ต้อกระจก: ภัยร้ายผู้สูงวัย

ต้อกระจก: ภัยร้ายผู้สูงวัย รักษาด้วยเครื่องสลายต้อไร้มีด

Key Takeaway

  • ต้อกระจก คือภาวะที่เลนส์ตาซึ่งปกติใสและโปร่งแสง เกิดการขุ่นมัว ทำให้แสงผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้น้อยลง ส่งผลให้การมองเห็นไม่ชัดและพร่ามัว โดยมักพบได้มากในผู้สูงอายุ
  • อาการของต้อกระจก คืออาจมองเห็นภาพพร่ามัว สีหม่น ไม่สดใส ตาสู้แสงไม่ได้ หรือมองเห็นแสงกระจายมากผิดปกติ โดยอาการจะค่อยๆ แย่ลง จนกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อ่านหนังสือหรือขับรถ
  • รักษาด้วยเครื่องสลายต้อแบบไร้มีด คือการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์สลายเลนส์ที่ขุ่นให้แตกละเอียด จากนั้นดูดออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมแทนเลนส์เดิม แผลเล็ก ฟื้นตัวไว ช่วยให้การมองเห็นกลับมาชัดเจนเร็วขึ้น

ต้อกระจกภัยเงียบที่คุกคามผู้สูงวัย ทำให้สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด แต่หากตรวจพบเร็วก็สามารถรักษาและฟื้นฟูสายตาได้ทัน ก่อนการมองเห็นลดลง ต้อกระจกเกิดจากเลนส์ตาขุ่นมัว โรงพยาบาลวิภาวดีมีบริการตรวจวินิจฉัยโดยจักษุแพทย์ พร้อมผ่าตัดด้วยเครื่องสลายต้อไร้มีดและใส่เลนส์คุณภาพสูง เพื่อฟื้นสายตาให้กลับชัดเจนอีกครั้ง

ต้อกระจกคืออะไร
 

ต้อกระจกคืออะไร?

ต้อกระจก คือภาวะที่เลนส์ตาธรรมชาติของดวงตาขุ่นมัว ทำให้แสงผ่านเข้าตาได้น้อยลงหรือบิดเบือน ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัว มองไม่ชัดเหมือนเดิม ต้อกระจกมักเกิดจากกระบวนการเสื่อมสภาพตามวัย แต่สามารถเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การบาดเจ็บที่ตา โรคเบาหวาน หรือการใช้ยาบางชนิด

ลักษณะของต้อกระจกเริ่มแรกอาจมองเห็นเพียงเล็กน้อยหรือไม่อาจสังเกตได้ แต่อาการเริ่มแรงขึ้นดวงตาจะมีความพร่ามัว สีของวัตถุอาจดูซีดจาง หรือมีแสงจ้าเมื่ออยู่ในที่สว่าง โดยต้อกระจกเป็นภาวะที่ค่อยๆ เกิดและไม่เจ็บปวด แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา การมองเห็นจะลดลงอย่างชัดเจนและสามารถนำไปสู่ความบกพร่องทางสายตาได้ในที่สุด

ต้อกระจกเกิดจากอะไรได้บ้าง?

สาเหตุของต้อกระจก เกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้เลนส์ตาขุ่นขึ้น มักมีสาเหตุหลักๆ ดังนี้

  1. เมื่ออายุมากขึ้น เลนส์ตาและเนื้อเยื่อรอบๆ เสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้โอกาสเกิดต้อกระจกสูงขึ้น
  2. หากคนในครอบครัวมีประวัติต้อกระจก มีความเสี่ยงเกิดต้อกระจกสูงกว่าคนทั่วไป
  3. โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคตาอื่นๆ ที่มีผลต่อเลนส์ตา ทำให้เกิดความขุ่นง่าย
  4. การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ใช้ระยะยาว อาจกระตุ้นให้เลนส์ตาขุ่นเร็วขึ้น
  5. ได้รับรังสี UV มากเกินไป โดยไม่ป้องกันตา สามารถทำให้เลนส์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  6. การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือการผ่าตัดตา อาจทำให้เลนส์ตาเกิดความเสียหายและขุ่นได้

 

รู้ทันอาการของต้อกระจก

รู้ทันอาการของต้อกระจก

อาการของต้อกระจกภาพที่เห็นตาพร่ามัวหรือมองไม่ชัด เห็นแสงแว๊บหรือแสงฟุ้ง มองเห็นสีจางหรือเปลี่ยนสี ต้องใช้แว่นตาหรือปรับแว่นบ่อย เห็นภาพซ้อนหรือสองชั้น ปัญหาในการมองกลางคืน โดยสามารถแบ่งอาการของต้อกระจกเป็นระยะได้ดังนี้

ระยะที่ 1 ‒ Immature Cataract

เป็นระยะแรกที่เลนส์เริ่มขุ่นเล็กน้อย อาจสังเกตเห็นการมองพร่ามัวเป็นบางครั้ง หรือ ต้องปรับแว่นบ่อย อาการยังไม่รุนแรงมากและยังสามารถมองเห็นได้ค่อนข้างชัด

ระยะที่ 2 ‒ Immature Cataracts

เลนส์ขุ่นมากขึ้น ทำให้การมองเห็นพร่ามัวชัดเจนขึ้น สีสันของวัตถุเริ่มจางลงหรือเพี้ยน แสงจ้าอาจทำให้รู้สึกฟุ้ง เห็นภาพซ้อนเป็นครั้งคราว

ระยะที่ 3 ‒ Mature Cataracts

เลนส์ขุ่นเต็มที่ การมองเห็นลดลงอย่างชัดเจน จนสายตาพร่ามัวเกือบตลอดเวลา มองกลางคืนลำบาก เห็นแสงฟุ้งหรือแสงแว๊บชัดเจน ต้องใช้แว่นสายตาแรงขึ้นก็อาจไม่ช่วยให้มองชัด

ระยะที่ 4 ‒ Hypermature Cataracts

เลนส์เริ่มสลายตัวหรือหดตัว ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือความดันตาสูง (Glaucoma) การมองเห็นลดลงมาก อาจเห็นเพียงแสงและเงา การรักษาในระยะนี้มักต้องผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูสายตา

 

วิธีตรวจวินิจฉัยต้อกระจก
 

วิธีตรวจวินิจฉัยต้อกระจก

การตรวจต้อกระจกเริ่มจากการประเมินอาการและความผิดปกติของสายตาอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม การตรวจประกอบด้วยหลายขั้นตอนดังนี้

ซักประวัติและตรวจสายตาเบื้องต้น

แพทย์จะเริ่มด้วยการซักประวัติสุขภาพตาและอาการที่พบ เช่น ความพร่ามัว การมองสีผิดเพี้ยน หรือปัญหาการมองในที่มืด รวมทั้งถามเกี่ยวกับโรคประจำตัว การใช้ยา การบาดเจ็บตา และประวัติครอบครัว จากนั้นจะตรวจสายตาเบื้องต้นเพื่อดูว่ามีปัญหาการมองใกล้หรือไกล รวมทั้งประเมินความสามารถในการปรับโฟกัสของดวงตา

ตรวจวัดสายตา (Visual Acuity Test)

เป็นการวัดความสามารถในการมองเห็นชัดเจน โดยใช้แผ่นทดสอบตัวอักษรหรือสัญลักษณ์จากระยะต่างๆ ผู้ป่วยจะต้องอ่านตัวอักษรที่เล็กลงเรื่อยๆ จนสุดกำลังการมองเห็น การทดสอบนี้ช่วยให้แพทย์รู้ว่าต้อกระจกมีผลต่อสายตามากน้อยเพียงใด และประเมินว่าต้องปรับแว่นหรือมีความจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่

ตรวจด้วยแสงสลัว (Slit Lamp Examination)

แพทย์จะใช้กล้องตรวจตาแบบส่องแสงสลัว เพื่อตรวจโครงสร้างดวงตาอย่างละเอียด ทั้งกระจกตา ช่องว่างระหว่างเลนส์ และเลนส์ตาโดยตรง การส่องแสงแบบนี้ช่วยให้เห็นความขุ่นของเลนส์และตำแหน่งของต้อกระจกได้ชัดเจน และช่วยวางแผนการรักษา เช่น ระยะเวลาที่ควรผ่าตัด

ตรวจความดันตา (Tonometry)

การวัดความดันภายในลูกตามีความสำคัญ เพราะต้อกระจกบางชนิดอาจทำให้เกิดความดันตาสูง หรือร่วมกับโรคต้อหิน แพทย์อาจใช้เครื่องมือชนิดต่างๆ เช่น เครื่องวัดแบบสัมผัสตาหรือไม่สัมผัส เพื่อตรวจว่าความดันตาอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ และประเมินความเสี่ยงต่อโรคตาอื่นๆ

ตรวจจอประสาทตา (Fundus Examination)

เป็นการตรวจด้านหลังของดวงตาเพื่อดูสุขภาพของจอประสาทตาและเส้นประสาทตา แพทย์อาจใช้แว่นขยายพิเศษหรือกล้องถ่ายภาพจอประสาทตา การตรวจนี้ช่วยตรวจโรคตาอื่นๆ ที่อาจร่วมเกิด เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือโรคจอประสาทตาเสื่อม และยังช่วยประเมินความเหมาะสมของการผ่าตัดต้อกระจก

ตรวจภาพอื่นๆ (ถ้าจำเป็น)

ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำตรวจเพิ่มเติมด้วยอัลตราซาวด์ตา ถ่ายภาพเลนส์หรือ OCT (Optical Coherence Tomography) เพื่อดูรายละเอียดของเลนส์ตาและโครงสร้างภายในตาให้ชัดเจนมากขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้การวางแผนผ่าตัดมีความแม่นยำ และลดความเสี่ยงภายหลังการรักษา

แนวทางการรักษาต้อกระจก

การรักษาต้อกระจกขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของต้อกระจก หากเริ่มต้นอาการไม่รุนแรง สามารถใช้วิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัดได้ แต่หากสายตาพร่ามัวชัดเจนและรบกวนชีวิตประจำวัน การผ่าตัดเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (ช่วงเริ่มต้น)

ในระยะแรกที่ต้อกระจกยังไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำปรับแว่นสายตา ใช้แว่นกรองแสง หรือปรับแสงสว่างในการมอง เพื่อลดความพร่ามัวและป้องกันแสงจ้ารบกวน การรักษาแบบนี้ช่วยชะลออาการและทำให้สายตายังใช้งานได้ดี แต่ไม่สามารถทำให้ต้อกระจกหายเองได้

การรักษาแบบผ่าตัด (เมื่อสายตาพร่ามัวชัดเจน)

เมื่อสายตาพร่ามัวจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์จะแนะนำผ่าต้อกระจก วิธีที่นิยมคือ Phacoemulsification หรือการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง โดยไม่ต้องใช้มีดใหญ่ หลังจากสลายต้อ กระจกตาที่ขุ่นจะถูกเอาออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียม (IOL) คุณภาพสูง แทนเลนส์ธรรมชาติของตา

การผ่าต้อกระจกใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีต่อดวงตา ส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ทันทีและเห็นชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน การฟื้นตัวเต็มที่มักใช้เวลาหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการดูแลตาหลังผ่าตัดและการติดตามผล

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อกระจก
 

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อกระจก

เพื่อให้การผ่าตัดปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็ว ควรเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจล่วงหน้า

  • งดกิจกรรมหนักหรือที่อาจทำให้ตาได้รับแรงกระแทก และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ตามคำแนะนำแพทย์ เช่น งดอาหารหรือยาที่อาจทำให้เลือดออกง่าย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างผ่าตัด
  • ทำความสะอาดร่างกายและดวงตา อาบน้ำ สระผม และล้างหน้าให้สะอาด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ
  • วางแผนการเดินทางและผู้ดูแล เตรียมคนพาไปและกลับจากโรงพยาบาล เพราะหลังผ่าตัดจะไม่สามารถขับรถได้เอง
  • เตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น แว่นกันแดด ยาที่แพทย์สั่ง ผ้าเช็ดหน้า เอกสารประจำตัว และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ
  • เตรียมจิตใจ ทำใจให้สบาย ไม่เครียด และเข้าใจขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น

การปฏิบัติตัวหลังผ่าต้อกระจก

หลังผ่าต้อกระจก การดูแลตาและร่างกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้สายตาชัดเจนขึ้น

  • พักสายตาด้วยการหลีกเลี่ยงการเพ่งตาหนักๆ เช่น การอ่านหนังสือ ใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เพื่อให้ดวงตาฟื้นตัว
  • การใช้ยาและหยอดตาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ
  • ป้องกันดวงตาด้วยการใส่แว่นกันแดดหรืออุปกรณ์ป้องกันตาตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันฝุ่น ลม หรือแสงจ้า
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมและการเคลื่อนไหว เช่น ยกของหนัก การก้มต่ำหรือออกกำลังกายหนักในช่วงแรก เพื่อไม่ให้ความดันตาสูงขึ้น
  • นอนหลับให้เพียงพอ และอาจใช้หมอนหนุนศีรษะสูงเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวมรอบดวงตา
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีอาการตาแดงมาก เจ็บตา เห็นภาพเบลอหรือแสงฟุ้งผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาประจำตัว เพื่อป้องกันผลข้างเคียง

แนวทางการดูแลและป้องกันต้อกระจก

การดูแลดวงตาตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกและลดความเสี่ยงสำหรับการมองเห็นพร่ามัว

  • ปกป้องดวงตาจากแสงแดด ใส่แว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติกรองรังสี UV และหมวกปีกกว้างเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • ดูแลอาหารและโภชนาการ รับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, C, E และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้สด ปลา และถั่ว เพื่อบำรุงสุขภาพตา
  • ควบคุมน้ำหนักและโรคประจำตัว รักษาน้ำหนักให้เหมาะสม และควบคุมโรคเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เพราะโรคเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก
  • ลดพฤติกรรมเสี่ยง งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการทำร้ายตาโดยตรงหรือการใช้สายตามากเกินไป
  • การดูแลดวงตาโดยทั่วไป ล้างมือก่อนสัมผัสดวงตา พักสายตาเป็นระยะ และหลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ
  • ตรวจตาเป็นประจำ พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง หรือมากกว่าหากมีความเสี่ยง เพื่อให้พบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรก

 

รักษาต้อกระจกที่โรงพยาบาลวิภาวดี

 

รักษาต้อกระจกที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ศูนย์จักษุโรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการวินิจฉัย และรักษาต้อกระจกครบวงจร ตั้งแต่ตรวจประเมินอาการสายตา จนถึงการวางแผนรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น การผ่าตัดสลายต้อกระจกแบบไร้มีด (Phacoemulsification) และการใส่เลนส์แก้วตาเทียมคุณภาพสูง (IOL) ช่วยฟื้นฟูการมองเห็นให้กลับมาชัดเจน ปลอดภัย และฟื้นตัวรวดเร็ว

สรุป

ต้อกระจกคือภาวะที่เลนส์ตาขุ่น ทำให้สายตาพร่ามัว มองสีซีดหรือเห็นแสงฟุ้ง ส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคประจำตัว การใช้ยา รังสี UV และการบาดเจ็บตา อาการสามารถสังเกตได้ตั้งแต่ สายตาพร่ามัว มองกลางคืนลำบาก เห็นภาพซ้อน หรือสีเพี้ยน โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ ตั้งแต่เลนส์เริ่มขุ่นจนถึงเลนส์สลายตัว การวินิจฉัยต้อง ซักประวัติ ตรวจสายตา ตรวจด้วยแสงสลัว วัดความดันตา ตรวจจอประสาทตา และตรวจพิเศษตามความจำเป็น การรักษาขึ้นอยู่กับระยะ หากเริ่มต้นใช้วิธีปรับแว่นและป้องกันแสง แต่ถ้าพร่ามัวมากต้องผ่าตัดสลายต้อแบบไร้มีดและใส่เลนส์เทียม ก่อนผ่าตัดต้องเตรียมตัวร่างกายและจิตใจ หลังผ่าตัดต้อง พักสายตา หยอดยา ป้องกันดวงตา สังเกตอาการผิดปกติ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

อย่าปล่อยให้ต้อกระจกพร่ามัวรบกวนชีวิตประจำวัน ศูนย์จักษุโรงพยาบาลวิภาวดี พร้อมดูแลทุกปัญหาสายตาด้วยจักษุแพทย์มากประสบการณ์และเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย สนใจตรวจหรือรักษาตา ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลวิภาวดี หรือติดต่อ โทร. 02-561-1111

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

หลายคนอาจยังสงสัยเกี่ยวกับการรักษาต้อกระจก ศูนย์จักษุโรงพยาบาลวิภาวดีขอรวบรวมคำถามยอดนิยมและคำตอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจการรักษามากขึ้น

ต้อกระจกสามารถหายเองได้ไหม?

ต้อกระจกไม่สามารถหายเองได้ เนื่องจากเกิดจากการเสื่อมของเลนส์ตา การใช้ยา วิตามิน หรือยาหยอดตาไม่สามารถรักษาให้ใสเหมือนเดิม วิธีรักษาที่ได้ผลจริงคือการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเทียมแทนเลนส์ที่ขุ่น

หลังผ่าตัดต้อกระจก 1 เดือน มีผลอย่างไร?

มีการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดวงตาส่วนใหญ่หายจากอาการระคายเคืองหรือแสบตาแล้ว และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ หรือออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง แพทย์จะนัดตรวจติดตามเพื่อตรวจความคมชัดของสายตา ความดันตา และประเมินการฟื้นตัว หากมีอาการผิดปกติ เช่น มองเห็นมัวลง เจ็บตา หรือมีแสงแฟลช ควรรีบพบแพทย์ทันที

ผ่าตัดต้อกระจกเจ็บไหม?

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกเจ็บ เนื่องจากแพทย์จะหยอดยาชาหรือใช้ยาชาเฉพาะที่ก่อนผ่าตัด ทำให้ขณะผ่าตัดรู้สึกเพียงแค่ความดันเล็กน้อยเท่านั้น หลังผ่าตัดอาจมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นในไม่กี่วัน

หลังผ่าตัดต้อกระจกขับรถได้ไหม?

หลังผ่าตัดต้อกระจก ส่วนใหญ่จะมองเห็นชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน แต่แพทย์มักแนะนำให้งดขับรถอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์แรก หรือจนกว่าสายตาจะฟื้นตัวและปลอดภัยเต็มที่ ทั้งนี้ควรได้รับการตรวจประเมินสายตาจากจักษุแพทย์ก่อน หากสายตาชัดเจนและไม่มีอาการผิดปกติ จึงสามารถกลับไปขับรถได้ตามปกต

รีวิวจากคนไข้

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์ต้อกระจก: ภัยร้ายผู้สูงวัย