คนไข้หมดสติบนรถแอร์พอร์ตบัสนำส่ง รพ.วิภาวดีช่วยชีวิตไว้ได้

เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2562 เวลา 10.30 น.บนรถโดยสารปรับอากาศของสนามบินดอนเมือง(Airport Bus)สาย A3 คุณเหยากุ่ย  แซ่ม้า อายุ 53 ปี อาชีพเป็นมัคคุเทศก์ ได้ใช้บริการรถโดยสารปรับอากาศดังกล่าวเพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง โดยขึ้นจากดินแดง คุณเหยากุ่ย รู้สึกตัวเองไม่ค่อยสบาย แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เลยบอกคุณนทีน้องชาย คุณนทีจึงขอสลับที่นั่งจากที่ คุณเหยากุ่ยนั่งเบาะนอก สลับให้มานั่งเบาะด้านในเพราะกลัวว่าคุณเหยากุ่ยล้มจะได้รับไว้ได้ทันศีรษะจะได้ไม่กระแทกพื้น พอแลกที่นั่งได้สักครู่ คุณเหยากุ่ย ก็หน้ามืด ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย คุณนทีก็ทำการจับชีพจร และปั๊มหัวใจ  ปั๊มไปได้ 120 ครั้ง (ซึ่งการเป็นมัคคุเทศก์จะผ่านการเรียนหลักสูตร CPR มาแล้ว) ก็ตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสาร ซึ่งในรถนั้นมีผู้โดยสารด้วยกัน แค่ 6 คน ผู้โดยสารอีก 2 คน ยินดีเข้ามาช่วยเหลือ โดยถามว่าถ้ามีอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ คุณนทีรีบตอบทันทีว่า ผมรับผิดชอบเอง หลังจากนั้น ผู้โดยสารเป็นผู้ชายอีก 2 คนก็มาช่วยปั๊มหัวใจสลับกัน ขณะเดียวกันก็มีคนโทร 1669 สรุปว่าช่วยสลับกันปั๊มหัวใจด้วยกัน 3 คน ซึ่งเป็นการทำที่ถูกต้องตามหลักการ CPR (Check (จับชีพจร) Call (เรียก 1669) Care (ปั๊มหัวใจ))

คุณเหยากุ่ย เล่าว่า ในขณะนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่เกิน 10 นาที ตอนแรก ตัวเองรู้สึกหน้ามืดไปเลย เหมือนตกลงไปในหลุมดำ เรียกใคร ก็ไม่มีใครได้ยิน อึดอัดไปหมด หาทางออกไม่ได้ หายใจก็ไม่ออก คิดว่าตัวเองต้องเสียชีวิตแล้วแน่ ๆ นึกถึงครอบครัว และลูก cอีก 2 คน แล้วก็มารู้สึกหายใจออกอีกครั้ง เริ่มมีแสงสว่างเข้ามา  แต่ยังลืมตาไม่ขึ้นยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นรู้สึกเหมือนมีใครมาทำอะไรบริเวณต้นขาตัวเองทั้ง 2 ข้าง และมาฟื้นอีกครั้งก็อยู่บนเตียงในห้องพักผู้ป่วยวิกฤตหัวใจแล้ว สรุป คือ คุณเหยากุ่ย มีอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงเฉียบพลัน ทางโรงพยาบาลวิภาวดีโดยศูนย์หัวใจทำการสวนหัวใจ พบว่ามีหลอดเลือดหัวใจด้านหน้าซ้ายอุดตัน จึงได้ทำการขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวดค้ำยัน(Stant)ไว้ ช่วยชีวิตไว้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

เป็นความโชคดี และบุญวาสนาของตัวเขา ที่วันนั้น ตัดสินใจเดินทางกับน้องชาย(ปกติจะแยกกันเดินทาง) โดยขึ้น รถไฟฟ้า BTS มาลงหมอชิตและต่อรถแอร์พอร์ตบัสมาสนามบินดอนเมือง และโชคดีอีกต่อคือ มาเจอผู้โดยสารที่มีความสามารถในการทำ CPR สลับกันปั๊มหัวใจกับน้องชายของตัวเองได้ และโชคดีอีก ที่ผู้โดยสารบนรถทั้งหมด พร้อมใจกันให้มาส่งคุณเหยากุ่ยที่ รพ.ที่ใกล้ที่สุดก่อน โดยไม่มีผู้โดยสารคนไหนกลัวไม่ทันขึ้นเครื่องบิน และก็เป็นความโชคดีที่สุดอีกอย่าง คือ ได้ทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่ รพ.วิภาวดี ดูแลอย่างใกล้ชิด และช่วยกันอย่างเต็มที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง เหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ 

          คุณเหยากุ่ย เล่าอีกว่า ชีวิตประจำวันปกติ เป็นคนรักสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา แต่ก็ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลยที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ไม่มีอาการอะไรที่จะแสดงความผิดปกติให้เห็นที่จะต้องมาปรึกษาแพทย์ เลยคิดว่าตัวเองแข็งแรงดี 

        อยากจะฝากข้อคิดไว้ให้ทุกคนว่า เงินทองไม่สำคัญเท่าสุขภาพ ต้องรักษาร่างกายให้ดี แข็งแรงอยู่เสมออย่าประมาท ยิ่งถ้าทำงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา แนะนำให้ตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อทราบว่าตัวเองมีความเสี่ยงทางด้านไหน จะได้รักษาได้ทัน และอยากให้ทำบุญเยอะ ๆ เพราะความตายน่ากลัวมาก มันมืดไปหมดจริง ๆ  

คุณเหยากุ่ย ขอบคุณ รพ.วิภาวดีมากๆ ที่ให้ชีวิตใหม่ในวันนี้ อยากขอบคุณคนขับในวันนั้น ผู้โดยสารบนรถโดยสารแอร์พอร์ตบัสที่ช่วยกันปั๊มหัวใจ และเสียสละเวลามาส่งให้ถึง รพ.ก่อนไปขึ้นเครื่องบิน อยากขอบคุณมาก ๆ 

 

ข้อความข้างต้นเป็นบทสัมภาษณ์ จากคุณเหยากุ่ย  แซ่ม้า คนไข้  และ คุณนที  อภิปฏิภาน น้องชาย ที่แผนกวิกฤตโรคหัวใจ รพ.วิภาวดี

<