ตรวจพิเศษทางรังสี (Special X-ray)

ตรวจพิเศษทางรังสี (Special X-ray)              แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี มีการให้บริการตรวจพิเศษทางรังสีวิทยา มีหลากหลายเพื่อให้การตรวจวินิจฉัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น IVP ,Barium Swallowing , UGI ,Long GI ,BE ,HSG เป็นต้น ซึ่งจะอธิบายในรายละเอียดดังต่อไปนี้    1.การตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ(Intra-Venous Pyelography: IVP )                เป็นการตรวจพิเศษทางรังสีวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยการตรวจดูการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะเช่น ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ อีกทั้งยังดูความผิดปกติจากการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่ว โดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าทางเส้นเลือดดำ พร้อมกับการถ่ายภาพรังสีเป็นระยะจนเสร็จ ข้อปฏิบัติในการเตรียมตัวก่อนตรวจ       1.ให้รับประทานอาหารอ่อน(เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม) ในมื้อเย็นของวันก่อนส่งตรวจ       2.ก่อนวันตรวจให้รับประทานยาระบาย เวลา 20.00 น.( Castor Oil 30 cc , Dulcolax 2 เม็ด)       3.ให้งดน้ำ งดอาหาร ก่อนตรวจ 4-6 ชั่วโมง        4.ถ้ามีฟิล์มเก่าหรือฟิล์มจากโรงพยาบาลอื่นให้นำมาด้วยทุกครั้ง ขั้นตอนการตรวจ ก่อนตรวจ    1.ผู้ป่วยปฏิบัติตามใบนัดตรวจทุกประการ    2.ผู้ป่วยที่มีประวัติการแพ้อาหารทะเล/โรคภูมิแพ้/หอบหืด ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะรับการตรวจ    3.เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยเซ็นใบยินยอมรับการตรวจด้วยการฉีดสารทึบรังสี  เริ่มตรวจ    1.เจ้าหน้าที่จะให้เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาล และปัสสาวะทิ้งเพื่อเตรียมรับการตรวจและถ่ายภาพรังสีในท่านอนก่อน 1 ภาพ     2.พยาบาลจะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในเส้นเลือดดำ    3.ในระหว่างการฉีดสารทึบรังสี ผู้ป่วยอาจรู้สึกร้อนวูบวาบที่ตัว ขมที่ลำคอ ให้ผู้ป่วยหายใจเข้า-ออกลึกๆ อย่าพึ่งกลืนน้ำลาย อาการดังกล่าวจะค่อยทุเลาลงในเวลา 5-10 นาที     4.หลังจากฉีดสารทึบรังสีเสร็จ ห้ามผู้ป่วยปัสสาวะ จนกว่าเจ้าหน้าที่จะบอก    5.เจ้าหน้าที่จะถ่ายภาพรังสีเป็นระยะตามลำดับขั้นตอนการตรวจ และจะรอให้ผู้ป่วยปวดปัสสาวะเต็มที่(เจ้าหน้าที่อาจจะให้ดื่มน้ำ เพื่อช่วยให้ปวดปัสสาวะได้เร็วขึ้น) จึงจะถ่ายภาพรังสีอีก 1 ภาพ    6.เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกให้หมด และถ่ายภาพรังสีอีก 1 ภาพ หลังการตรวจ    1.ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนชุด โดยให้ทิ้งชุดที่ใช้แล้วลงในตะกร้า    2.หลังตรวจผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำ ทานอาหารได้ตามปกติ     3.ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ สารทึบรังสีที่ฉีดเข้าไปจะไม่ตกค้างหรือถูกดูดซึมไว้ในร่างกาย จะถูกขับออกทางปัสสาวะ    2.การตรวจหลอดอาหาร (Barium Swallowing)              เป็นการตรวจทางรังสีของหลอดอาหาร โดยการดื่มสารทึบรังสี เช่น แป้งแบเรี่ยม (Barium sulphate) ประกอบการถ่ายภาพเอกซเรย์ เพื่อดูความผิดปกติของหลอดอาหารที่เป็นสาเหตุของการกลืนอาหารติดขัด การเตรียมตัวก่อนตรวจ     • ถ้ามีฟิล์มเก่า วันนัดตรวจให้นำฟิล์มเก่ามาพร้อมกับผู้ป่วย ให้ไปก่อนเวลานัด 10-15 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่เตรียมผู้ป่วยก่อนรังสีแพทย์เข้าห้องตรวจ และควรมีญาติมาด้วย  ขั้นตอนการตรวจ     1. ผู้ป่วยนอนคว่ำบนเตียงเอกซเรย์ อมแป้งแบเรี่ยมไว้ในปาก แล้วกลืนแป้งแบเรี่ยมตามที่รังสีแพทย์บอก ขณะที่รังสีแพทย์ทำการถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนท่าตามคำบอกของรังสีแพทย์หรือเจ้าหน้าที่     2. เมื่อเอกซเรย์ครบทุกส่วนแล้วรังสีแพทย์จะนำฟิล์มไปดู เพื่อให้แน่ใจว่าฟิล์มเอกซเรย์ครบถ้วนแล้วหรือยัง และต้องการถ่ายเพิ่มในส่วนที่สงสัยอีกหรือไม่ ถ้ารังสีแพทย์ตรวจสอบฟิล์มเสร็จแล้วถือเป็นการเสร็จสิ้นการตรวจ     3.การตรวจกระเพาะอาหาร (Upper GI Study / Barium meal)              เป็นการตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยการกลืนสารทึบรังสีที่มีลักษณะคล้ายแป้ง เพื่อตรวจดูความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ประกอบกับการถ่ายภาพรังสี ข้อปฏิบัติในการเตรียมตัวก่อนตรวจ    1. งดน้ำและอาหารก่อนตรวจ 4-6 ชั่วโมง    2. ถ้ามีฟิล์มเก่าหรือฟิล์มจากโรงพยาบาลอื่นให้นำมาด้วยทุกครั้ง ขั้นตอนการตรวจ ก่อนตรวจ    1. ผู้ป่วยปฏิบัติตามใบนัดตรวจทุกประการ เริ่มตรวจ    1. เจ้าหน้าที่จะให้เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาล     2. รังสีแพทย์จะให้ผู้ป่วยอมและกลืนสารทึบรังสี ประมาณ 100 cc    3. บางครั้งจะให้ผู้ป่วยกินอีโน เพื่อให้สารทึบรังสีเคลือบกระเพาะอาหารได้ดีขึ้น    4. รังสีแพทย์จะพลิกตัวผู้ป่วยไป-มา ขณะทำการตรวจ เพื่อให้ได้ภาพรังสีตามต้องการ ดังนั้นผู้ป่วยควรให้ความร่วมมือ    5. ในการถ่ายภาพรังสี รังสีแพทย์จะบอกให้กลั้นใจ ให้ผู้ป่วยหยุดหายใจและกลั้นใจทันที เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด  หลังการตรวจ    1.ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนชุด โดยให้ทิ้งชุดที่ใช้แล้วลงในตะกร้า    2.หลังตรวจผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำ ทานอาหารได้ตามปกติ     3.สารทึบรังสีที่ผู้ป่วยกลืนเข้าไปในระหว่างการตรวจจะถูกขับถ่ายออกมาตามการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ในเวลา 1-2 วัน จะไม่ถูกดูดซึมหรือตกค้างอยู่ในร่างกาย และผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ       4.การตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (Long GI / GI follow through)            เป็นการตรวจทางรังสีของลำไส้เล็ก เพื่อดูความผิดปกติและพยาธิสภาพที่เกิดขึ้น วิธีทำคือให้ดื่มสารทึบรังสี (แป้งแบเรี่ยม) ประกอบการถ่ายภาพเอกซเรย์  การตรวจลำไส้เล็กจะถ่ายภาพเอกซเรย์เป็นระยะ ๆ คือ 15 นาที, 30 นาที, 45 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 ชั่วโมง 30 นาที, 2 ชั่วโมง เป็นต้น ภายหลังจากการดื่มแป้งแบเรี่ยม 2 แก้ว เพื่อเป็นการถ่ายให้เห็นส่วนต่าง ๆ ของลำไส้เล็ก และจะเสร็จสิ้นต่อเมื่อแป้งแบเรี่ยมได้ไหลเข้าสู่ Caecum ของลำไส้ใหญ่  การเตรียมตัวก่อนตรวจ  • งดน้ำ อาหารและยา ก่อนเวลานัดตรวจ 6-8 ชั่วโมง  • ถ้ามีฟิล์มเก่า วันนัดตรวจให้นำฟิล์มเก่ามาพร้อมกับผู้ป่วย ให้ไปก่อนเวลานัด 10-15 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่เตรียมผู้ป่วยก่อนรังสีแพทย์เข้าห้องตรวจ และควรมีญาติมาด้วย  ขั้นตอนการตรวจ     1. ผู้ป่วยนอนคว่ำบนเตียงเอกซเรย์ อมแป้งแบเรี่ยมไว้ในปาก แล้วกลืนแป้งแบเรี่ยมตามที่รังสีแพทย์บอก (ประมาณ 300 cc / 1 แก้ว) และอาจต้องดื่มสารที่ทำให้เกิด air เช่น ENO ร่วมด้วย รังสีแพทย์จะทำการถ่ายเอกซเรย์กระเพาะอาหารโดยให้ผู้ป่วยเอียงตัวไปมา เพื่อดูกระเพาะอาหารให้ครบทุกส่วน ขณะที่รังสีแพทย์ทำการถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือ ในการเปลี่ยนท่าตามคำบอกของรังสีแพทย์หรือเจ้าหน้าที่     2. ผู้ป่วยจะต้องดื่มแป้งแบเรี่ยมเพิ่มอีก 1แก้ว แล้วนั่งรอเพื่อเอกซเรย์ตามระยะเวลา จนกว่าจะเสร็จสิ้นการตรวจคือ แป้งแบเรี่ยมได้ไหลเข้าสู่ Caecum ของลำไส้ใหญ่     5.การตรวจลำไส้ใหญ่ (Barium Enema)            เป็นการตรวจดูพยาธิสภาพ และความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ โดยการสวนสารทึบรังสีเข้าทางทวารหนักประกอบกับการถ่ายภาพรังสี ข้อปฏิบัติในการเตรียมตัวก่อนตรวจ    1.ให้รับประทานอาหารอ่อน(เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม) และงดผัก ผลไม้ 2 วัน ก่อนถึงวันตรวจ    2.ให้รับประทานยาระบาย เวลา 20.00 น.( Castor Oil 30 cc , Dulcolax 2 เม็ด) เป็นเวลา 2 วันก่อนตรวจ    3.หลังเที่ยงคืนของวันก่อนตรวจ ให้งดน้ำและอาหารทุกชนิด(กรณีเด็กเล็กให้งดนมก่อนตรวจ 4 ชั่วโมง)     4.ถ้ามีฟิล์มเก่าหรือฟิล์มจากโรงพยาบาลอื่นให้นำมาด้วยทุกครั้ง ก่อนตรวจ    1.ผู้ป่วยปฏิบัติตามใบนัดตรวจทุกประการ    2.เจ้าหน้าที่จะให้เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาล     3.เจ้าหน้าที่จะถ่ายภาพรังสี 1 ภาพ เพื่อตรวจดูว่าในลำไส้ใหญ่ของผู้ป่วยมีกากอาหารอยู่หรือไม่ ถ้าหากมีเจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยสวนอุจจาระออกให้หมดจึงจะเริ่มตรวจต่อไป เริ่มตรวจ    1.เจ้าหน้าที่จะใช้หัวสวนชนิดเป่าลม สวนเข้าในทวารหนักของท่านและจะบีบลมเข้าไปในหัวสวนเพื่อป้องกันไม่ให้สารทึบรังสีไหลย้อนกลับมา     2.เมื่อเริ่มตรวจเจ้าหน้าที่จะเริ่มปล่อยสารทึบรังสีเข้าไปในลำไส้ใหญ่และรังสีแพทย์จะถ่ายภาพรังสีตามส่วนต่างๆที่ต้องการ     3.ระหว่างการตรวจผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้องเนื่องจากการบีบสารทึบรังสีและลมเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยอาจรู้สึกคล้ายๆปวดอุจจาระ ให้ผู้ป่วยกลั้นไว้ก่อน พยายามหายใจเข้า-ออกลึกๆทางปาก อาการปวดท้องจะค่อยทุเลาลง    4.ในระหว่างการตรวจรังสีแพทย์จะบอกให้ผู้ป่วยพลิกตัวและกลั้นใจนิ่งเพื่อถ่ายภาพรังสี ให้ผู้ป่วยทำตาม    5.เมื่อได้ภาพรังสีครบตามต้องการ เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยไปถ่ายอุจจาระในห้องน้ำ และกลับมาถ่ายภาพรังสีอีก 1 ภาพ  หลังการตรวจ    1.ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนชุด โดยให้ทิ้งชุดที่ใช้แล้วลงในตะกร้า    2.หลังตรวจผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำ ทานอาหารได้ตามปกติ     3.สารทึบรังสีที่สวนเข้าไปในระหว่างการตรวจจะถูกขับถ่ายออกมาตามการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ในเวลา 1-2 วัน จะไม่ถูกดูดซึมหรือตกค้างอยู่ในร่างกาย และผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ     6.การตรวจท่อนำไข่และโพรงมดลูก (Hysterosalpingography : HSG)             เป็นการตรวจทางรังสีของท่อนำไข่ (Uterine tubes) และโพรงมดลูก (Uterus) เพื่อดูความผิดปกติหรือมีการอุดตันของท่อนำไข่หรือไม่ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ไม่มีลูก โดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในโพรงมดลูก ประกอบกับการถ่ายภาพทางรังสี  สาเหตุของการส่งตรวจ     o หาสาเหตุของการมีบุตรยาก ,เป็นหมัน (infertility)     o ผู้ที่เคยมีบุตรแล้ว แต่ไม่มีอีก โดยไม่ได้คุมกำเนิด     o หาสาเหตุของหนอง หรือมีน้ำในท่อนำไข่ หรือ ก้อนเนื้องอก     o ตรวจดูในผู้ที่มีสาเหตุของการแท้งบุตร บ่อยๆ     o การท้องนอกมดลูก  การเตรียมตัวตรวจ     -คนไข้ต้องมั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์     -ควรตรวจหลังจากมีประจำเดือนวันแรก 10 วัน 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

สารทึบรังสี (Contrast Media) คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

สารทึบรังสี (Contrast Media) คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร สารทึบรังสี (Contrast Media)         หมายถึง สารที่ใช้ในการตรวจทางรังสีวิทยา เพื่อให้เกิดความแตกต่างในการดูดกลืนรังสีระหว่างอวัยวะที่ต้องการตรวจกับอวัยวะหรือโครงสร้างอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เป็นผลให้เห็นอวัยวะที่ต้องการตรวจได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งสามารถนำเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น การรับประทาน , การสวนเข้าทางทวารหนัก และฉีดเข้าหลอดเลือด หรือเข้าช่องโพรงของร่างกาย (จามรี, 2538 : ชรินทร์, 2542 : สมเกียรติ, 2538)            สารทึบรังสีชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด เป็นสารที่มีความจำเป็นในการแยกความแตกต่างของอวัยวะที่ต้องการตรวจกับอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ภาพจากการตรวจทางรังสีมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นสารทึบรังสีจึงเข้ามามีบทบาทในการตรวจทางรังสีหลายชนิด ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT ), การตรวจดูการทำงานของไต (Intravenous pyelography ), การถ่ายภาพรังสีหลอดเลือด ( Angiography / Venography ), การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI ) แต่เนื่องจากสารทึบรังสีอาจทำให้เกิดการแพ้หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งนับว่าเป็นการตรวจที่มีความเสี่ยงสูง และจากการศึกษาของ Katayama และคณะซึ่งได้รายงานไว้ใน Radiology 1990 พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารทึบรังสีชนิดแตกตัว ทั้งหมด 169,284 ราย มีปฏิกิริยาแพ้ 12.66 % และผู้ป่วยที่ได้รับสารทึบรังสีชนิดไม่แตกตัว ทั้งหมด 168,363 ราย มีปฏิกิริยาแพ้ 3.13 % สำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากการใช้สารทึบรังสีนั้นสามารถทำได้ทุกระยะ คือ ตั้งแต่ก่อน ขณะ และหลังการฉีดสารทึบรังสี หากพยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสารทึบรังสีเป็นอย่างดีแล้วผู้ป่วยก็จะได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และปลอดภัย  ประเภทของสารทึบรังสี          แบ่งได้หลายแบบตามสมบัติของสาร ได้แก่    แบ่งตามความทึบรังสี ( จามรี, 2538 : ชรินทร์, 2542)  1.1 สารทึบรังสีที่ทึบรังสีน้อยกว่าเนื้อเยื่อ ( Negative contrast media ) เป็นสารที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ จึงมีความทึบรังสีหรือทึบแสงน้อยกว่าเนื้อเยื่อของร่างกาย สารเหล่านี้จะทำให้เกิดเป็นเงาทึบในภาพรังสี ได้แก่ อากาศ , ออกซิเจน , คาร์บอนไดออกไซด์ , ไนตรัสออกไซด์ ซึ่งปัจจุบันอากาศ ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ ยังมีใช้กันอยู่ เนื่องจากหาได้ง่าย การดูด ซึมไม่เร็วจนเกินไป หากทำให้บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซนต์ได้ และมีอันตรายน้อย ส่วนไนตรัสออกไซด์นั้น ราคาแพง ดูดซึมเร็วมาก จึงยังใช้กันไม่มาก    1.2 .สารทึบรังสีที่ทึบรังสีมากกว่าเนื้อเยื่อ ( Positive contrast media ) สารเหล่านี้เป็นสารที่มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่าเนื้อเยื่อของร่างกายทำให้เกิดเป็นเงาจางหรือขาวบนภาพรังสี ซึ่งในปัจจุบันสารทึบรังสีแทบทั้งหมดเป็นชนิดนี้    แบ่งตามสมบัติการละลาย (สมเกียรติ, 2538)  2.1 สารทึบรังสีที่ละลายน้ำ ได้แก่ สารทึบรังสีแทบทุกชนิดในปัจจุบัน  2.2 สารทึบรังสีที่ละลายในไขมัน ได้แก่ ริพิโอดอล (Lipiodol ®) 2.3 สารทึบรังสีที่แขวนลอยในน้ำ ได้แก่ แบเรี่ยมซัลเฟต (Barium sulphate)    แบ่งตามการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย  3.1 สารทึบรังสีที่ดูดซึมได้ ได้แก่ สารทึบรังสีแทบทุกชนิดในปัจจุบัน  3.2 สารทึบรังสีที่ไม่ดูดซึม ได้แก่ แบเรี่ยมซัลเฟต (Barium sulphate)    แบ่งตามลักษณะการขับถ่าย เมื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว  4.1 ขับถ่ายออกทางไต สารทึบรังสีแทบทุกชนิดที่ดูดซึมได้ จะขับถ่ายออกทางไต มากกว่าร้อยละ 90  4.2 ขับถ่ายออกทางตับ ออกมาในรูปของอุจจาระ ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้แล้ว 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เอกซเรย์เต้านม (Mammogram)

ปัจจุบันโรคมะเร็งในสตรีสำหรับประเทศไทย พบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูก และมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นทุกปี  สาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่นอน การตรวจให้พบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยรักษาให้หายได้ เรียกว่าการคัดกรอง (Screening)  การตรวจคัดกรองสำหรับประชาชนทั่วไป อายุ 20-40 ปี ตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน และตรวจเต้านมโดยแพทย์ทุก 3 ปี อายุ 40 ปี ขึ้นไป ตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน และตรวจเต้านมโดยแพทย์ทุกปี การตรวจคัดกรองสำหรับสตรีกลุ่มเสี่ยง ตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน และตรวจเต้านมโดยแพทย์ทุกปี ถ่ายภาพเอกซเรย์เต้านมทุก 2 ปี การเตรียมตัวก่อนถ่ายภาพเอกซเรย์เต้านม งดเครื่องดื่มหรือยาที่มีสารคาเฟอีน เพราะจะไปกระตุ้นให้มีการขับน้ำออกมามาก ห้ามใช้ยาระงับกลิ่นตัว แป้งทาตัว เพราะมีสารที่ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำ เวลากดเต้านม จะรู้สึกเจ็บมาก และแป้งมีสารทึบรังสีเป็นฝุ่นเล็กๆ ทำให้ปรากฏเห็นบนภาพได้ อาจทำให้นึกว่าเป็น microcalcification ได้ การตรวจเต้านมด้วยอัลตร้าซาวด์ ใช้ในการตรวจที่เอกซเรย์เต้านมแล้วเห็นก้อนไม่ชัดเจน จะช่วยแยก solid กับ cystic mass โดยอัลตร้าซาวด์จะวินิจฉัย cystic mass ได้ชัดเจน ข้อเสีย ไม่สามารถใช้เป็นการตรวจคัดกรอง เพราะไม่เห็น microcalcification (ตัวก่อมะเร็งซึ่งมีขนาดเล็กมากเป็นไมครอน) บทความแนะนำ ผู้ชายก็มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เอกซเรย์ทั่วไป (General X-ray)

เอกซเรย์ทั่วไป (General X-ray) เป็นการตรวจเอกซเรย์ที่ทุกท่านคุ้นเคยกันดี เช่น เอกซเรย์ปอด เอกซเรย์กระดูกแขน,ขา เอกซเรย์กระดูกสันหลัง เอกซเรย์ศีรษะ  เป็นต้น ซึ่งจะใช้ในการวินิจฉัยเบื้องต้นว่าบริเวณที่ต้องการถ่ายเอกซเรย์มีความผิดปกติหรือไม่ ปัจจุบันแผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี มีเครื่องเอกซเรย์ทั่วไป ให้บริการจำนวน 3 เครื่อง สามารถให้บริการแก่ผู้รับบริการจำนวนมาก และรวดเร็วมากขึ้น เพราะใช้ตัวรับภาพแบบดิจิตอล (Image plate) รวมทั้งยังใช้ระบบ PACS ทำให้สามารถส่งภาพและเรียกดูภาพเอกซเรย์ได้ด้วยความรวดเร็ว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ระบบ PACS

ระบบ PACS PACS        PACS ย่อมาจากคำว่า Picture Archiving and Communication System คือ ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บรูปภาพ ทางการแพทย์( Medical Images) และรับ-ส่งข้อมูลภาพ ในรูปแบบ Digital โดย PACS ใช้การจัดการรับส่งข้อมูล ผ่านทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการส่งภาพข้อมูลตามมาตรฐาน DICOM แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ได้นำระบบ PACS มาใช้ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2549 ซึ่งการนำระบบ PACS มาใช้แทนระบบการถ่ายภาพที่ใช้ฟิล์มแบบเดิม ทำให้ลดขั้นตอนการทำงานลงเป็นอย่างมาก จึงทำให้สามารถให้บริการแก่ผู้มารับบริการได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ภาพแสดงการเปรียบเทียบการใช้ระบบฟิล์มเดิมและระบบ PACS       ระบบเดิมเริ่มจากเมื่อนักรังสีเทคนิคถ่ายภาพเอกซเรย์เสร็จ จะต้องผ่านกระบวนการล้างฟิล์ม จัดทำซองฟิล์ม แล้วนำฟิล์มไปให้รังสีแพทย์รายงานผล แล้วจัดเก็บซองฟิล์มไว้ในห้องเก็บฟิล์ม เมื่อแพทย์ผู้ส่งตรวจขอดูฟิล์มและผลจะต้องทำการยืมฟิล์มจากแผนกรังสีวินิจฉัย ไปดูบนหอผู้ป่วยหรือที่แผนกผู้ป่วยนอก ซึ่งจะต้องใช้บุคลากรและเวลาในการจัดหาและจัดเก็บ ซึ่งในบางครั้งก็มีปัญหาในเรื่องการหาฟิล์มไม่พบ ทำให้ต้องใช้เวลาและแรงงานในกระบวนการ/ขั้นตอนที่ยุ่งยาก เมื่อแผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ได้นำระบบ PACS มาใช้ ทำให้สามารถลดขั้นตอนจากระบบเดิมได้อย่างมาก กล่าวคือ เมื่อนักรังสีถ่ายภาพเอกซเรย์โดยใช้ตัวรับภาพ(Imaging plate) แล้วนำตัวรับภาพมาสร้างภาพด้วยเครื่อง CR ก็จะได้เป็นภาพดิจิตอล แล้วส่งภาพไปที่ PACS server จากนั้นรังสีแพทย์ก็สามารถดูภาพและรายงานผลได้ทันทีที่ส่งภาพ รวมทั้งแพทย์ผู้ส่งตรวจก็สามารถเรียกดูภาพได้ทันที ซึ่งจะเห็นว่ามีความสะดวกและรวดเร็วอย่างมาก     ข้อดีของการนำระบบ PACS มาใช้ในโรงพยาบาล    1. ผลดีต่อกระบวนการรักษาพยาบาล       - ลดเวลาในการตรวจ และรอคอยผลการเอกซเรย์ เนื่องจากการล้างฟิล์ม และการค้นหาฟิล์มเก่า       - ได้รับการวินิจฉัยโรค และได้รับการรักษาพยาบาลเร็วขึ้น       - เนื่องจากสามารถเรียกข้อมูลเก่าที่เก็บไว้ในระบบได้ตลอด เวลาทำให้แพทย์ สามารถเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง ของโรคได้ตลอดเวลาซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ ยิ่งขึ้น และช่วยในการวางแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง       - ลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ จะได้รับเนื่องจากการถ่ายฟิล์มซ้ำ ที่เกิดจากการตั้งค่าเทคนิค ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วย     2. ประหยัดทรัพยากรและ รักษาสิ่งแวดล้อม       - ลดอัตราการสูญเสียฟิล์มในการเอกซเรย์ซ้ำ เพราะระบบการถ่ายเอกซเรย์ที่เก็บภาพแบบ Digital ทำให้รังสีแพทย์ สามารถที่จะทำการปรับค่า ความสว่างของภาพได้       - ลดการสูญหายของฟิล์มเอกซเรย์ที่จะเกิดขึ้นในระบบเก่า        - ลดการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการล้างฟิล์ม ( น้ำยาล้างฟิล์ม และ น้ำเสียจากเครื่องล้างฟิล์ม)       - ลดพื้นที่ในการจัดเก็บฟิล์มเอกซเรย์        - จะไม่มีการเสื่อมสภาพของภาพรังสี เพราะว่าข้อมูลภาพถ่ายทางรังสีจะถูกเก็บในรูปแบบ Digital

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

IC NEW คุณสมบัติในการทำลายเชื้อของแอลกอฮอล์

IC NEW คุณสมบัติในการทำลายเชื้อของแอลกอฮอล์           แอลกอฮอล์ทั้ง 2 ชนิดเป็นของเหลว ไม่มีสี ระเหยได้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่มีฤทธิ์ตกค้างแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อรา และเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียได้ แอลกอฮอล์จัดเป็นเพียงน้ำยาทำลายเชื้อระดับกลางประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อของแอลกอฮอล์จะลดลงมาก หากมีความเข้มข้นต่ำลงแอลกอฮอล์จะมีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อได้ดีเมื่อมีความเข้มข้นประมาณ 70-90% โดยปริมาตร ความเข้มข้นที่เหมาะสมของ ethyl alcohol ซึ่งสามารถทำลายเชื้อของแอลกอฮอล์ ทั้ง 2 ชนิดแตกต่างกัน ถ้าเป็น Ethyl Alcohol จะทำลายเชื้อไวรัสได้ดีกว่า ส่วน Isopropyl alcohol ไม่สามารถทำลาย Hydrophilic virus ซึ่งได้แก่ echovirus และ coxsackie virus ได้            ทำลายเชื้อไวรัสตับอักเสบบี CDC แนะนำให้แช่เครื่องมือใช้ 70% ethyl alcohol นาน 15 นาทีสำหรับเชื้อเอชไอวี ใช้เวลาประมาณ 1 นาที สำหรับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาทีกว่าทำลายเชื้อวัณโรคและเชื้อไวรัสอื่นๆ ใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาที(แต่เราไม่ทราบว่าผู้ป่วยรายใด เชื้อโรคอะไรบ้าง ไม่สามารถตรวจได้หมด) แอลกอฮอล์เป็นน้ำยาทำลายเชื้อที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ทำลายเชื้อได้เร็ว ราคาถูก ใช้ในการทำลายเชื้อบนปรอทวัดไข้ทางปากและทางทวารหนัก            แอลกอฮอล์ทำให้ผิวแห้งแตก แอลกอฮอล์ระเหยได้ง่ายฤทธิ์ในการทำลายเชื้อจะลดน้อยลง หากความเข้มข้นต่ำลงในการใช้และเก็บรักษาแอลกอฮอล์จึงจะต้องระมัดระวัง แอลกอฮอล์จะเสื่อมประสิทธิภาพเมื่อผสมกับอินทรีย์ ดังนั้นต้องล้างทำความสะอาดเครื่องให้หมดจดก่อนเช็ดให้แห้งก่อนทำลายเชื้อด้วยแอลกอฮอล์           เมื่อต้องแช่เครื่องมือให้เครื่องมือสัมผัสแอลกอฮอล์ให้นานขึ้น จะต้องแช่เครื่องมือลงแอลกอฮอล์จะทำให้สารที่ยึดเลนส์กับอุปกรณ์ละลายแอลกอฮอล์ทำให้อุปกรณ์ที่มีเลนส์ได้เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้สารที่ยึดเลนส์กับอุปกรณ์ละลาย แอลกอฮอล์ทำให้อุปกรณ์ที่ทำด้วยยางหรือพลาสติกบวมและแข็ง           แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กัดกร่อนโลหะ หากต้องใช้กับโลหะควรเติม 0.2% โซเดียมไนโตรลงในแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ติดไฟง่าย จึงควรเก็บในภาชนะปิดมิดชิดและเก็บภาชนะนั้นไว้ในที่เย็น อากาศถ่ายเทได้สะดวก

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง

กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวเสวยสุก สับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้มีสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่ ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เม็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก ส้มโอขาว แตงกวา และพุทราแอปเปิล การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตอเบอร์รี่ และกล้วยไข่ ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของอาหารสารที่ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย(Thalassemia)

โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย(Thalassemia)           โรคโลหิตจาง หรือที่เรียกว่าโรคซีดนั้น มีโอกาสพบได้บ่อยในเด็กไทย ไม่ว่าจะช่วงวัยเด็กทารก เด็กวัยเตาะแตะ เด็กวัยเรียนหรือเด็กวัยรุ่นการที่จะวินิจฉัยโรคโลหิตจาง ทำโดยการตรวจเลือด และพบว่าเด็กผู้นั้นมีจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่า หรือมีปริมาณฮีโมโกลบิน (ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบหลักในเม็ดเลือดแดง) ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานในเด็กอายุนั้น ๆ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็กไทย คือภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นหรือขาดธาตุเหล็ก ซึ่งการดูแลเลี้ยงเด็กที่ถูกต้อง ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ทานยาบำรุงเลือดที่เหมาะสม ขจัดสาเหตุที่ทำให้เด็กเสียเลือดเรื้อรัง เช่น โรคพยาธิ สามารถรักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กให้หายได้          อย่างไรก็ตาม โรคโลหิตจางที่เป็นปัญหาสำคัญและพบได้บ่อยในคนไทย ไม่ว่าเด็กหรือ ผู้ใหญ่คือ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia and Hemoglobinopathies) ซึ่งเป็นโรค ทางกรรมพันธุ์ โรคนี้สามารถถ่ายทอดได้จากบิดามารดาที่เป็นพาหะ (หรือมีภาวะแฝง) มาสู่บุตร ทำให้บุตรป่วยได้โดยที่บิดามารดาไม่จำเป็นต้องมีอาการผิดปกติเลย ประเทศไทยเรามีประชาชนที่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียต่าง ๆ รวมกันประมาณ 20-30 % ของประชากรทั้งหมด และคู่สมรสที่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียประเภทเดียวกัน เมื่อให้กำเนิดบุตรแต่ละคนจะมีโอกาสป่วยเป็นโรค ธาลัสซีเมียได้ 25 % หรือ 1 ใน 4 โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่สำคัญในประเทศไทย           โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีหลายประเภท ที่สำคัญในเมืองไทยคือ กลุ่มแอลฟ่าธาลัสซีเมียและกลุ่มเบต้าธาลัสซีเมีย (Alpha – and Beta – Thalassemia diseases) กลุ่มแอลฟ่าธาลัสซีเมียนั้น ถ้าเป็นแบบรุนแรง (Hemoglobin Bart hydrops fetalis) จะทำให้เด็กตาย คลอดหรือเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาได้ ถ้าเป็นแบบรุนแรงปานกลาง (Hemoglobin H disease)            ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการซีดเรื้อรัง ตับม้ามโต ต้องได้รับเลือดทดแทนเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่มีไข้หรือเจ็บป่วยไม่สบาย เด็กจะซีดลงเร็วมาก เนื่องจากเม็ดเลือดแดงจะแตกทำลายเร็วขึ้นอย่างมาก สำหรับกลุ่มเบต้าธาลัสซีเมีย แบบที่มีอาการรุนแรงคือ โฮโมซัยกัสเบต้าธาลัสซีเมีย (Homozygous Beta Thalassemia) ผู้ป่วยเด็กจะเริ่มมีอาการซีดมากตั้งแต่อายุ 6 เดือน เป็นต้นไป ตัวเหลือง ท้องป่อง ตับโต ม้ามโตมาก ร่างกายเจริญเติบโตช้า ตัวเตี้ยแคระแกรน โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลงผิดปกติ (Thalassemia facies) มีโรคเจ็บป่วยอื่นแทรกซ้อนง่าย ในรายที่เป็นรุนแรงผู้ป่วยต้องได้รับเลือดทดแทนอย่างสม่ำเสมอทุก 2-4 สัปดาห์ จึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ มิฉะนั้นสุขภาพจะทรุดโทรมอย่างมาก ซีดมากจนหัวใจวายและมีอายุสั้น การรักษาโรคธาลัสซีเมีย           การปลูกถ่ายเซลต้นกำเนิดเม็ดเลือด เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาโรคธาลัสซีเมียให้หายขาดได้ โดยได้รับจากพี่น้องหรือผู้บริจาคทีมี HLA ตรงกัน ส่วนการรักษาประคับประครองตามอาการอื่น ๆ ได้แก่ การให้เลือดทดแทนอย่างสม่ำเสมอตลอดไป ร่วมกับการให้ยาขับเหล็กอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ป่วยจะมีภาวะธาตุเหล็กที่มากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อตับ ตับอ่อน ต่อมไร้ท่อ และหัวใจ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับประทานยาบำรุงเม็ดเลือดโฟลิค (Folic acid) ทุกวันไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและหลีกเลี่ยงยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก ผู้ป่วยบางรายมีม้ามโตมากหรือมีอาการซีดลงเร็วมาก จนต้องให้เลือดบ่อยขึ้น แพทย์อาจจะต้องพิจารณาผ่าตัดม้ามออกเมื่อผู้ป่วยมีอายุเกิน 5 ปีแล้ว วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้             โรคโลหิตจางในเด็กไทย ยังมีโรคอื่น ๆ ที่พบได้อีกหลายโรคซึ่งกุมารแพทย์ผู้ชำนาญทางโลหิตวิทยา สามารถให้ความรู้และคำปรึกษาแนะนำกับท่านได้   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Vital Sign สัญญาณชีพ

Vital Sign สัญญาณชีพ          เวลาคุณไปโรงพยาบาล  คุณพยาบาลเค้าจะจับคุณชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตใช่ไหมคะ คุณรู้ไหมว่าเค้าเรียกว่าอะไร ศัพท์ทางการแพทย์เขาเรียกว่า  Vital Sign  หรือสัญญาณชีพ เพื่อเป็นข้อมูลให้คุณหมอทราบข้อมูลทางสุขภาพของคุณเบื้องต้นก่อน  Vital Sign  หลักๆก็มี 4 อย่างค่ะ   วัดอุณหภูมิร่างกาย (ถ้าไม่ได้ป่วยเป็นไข้ เขาก็อาจจะไม่วัด) อุณหภูมิร่างกายที่ปกติอยู่ที่ ๓๗ องศาเซลเซียส อนุญาตให้ไม่เกิน 37.5  ถ้าเกิน คือ มีไข้ค่ะ วัดความดันโลหิต ความดันโลหิต คือแรงดันที่หัวใจต้องทำงานในการสูบฉีดโลหิต ความดันโลหิตค่าปกติ ยอดนิยมอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ที่แสดงว่าสุขภาพดี คือ 110/70  แล้วอย่างไหนอันตรายกว่ากันระหว่างความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำ  ความดันโลหิตถ้าสูงเกินไป ต่ำเกินไป อันตรายหมด แต่ความดันโลหิตสูงอันตรายกว่าค่ะ เพราะความดันโลหิตสูง  อาจไม่แสดงอาการปวดศีรษะ  และความดันโลหิตในระยะยาว ทำให้เกิดผลเสียต่อสมอง หัวใจและไต  การตรวจวัดความดันทำให้พบและรักษาได้ แทนที่จะเกิดปัญหาใหญ่ฯ  เช่น ไตวายหรือเส้นเลือดสมองแตก จะวัดได้ที่ไหน ถ้าที่ไหนมีตรวจสุขภาพฟรีๆ ก็เดินไปขอวัดความดันโลหิตได้เลยค่ะ หรือไปขอวัดตามโรงพยาบาลก็ได้ค่ะ วัดชีพจร คืออัตราการเต้นของหัวใจ ที่ปกติคือประมาณ 70-80  ครั้ง/นาที (ในผู้ใหญ่นะคะ) วัดจำนวนครั้งการหายใจ ปกติควรอยู่ที่ 20 – 26 ครั้งต่อนาที ในผู้ใหญ่เช่นกัน ข้อนี้บางทีเขาก็ไม่วัดค่ะ ถ้าไม่มาด้วยโรคระบบการหายใจคือดูจากชีพจรได้ วิชาการสมัยใหม่ เขากำลังรณรงค์ให้วัด  Vital Sign   ตัวที่ 5. คือ วัดรอบเอว คุณหมอด้านหัวใจจะชอบมากค่ะ เพราะแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงโรคหัวใจเช่นกัน (คือภาวะอ้วนลงพุง ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้) รอบเอวที่ปกติคือ ถ้าเป็นผู้ชาย ต้องไม่เกิน 90 ซม. ถ้าเป็นผู้หญิง ต้องไม่เกิน 80 ซม.ค่ะ            เอาเป็นว่า คุณเคยวัดความดันโลหิตกันบ้างรึยังคะ?  แล้วรอบเอวคุณเท่าไหร่เอ่ย ?

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถ่ายเป็นเลือด บ่งบอกโรค

ถ่ายเป็นเลือด บ่งบอกโรค (บทความโดย ปูผัด )         สวัสดีค่ะ เช้านี้ใครถ่ายเป็นเลือดบ้างคะ ปูผัดถามอะไรแย่ๆใช่มั๊ยคะ แต่ว่าไม่ได้นะ เรื่องแบบนี้ บางทีเราก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จะให้ไปหาหมอเหรอ ลืมไปได้เลย ในฐานะที่ปูผัดอยู่ในวงการนะคะ ได้ยินคำถามเรื่องถ่ายเป็นเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน ปูผัดบอกได้เลยค่ะ ว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนกังวล มันก็มีข้อสังเกตุใหญ่ๆ 2 ข้อเท่านั้น คือถ่ายเป็นเลือดสด หรือเลือดคล้ำ แต่ก่อนอื่นมาสังเกตุดูนะคะ ว่าพฤติกรรมคุณเป็นยังไงบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณไม่เคยฝึกหัดเรื่องการเข้าห้องน้ำ ทำธุระตอนเช้าๆ หรือถ่ายเป็นเวลา คุณเป็นประเภทท้องผูกประจำ ชอบนั่งห้องน้ำนานๆ อ่านหนังสือพิมพ์ คุณทานผักสด ผลไม้น้อยมากๆ เพราะไม่มีเวลาเลือก แถมชอบทานเนื้อสัตว์อีกต่างหาก คุณไม่มีเวลาออกกำลังกาย คุณเครียด คุณไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า คุณนอนดึกประจำ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ   ถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้เกิน 3 ข้อ ก็แย่แล้วค่ะ        ทีนี้ ปูผัดอยากรู้ว่า เวลาทำธุระเสร็จ คุณเคยก้ม หรือหันไปมองผลงานบ้างมั๊ย ? รู้มั๊ยคะ ว่าอุจจาระน่ะ เป็นตัวบ่งบอกสุขภาพที่ดีได้อย่างนึง เช่น ถ่ายดำ คล้ายมีมูกเลือดปนออกมา ก็ไม่ค่อยดี ถ่ายปกติ แต่มีเลือดสดๆตามมา ก็โล่งใจนิดนึง เพราะแสดงว่าเลือดออกมาจากส่วนปลายๆ เช่น ปากทวารสันนิษฐานเบื้องต้นว่าอาจเป็นริดสีดวงทวาร ยิ่งมีติ่งๆอะไรยื่นมาเสริม ยิ่งชัวร์ค่ะ แต่ถ่ายแบบมีเลือดปะปนกับอุจจาระออกมา ไม่ค่อยดีค่ะ ยิ่งสีคล้ำ ยิ่งต้องรีบไปหาหมอเชียว เพราะแสดงว่า เลือดเดินทางออกมาไกล อาจมีเลือดออกจากกระเพาะ ลำไส้ ควรรีบไปตรวจดูค่ะ แถมอีกนิด ทุกคน แม้แต่ปูผัดก็ตาม จะอายหมอมาก ถ้าต้องไปเปิดก้นให้หมอดู แต่...ไปเถอะค่ะ เพราะการปล่อยไว้ ทรมานกว่า และขอบอกว่า พวกหมอ เค๊าเห็นมานักต่อนักแล้ว การที่คุณอาย เกิดจากที่คุณคิดไปเองแหละค่ะ           เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่เคยสังเกตุ หรือมอง อุจจาระของตัวเอง ต่อจากนี้ไป ลองหันไปมองหน่อยก็แล้วกันนะคะ..

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม