริการรักษาภาวะต่อมลูกหมากโต (BPH) โดยเริ่มจากการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ ได้แก่ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่า PSA (Prostate-Specific Antigen) และการส่องกล้องตรวจทางเดินปัสสาวะเพื่อประเมินสภาพของท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ 

สำหรับแนวทางการรักษาโรงพยาบาลวิภาวดีมีทั้งการรักษาด้วยยา เช่น ยาที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบในต่อมลูกหมากและท่อปัสสาวะ หรือยาที่ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมาก การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด เพื่อขจัดเนื้อเยื่อส่วนเกินที่กดทับท่อปัสสาวะ โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน  

 

สรุป

ต่อมลูกหมากโต (BPH) เป็นภาวะต่อมลูกหมากขยายใหญ่ มักพบในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำให้ปัสสาวะบ่อย ขัด หรือไม่สุด สาเหตุหลักมาจากฮอร์โมนเพศชาย พันธุกรรม และปัจจัยสุขภาพ การวินิจฉัยเพื่อตรวจหานั้นเริ่มที่ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ปัสสาวะ ตรวจเลือด (PSA) ปัสสาวะคงค้าง การไหลของปัสสาวะ และส่องกล้อง ในแนวทางการรักษาขึ้นกับความรุนแรง ได้แก่ ปรับพฤติกรรม ใช้ยา หัตถการ ผ่าตัด ในส่วนของการป้องกันควรควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหาร ลดเครื่องดื่มกระตุ้นปัสสาวะ และตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยในการลดความเสี่ยงจากต่อมลูกหมากโตได้

หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ตรวจและรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบทางเดินปัสสาวะ การตรวจและติดตามอาการตั้งแต่ระยะแรกจึงสำคัญมาก มาที่ศูนย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ตรวจวินิจฉัยต่อมลูกหมากโตเพื่อที่จะรักษาได้ทันตั้งแต่เนิ่นๆ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี หรือติดต่อได้ที่ โทร. 02-561-1111

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

มาทำความเข้าใจเรื่องต่อมลูกหมากโตกันสักนิด เพื่อให้คุณรู้จักอาการ การตรวจ และแนวทางดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนหากปล่อยไว้ไม่รักษา

หากปล่อยให้ต่อมลูกหมากโตโดยไม่รักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปัสสาวะไม่ออก การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือแม้กระทั่งไตทำงานผิดปกติ การป้องกันที่ดีที่สุดคือสังเกตอาการและเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม

ต่อมลูกหมากโตขนาดเท่าไร?

ปกติแล้วต่อมลูกหมากของผู้ชายขนาดปกติจะมีประมาณ 3 × 4 × 2 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 20-30 กรัม หรือประมาณเท่ากับลูกวอลนัท เมื่อเกิดภาวะต่อมลูกหมากโต ขนาดของต่อมลูกหมากมักจะเพิ่มขึ้นเป็น 40-100 กรัม หรือมากกว่า ซึ่งไม่มีขนาดที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอายุ

ต่อมลูกหมากโตสามารถหายเองได้หรือไม่?

ต่อมลูกหมากโตไม่สามารถหายเองได้ เพราะเป็นภาวะที่ต่อมลูกหมากมีการขยายตัวอย่างถาวรตามอายุหรือปัจจัยทางฮอร์โมน แม้บางคนอาการอาจไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้อาจทำให้ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่สุด หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ การรักษาจึงจำเป็น ทั้งการปรับพฤติกรรม การใช้ยา หรือในกรณีรุนแรงอาจต้องผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์

การตรวจต่อมลูกหมากต้องทำอย่างไร เจ็บหรือไม่?

การตรวจต่อมลูกหมากมักเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย บางครั้งอาจต้องตรวจทางทวารหนักด้วยนิ้ว (DRE) หรือตรวจเลือด PSA ขั้นตอนเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปไม่เจ็บรุนแรง และช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ

รีวิวจากคนไข้

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์ต่อมลูกหมากโต