การผ่าตัดลดน้ำหนักดีหรือไม่

การผ่าตัดลดน้ำหนักดีหรือไม่   ความอ้วนไม่ได้เป็นเพียงแค่ลักษณะของบุคลิกภาพ แต่ปัจจุบันเราจัดภาวะนี้เป็นโรคเรื้อรังอย่างนึง เนื่องจากพบว่าภาวะโรคอ้วนทำให้มีการอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นภายในร่างกายรวมถึงภาวะภูมิคุ้มกันที่บกพร่องกว่าคนปกติอันจะนำไปสู่ความผิดปกติทางเมตาโบลิกต่างๆเช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งหลายชนิดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลกคือการใช้ดัชนีมวลกาย (น้ำหนักเป็นกิโลกรัม หาร ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง) ที่มากกว่า 30 kg/m2 โดยแบ่งเป็น โรคอ้วนระดับที่ 1 มีดัชนีมวลกาย 30-34.9 kg/m2 โรคอ้วนระดับที่ 2 มีดัชนีมวลกาย 35-39.9 kg/m2 โรคอ้วนระดับที่ 3 มีดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 40 kg/m2  เป็นต้นไป อุบัติการณ์ในประเทศไทยพบมีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคอ้วนสูงขึ้นอย่างมาก ในปีพ.ศ.2552 พบโรคอ้วนระดับที่ 1 กับระดับที่ 2 รวมกันคิดเป็นร้อยละ 35% ซึ่งด้วยวิถีชีวิตและอาหารการกินของคนยุคนี้ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังพบว่าสรีระของคนเอเชียกับชาติตะวันตกมีความแตกต่างกันในเรื่องของการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย โดยชาวเอเชียมักมีไขมันสะสมอยู่ในอวัยวะภายในมากกว่าที่จะเห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกซึ่งมีโอกาสนำไปสู่ความผิดปกติทางเมตาบอลิกที่มากกว่า องค์กรต่างๆจึงมักแนะนำให้ลดดัชนีมวลกายลงสำหรับเกณฑ์การรักษาภาวะโรคอ้วนในคนเอเชีย ปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนถือเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก กล่าวคือทําให้น้ำหนักผู้ป่วยลดลงอย่างรวดเร็ว สามารถควบคุมน้ำหนักในระยะยาว และยังสามารถทําให้โรคร่วมต่างๆ เช่น เบาหวาน นอนกรน หายหรือควบคุมได้ดีขึ้น การผ่าตัดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน 1. การผ่าตัดแบบสลีฟ ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะให้มีขนาดเล็กลงเหลือเพียงประมาณ 20% ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และปรับฮอร์โมนให้ลดความอยากอาหาร ผู้ป่วยจึงไม่ทรมานจากความหิวโหย ข้อดี เป็นการผ่าตัดที่ลดนำหนักได้มากและเร็วกว่าวิธีไม่ผ่าตัดต่างๆ เช่น ยา บอลลูน ห่วงรัดกระเพาะ และสามารถควบคุมน้ำหนักได้ในระยะยาว ทั้งนี้ต้องขึ้นกับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อน ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ข้อเสีย ไม่สามารถทำกับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยปรับขนาดกระเพาะด้วยการใส่ห่วงมาก่อน 2. การผ่าตัดแบบบายพาส ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะให้เป็นกระเปาะขนาดเล็กนำไปต่อกับลำไส้เล็ก และนำลำไส้เล็กส่วนปลายตัดอีกข้างไปต่อกับลำไส้เล็กส่วนปลายกว่าเพื่อลดระยะในการดูดซึมสารอาหาร เพราะฉะนั้นนอกจากจะทำให้ทานอาหารได้น้อยแล้วยังลดการดูดซึมสารอาหารด้วย ข้อดี สามารถเกิดผลลัพธ์ในเรื่องน้ำหนักที่ลดรวมถึงการควบคุมน้ำหนักในระยะยาวได้มากกว่าการผ่าตัดแบบสลีฟ ข้อเสีย พบปัญหาในการดูดซึมสารอาหารได้ในบางราย จำเป็นต้องทานยาตลอดชีวิตเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร เป็นการผ่าตัดที่ยาก ซับซ้อน อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ริดสีดวงทวารคืออะไร

ริดสีดวงทวารคืออะไร             ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาการผิดปกติที่บริเวณทวารหนักทุกอย่างคือริดสีดวงทวาร แต่จริงๆแล้วความผิดปกติบริเวณนี้มีหลายสาเหตุเช่น แผลปริปากทวาร ติ่งเนื้อ หูดหงอนไก่ ผื่นแพ้ หรือแม้แต่มะเร็งปากทวาร แต่แน่นอนว่าอุบัติการณ์ของโรคริดสีดวงทวารสามารถพบได้บ่อยที่สุด เพราะจากรายงานทางการแพทย์พบว่าสามารถพบได้สูงถึงประมาณ 10-50% ของประชากร นั่นคือเกือบครึ่งหนึ่งของคนเราอาจมีปัญหาจากริดสีดวงอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตของเรา             ในความเป็นจริง ริดสีดวงคือกลุ่มเนื้อเยื่อที่มีหลอดเลือดดำส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ยึดติดอยู่ภายในรูทวาร เนื้อเยื่อนี้พบได้ในคนปกติทุกคนโดยมีหน้าที่ช่วยในเรื่องการกลั้นอุจจาระประมาณ 10-15% แต่เมื่อหลอดเลือดนี้มีการโป่งพองและยื่นออกมาจะสามารถทำให้เกิดอาการเลือดออก เป็นก้อนยื่นหรือปวดได้ ก็จะเรียกภาวะนี้ว่าโรคริดสีดวงทวาร             ริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็นริดสีดวงทวารภายในและริดสีดวงทวารภายนอก โดยริดสีดวงทวารภายในยังแบ่งความรุนแรงได้เป็น 4 ระดับขึ้นกับการยื่นออกนอกรูทวารและการกลับเข้า   การป้องกัน             ปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่สำคัญของโรคริดสีดวงทวารเกิดจากแรงเบ่งจากภายในที่ทำให้หลอดเลือดโป่งพองหรือจากการนั่งนานๆโดยเฉพาะเมื่อนั่งถ่ายบ่อยหรือนาน ซึ่งทำให้ริดสีดวงยื่นออกมาง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันคือต้องดูแลเรื่องการรับประทานอาหารและการขับถ่ายอุจจาระให้ดี รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อให้อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนนิ่มที่ออกง่าย ไม่ต้องเบ่งเยอะ อาหารที่แนะนำคือผักผลไม้ต่างๆ ร่วมกับการดื่มน้ำมากๆอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องเสีย เพราะทำให้ต้องถ่ายอุจจาระบ่อยซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างนึงที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ปรุงสุก อาหารรสจัดต่างๆ หลีกเลี่ยงการนั่งถ่ายอุจจาระนานๆ ไม่ควรไปนั่งรอให้ปวด แต่ควรเข้าห้องน้ำเมื่อปวดถ่าย หลังถ่ายเสร็จควรรีบลุกออกจากห้องน้ำทันที ไม่ควรนั่งอ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการนั่งยอง โดยเฉพาะการถ่ายอุจจาระควรเลือกส้วมที่เป็นโถนั่ง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ กรณีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ   การดูแลเบื้องต้นกรณีมีอาการจากริดสีดวงทวาร กรณีมีก้อนยื่นออกจากทวาร แนะนำหลังถ่ายอุจจาระเสร็จให้ใช้น้ำฉีดชำระทำความสะอาดจากนั้นใช้นิ้วดันก้อนกลับเข้าไปด้วยความนิ่มนวล อาจใช้สบู่อ่อนหรือเจลหล่อลื่นช่วยให้สามารถดันกลับเข้าได้ง่ายขึ้น ไม่ควรปล่อยให้ก้อนคาอยู่ที่รูทวารนานๆเพราะอาจทำให้มีอาการบวม อักเสบและปวดตามมาได้ กรณีเลือดออกจากริดสีดวงทวาร มักเป็นเลือดสดหยดตามหลังการถ่ายอุจจาระ มักจะสามารถหยุดได้เอง หากเลือดไม่หยุด หรือลักษณะของเลือดปนกับอุจจาระ หรือมีมูกเลือดปนควรต้องรีบพบแพทย์ กรณีมีอาการปวด อาจซื้อยาแก้ปวดทานได้ในเบื้องต้น ร่วมกับการแช่น้ำอุ่นประมาณ 40 องศาเซลเซียส แช่ครั้งละประมาณ 15 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดอาการปวดได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าชะล่าใจคิดว่าอาการต่างๆเป็นเพียงริดสีดวงทวารเพราะบางครั้งความผิดปกตินั้นอาจเป็นความผิดปกติอื่น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อายุเยอะอาจต้องระวังเรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักด้วย จึงแนะนำว่าควรพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ   การรักษา             ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง รวมถึงลักษณะอาการหลักของผู้ป่วย ซึ่งหากเป็นไม่เยอะอาจเพียงแค่ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารและการขับถ่ายอุจจาระให้ดีอาการก็สามารถดีขึ้นเอง หรือแพทย์อาจให้ยาร่วมด้วยเพื่อให้อาการหายเร็วขึ้น หากอาการมากขึ้นหรืออาการไม่ดีขึ้นจากการทานยาสามารถรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการฉีดสารให้ฝ่อหรือใช้วิธีการรัดยาง เป็นต้น             กรณีที่อาการเป็นมาก อาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดริดสีดวงซึ่งถือเป็นการรักษามาตรฐานในปัจจุบัน เพียงแต่วิธีการนี้มักทำให้มีอาการปวดหลังผ่าตัดค่อนข้างมากและนาน ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับมาทำงานได้ ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ทำให้การรักษาริดสีดวงทวารสามารถทำได้โดยคนไข้ไม่ต้องนอนรพ. ไม่มีแผลผ่าตัดใหญ่ เจ็บน้อยมากและหายเจ็บเร็ว สามารถกลับมาทำงานได้หลังการรักษาเพียงสองวัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ทำไมคนตั้งครรภ์มักเป็นริดสีดวงทวาร

ทำไมคนตั้งครรภ์มักเป็นริดสีดวงทวาร   ทำไมคนตั้งครรภ์มักเป็นริดสีดวงทวาร pregnancy , hemorrhoid , bleed          เลือดออก ถ่ายเป็นเลือด อุจจาระ เลือดสด ติ่งเนื้อ ทวารหนัก ริดสีดวงเกิดเพราะการที่ตั้งครรภ์มีเด็กในท้อง ซึ่งในบางท่าทางเด็กจะไปกดหลอดเลือดในช่องท้อง ขัดขวาง ทำให้การไหลกลับไม่สะดวก ของเลือดในทิศทางปกติ          นั่นคือ เลือดจะย้อนไปอีกระบบนึง ซึ่ง ทางติดต่อของระบบนั้น หนึ่งในนั้นคือ ริดสีดวง คือ เส้นเลือดบริเวณที่ปากทวารนี่แหละครับ ทำให้ มันโต โป่งมากกว่า ปกติ ซึ่งจะเป็นมากขึ้น เมื่อท้องแก่ขึ้น  นอกจาก ริดสีดวงแล้ว ผลจากการที่หลอดเลือดดำใหญ่ โดนกด ไหลไม่สะดวกคือ เส้นเลือดขอดที่ขาครับ          หลังคลอดแล้วมักหาย แต่อาจเหลือร่องรอย เช่น ติ่งเนื้อได้ครับ ซึ่งไม่ต้องทำอะไร  ถ้าไม่มีอาการอื่นครับ   โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การผ่าตัดแปลงเพศ

ในผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตใจซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งของการรับรู้เพศที่ไม่สอดคล้องกับเพศที่แท้จริง ทางการแพทย์เรียกว่าgender dysphoriaหรือgender identity disorderเป็นความผิดปกติที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันสังคมยอมรับคนเหล่านี้มากขึ้นทำให้เขากล้ามารับการรักษามากขึ้นและได้ผลดี ทำให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ก่อนผ่าตัด ก่อนที่จะทำการผ่าตัดแพทย์จะต้องทำการวินิจฉัยให้ได้ก่อนว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ และสามารถจะมำการผ่าตัดได้หรือไม่โดยมีขั้นตอนการพิจารณาดังนี้ ผู้ป่วยต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมในเพศที่ตรงข้ามกับเพศจริงทางร่างกายตลอดเวลาและประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย12เดือน ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจและประเมินพฤติกรรมโดยจิตแพทย์อย่างน้อย2คนและหนึ่งในสองคนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ต้องได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อเตียมสภาพร่างกายให้อยู่ในเพศตรงข้ามเสียก่อน ก่อนผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่าตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างอวัยวะเพศเสียก่อน เป้าหมายในการสร้างอวัยวะเพศหญิงใหม่คือ การสร้างช่องคลอดเทียมที่มีขนาดและความลึกพอสมควรเพื่อสามารถใช้ในการร่วมเพศได้ในกรณีที่ต้องการแต่ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ก็อาจไม่จำเป็นต้องสร้างให้มีความลึกมากก็ได้ สร้างรูปร่างของอวัยวะเพศใหม่ให้ดูคล้ายกับอวัยวะเพศหญิงให้มากที่สุด ได้แก่ แคมนอกและแคมใน เปลี่ยนแนวของท่อปัสสาวะให้ถูกต้องโดยเวลาปัสสาวะจะต้องพุ่งลงด้านล่าง สร้างจุดรับสัมผัสหรือคลิตอริส ภาวะแทรกซ้อน แผลผ่าตัดแยกหรือหายช้าหรือช่องคลอดใหม่หลุดลอกออกพบได้บ่อยพอสมควรเนื่องจากแผลผ่าตัดมีจุดที่ต้องมีการเย็บประกอบขึ้นมาจากผิวหนังหลายส่วน รวมทั้งการดูแลหลังผ่าตัดที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้งานอวัยวะเพศใหม่เร็วเกินไป ถ้าแผลแยกหรือหลุดลอกไม่มากอาจใช้การทำแผลไปเรื่อยๆจนแผลหายเองได้แต่ถ้าเป็นมากอาจจะต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข เลือดคั่งใต้แผลผ่าตัด ช่องคลอดตีบ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องทำการขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย6-12เดือน มิฉะนั้นก็อาจจะเกิดช่องคลอดตีบแคบได้ ถ้าเกิดใหม่ๆหลังการผ่าตัดก็อาจจะทำการถ่างขยายได้ แต่ถ้าทิ้งเอาไว้นานจนมีพังผืดแข็งก็อาจจำเป็นต้องอาศัยการผ่าตัดแก้ไข ช่องคลอดตื้น เช่นเดียวกับช่องคลอดตีบถ้าเกิดในระยะหลังก็จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อหาเนื้อเยื่ออื่นมาเสริมเพื่อเพิ่มความลึกแทน เช่น สำไส้ใหญ่ เป็นต้น ช่องคลอดทะลุเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ต้องแก้ไขโดยการผ่าตัด ถ้าไม่รุนแรงก็อาจจะเย็บปิดได้เลย แต่ถ้าเกิดการติดเชื้อรุนแรงก็อาจจะต้องระบายอุจจาระออกทางหน้าท้องก่อนเพื่อให้แผลรอยทะลุหายสนิทดีก่อนค่อยนำลำไส้กลับเข้าที่เดิม แพทย์ นพ.นราธิป ทรงทอง แผนกศัลยกรรม (ศัลยศาสตร์ตกแต่ง)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

การผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง          พูดถึงไส้ติ่ง คงไม่มีใครไม่รู้จัก ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย มันก็คือ ส่วนของลำไส้ใหญ่ ที่ยื่นออกมาเป็นติ่งเหมือนนิ้วก้อยอยู่ทางด้านขวา ว่าไปแล้วประโยชน์ของมันไม่ได้ชัดเจน ไม่รู้เอาไว้ทำอะไรเหมือนกัน พระเจ้าอาจให้เกินมา แต่ที่แน่ๆ มันก็สร้างปัญหาให้กับคนเราอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการติดเชื้อ อักเสบ หรือ เป็นเนื้องอก          ในส่วนของโรคของไส้ติ่ง ที่เรารู้จักกันดี คือ การอักเสบเฉียบพลัน ที่เราเรียกกันทั่วไปว่า ไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลันที่พบมากที่สุด ซึ่งมักจะพบมากในช่วงอายุ 15-45 ปี ทั้งชายและหญิง สาเหตุเกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง ซึ่งอาจเกิดได้จาก อาหารอะไรก็ได้ที่ตกลงไป ไม่จำเป็นต้องเป็น เม็ดฝรั่งแบบที่คนโบราณบอก ( แต่เม็ดฝรั่งก็มีส่วนถูกนะ) หรือจะเกิดจากมีการบวมของต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น หรืออาจเกิดจากพยาธิหล่นลงไปอุด มีเนื้องอกแถวนั้นโตไปอุด จะอะไรไปอุดก็ตาม เมื่อเกิดการอุดรูของไส้ติ่ง ของเหลว สารคัดหลั่งจะไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ทำให้เกิดอักเสบ มีการติดเชื้อเกิดขึ้น          อาการของไส้ติ่งอักเสบก็คือมีการปวดท้อง ส่วนใหญ่ก็จะปวดทั่วๆ ไป อาจปวดรอบสะดือก่อน จากนั้นอีก 6-12 ชม.ต่อมา อาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ด้านขวาล่าง อาจมีไข้ต่ำ แต่ไข้มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อาการแบบนี้ คือ อาการที่มาตรฐาน Super Classic ซึ่งอาการแบบนี้ จริงแล้วพบได้เพียง 25% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออาจไม่เป็นไปตามนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับตำแหน่งของไส้ติ่ง อาจมีปวดด้านขวาบนได้ หรือ ตรงกลางได้ ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น หรือ อาการนำอาจไม่ได้ชัดเจนแบบที่บอก แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อาจมีถ่ายเหลว ถ้ายังไม่ได้รับการรักษา อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส อาการปวดอาจปวดทั้งซ้ายและขวา ซึ่งนั่นหมายถึงไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อ รุนแรง เน่า และ แตกหรือกลายเป็นฝี ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คนไข้ อายุ ขนาดของไส้ติ่ง การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไปบางส่วน แต่โดยทั่วไประยะตั้งแต่เริ่มปวดจนแตก มักไม่เกิน 3 วัน           การรักษาไส้ติ่ง แน่นอนที่สุด อย่างที่เราทราบๆ กันดี คือ การผ่าตัด ซึ่ง การผ่าตัดอาจทำได้ทั้งการดมยาสลบ หรือ การฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง ที่เรามักคุ้นกับคำว่า บล๊อกหลัง ซึ่งหลังจากนั้น ศัลยแพทย์ ก็จะทำการผ่าตัด โดยเปิดแผลขนาด 3-4 cm ที่ หน้าท้องด้านขวาล่าง ตัดไส้ติ่งออก เย็บปิดแผล นั่น คือสิ่งที่ศัลยแพทย์ทำกันมาช้านาน ตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้           ปัจจุบันแนวโน้มของการผ่าตัดพยายามลดความเจ็บปวด หรือ ความรุนแรงของการผ่าตัดลง เหมือนที่เราเคยได้ยินคำว่า Minimal Invasive Surgery ซึ่งสิ่งหนึ่งนิยมใช้กันในความหมายของ Minimal Invasive Surgery อย่างหนึ่งก็คือ การผ่าตัดด้วยกล้อง สำหรับในช่องท้องการผ่าตัดด้วยกล้อง ที่เรียกว่า Laparoscopic Surgery หรือ Keyhole Surgery ในภาษาชาวบ้าน ก็คือการผ่าตัดอย่างหนึ่ง ที่เราจะสอดกล้องเข้าไปในท้อง เพื่อสำรวจช่องท้อง และ ใช้เครื่องมือพิเศษทำการผ่าตัดแทนมือ ซึ่งปัจจุบัน เราก็ได้นำมาผ่าตัดหลายโรค ทั้ง นิ่วในถุงน้ำดี , ฝีในตับ , ผ่าตัดลำไส้ ,เลาะพังผืด , ฯลฯ รวมทั้งโรคทางนรีเวช           ไส้ติ่งอักเสบ ก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบัน สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดด้วยกล้องได้ ในมือของศัลยแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรม และ มีประสบการณ์ โดยการผ่าตัด หลังจากดมยาสลบ ศัลยแพทย์จะใช้กล้องเข้าทางแผลเล็กๆ ใต้สะดือ และ แผลเล็กๆ ประมาณ 5mm อีก 2 แผล ในบริเวณใต้ร่มผ้า เพื่อปกปิดรอยแผลผ่าตัด การผ่าตัดภายใน จริงๆแล้วก็ไม่ได้ต่างจากการผ่าตัดแบบปกติ คือมีการตัดเส้นเลือดที่เลี้ยงไส้ติ่ง รวมทั้งตัดไส้ติ่งออก ใส่ถุงปราศจากเชื้อเพื่อป้องกันการปนเปื้อนสู่ผิวหนัง ก่อนนำไส้ติ่งออกมานอกร่างกาย           ข้อดีของการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบด้วยกล้อง คือ แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว ถึงแม้ระยะเวลาในการนอน รพ. อาจไม่ต่างกับการผ่าปกติมากนัก แต่การฟื้นตัวจะเร็วกว่า ปวดแผลน้อยกว่า สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วกว่า          อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดด้วยกล้องก็มีข้อจำกัดบ้าง คือ ในกรณีถ้าไส้ติ่งมีการอักเสบที่รุนแรง หรือ มีการติดกันของเนื้อเยื่อข้างเคียง การส่องกล้องผ่าตัด อาจไม่สามารถทำได้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการผ่าตัดแบบธรรมดา          ในต่างประเทศ การผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบด้วยกล้อง ถือเป็นการผ่าตัดที่ทำกันเป็นมาตรฐาน แต่ในประเทศไทยนั้น จะสามารถทำการผ่าตัดแบบนี้ได้ เฉพาะในโรงพยาบาลชั้นนำบางแห่งเท่านั้น เพราะต้องมีเครื่องมือพิเศษ อีกทั้งศัลยแพทย์ผู้ที่จะทำการผ่าตัดให้ จะต้องมีความชำนาญ และได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำผ่าตัดแบบนี้ จึงสูงกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องบ้าง แต่นั่นก็นำมาซึ่งผลที่น่าพอใจ ทั้งในเรื่องของความสวยงามของแผลผ่าตัด การลดความเจ็บปวดและลดระยะพักฟื้นหลังการผ่าตัด           ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลวิภาวดี เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่มีบริการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบด้วยการส่องกล้อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกศัลยกรรม โทร. 02-941-2800 ต่อ 2137, 2138  นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ พบ., วว.ศัลยศาสตร์ , บธ.ม.     -Certificate Fellowship of Endoscopic and Laparoscopic Surgery , Imperial College ,London ,UK.     - แพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล     - วุฒิบัตรสาขา ศัลยศาสตร์ทั่วไป     - อนุมัติบัตร สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) ภัยร้ายของหญิงไทย

โรคมะเร็งเต้านมถือเป็นปัญหาสาธารณสุขของโลกที่ทำให้สูญเสียชีวิตของประชากรและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก พบมากเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในหญิงไทยรองจากโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมเกิดจากเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี มีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เหมือนมะเร็งทั่วไป เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ เรื่องของยีน ซึ่งในคนที่มียีนที่เป็นมะเร็งเต้านมก็อาจจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าคนอื่น ลักษณะของกรรมพันธุ์ ประวัติของคนในครอบครัว หรือไม่ก็มีญาติเป็น ซึ่งญาติที่ดูว่าเราจะมีความเสี่ยง ในปัจจุบันเราสามารถที่จะตรวจสอบยีนได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีใครทำ สาเหตุของโรค สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) ที่มีมากเกินไป เช่น มีประจำเดือนเร็ว หรือหมดประจำเดือนช้า คนที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนมาก็จะมีความเสี่ยงเรื่องมะเร็งเต้านม หรือกินฮอร์โมนเสริมบางอย่าง เช่น กินยาคุมมา 10 หรือ 20 ปี หรือมีประวัติทำเด็กหลอดแก้ว ใช้ฮอร์โมนมากๆ ก็จะเสี่ยงมากขึ้น หรือการใช้ฮอร์โมนในวัยทอง หมดประจำเดือนไปแล้ว แต่เราก็ยังใช้ฮอร์โมนอยู่    อีกอย่างหนึ่งก็คือ หญิงสาวที่ไม่มีลูก ไม่เคยตั้งครรภ์ ก็เหมือนกับว่าร่างกายได้รับเอสโตรเจน รอบเดือน ได้รับตลอดตั้งแต่อายุสิบกว่า ถึงห้าสิบ ไม่เคยหยุด ฮอร์โมนก็ออกมาจากรังไข่ของเราเอง ซึ่งการตั้งครรภ์จะทำให้มีการพักของฮอร์โมน เพราะฉะนั้น คนที่เคยตั้งครรภ์ คนที่เคยให้นมลูก ก็จะลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ โดยเฉพาะมีลูกในอายุที่ไม่มากนัก เช่น ก่อน 35 ปี แต่ถ้ามีตอนอายุมากๆ ก็ไม่ต่างกัน    สาเหตุอื่นๆ เช่น โดนรังสี เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งป้องกันได้ไม่มากนัก อย่างเคยฉายแสงที่เต้านมมาก่อน  หรือฉายแสงที่อื่นแต่โดนเต้านมด้วย เช่น ฉายปอด ก็อาจจะมีความเสี่ยงมากขึ้นนิดหนึ่ง นอกจากนี้ อาจจะมีเรื่องของการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็อาจจะเป็นได้ อาการ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะมีอาการและอาการแสดงอย่างไรขึ้นกับระยะของโรค คือถ้าเป็นระยะเริ่มต้นมากๆ จะไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะตรวจค้นหาได้จากการทำเอกซเรย์เต้านม ซึ่งต่อมาก็จะเกิดก้อนแข็งที่เต้านมแต่ไม่เจ็บในบางรายอาจเห็นรอยบุ๋มของผิวหนัง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของหัวนมจากปกติมาเป็นหัวนมบอด เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นตามกาลเวลาก็จะลุกลามกินทะลุผิวหนัง แตกเป็นแผลหรือมีการอักเสบของผิวหนัง อาจเห็นเป็นลักษณะเหมือนเปลือกผิวส้ม และอาจมีก้อนที่รักแร้โตในข้างเดียวกับก้อนมะเร็ง ในบางรายอาจมีเลือดออกที่หัวนมซึ่งสาเหตุของเลือดออกที่หัวนมส่วนใหญ่จะเป็นเนื้องอกในท่อน้ำนมที่ไม่ร้ายแรง และจะมีอีกส่วนน้อยที่มาด้วยแผลถลอกอักเสบเรื้อรังที่หัวนม ส่วนการเจ็บเต้านมเกือบทั้งหมดไม่ใช่จากมะเร็งเต้านม Checklist อาการของมะเร็งเต้านม มีก้อนที่เต้านม ( แค่ 15-20 % ของก้อนที่คลำได้เท่านั้นที่เป็นมะเร็ง) มีการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของเต้านม ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัวหนาผิดปกติ บางส่วนเป็นสะเก็ด หัวนมมีการหดตัวนม คัน หรือแดงผิดปกติ มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม ( 20 %ของการมีเลือดออกเป็นมะเร็ง) เจ็บเต้านม ( มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ไม่เจ็บ นอกจากก้อนโตมากแล้ว) การบวมของรักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต โดยทั่วไปมักมาโรงพยาบาลด้วยก้อนในเต้านม ก้อนในเต้านมที่มีลักษณะบ่งชี้  ไปในทางไม่ดีจะมีลักษณะดังนี้ โตเร็ว  แข็งขอบไม่ชัด  ติดแน่นกับเนื้อเยื่อรอบข้าง  ที่ใกล้เต้านมบริเวณดังกล่าวบุ๋มลงไป หรือผิวหนังมีลักษณะคล้ายผิวส้ม  มีหัวนมบุ๋มลงไป มีเลือดออกทางหัวนม  มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้โตร่วมด้วย กลุ่มเสี่ยง มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัว มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยกว่า 12 ปี หมดประจำเดือนช้ากว่า 50 ปี ไม่มีประวัติการตั้งครรภ์ มีประวัติการใช้ฮอร์โมนเพศทดแทนเป็นเวลามากกว่า 5 ปี คนอ้วน เคยได้รับการฉายแสงที่หน้าอก ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การตรวจมะเร็งเต้านม คุณทราบหรือไม่ว่า “ มะเร็งเต้านม “ เป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยมากเป็นอันดับที่สองรองจากมะเร็งปากมดลูก โรคร้ายนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว ดังนั้นการตรวจเต้านมเป็นประจำสามารถช่วยชีวิตคุณได้  การตรวจมะเร็งเต้านม ส่วนใหญ่ก็จะเน้นตรวจ 2 อย่าง คือ ตรวจด้วยมือ และตรวจด้วยเครื่อง คนอาจจะเข้าใจผิดว่า ตรวจด้วยเครื่องอย่างเดียวพอ ซึ่งจริงๆ แล้วการคลำโดยศัลยแพทย์ หรือโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะได้ประโยชน์ เพราะใช้เครื่องอย่างเดียว บางทีในคนที่เต้านมเล็กๆ ซึ่งมันเป็นเครื่องหนีบ เหมือนทำกล้วยปิ้ง ซึ่งในคนที่เต้านมเล็กๆ นมจะไม่ค่อยเข้าเครื่อง เข้าแต่ตรงหัวนม จะหวังพึ่งเครื่องมากในคนที่เต้านมเล็กๆ ก็จะไม่ค่อยได้ผล การใช้มือช่วยด้วย คลำที่ขอบ คือตัวมะเร็งจะมีลักษณะของมัน เช่น มันแข็ง มันติด เป็นก้อนบุ๋ม ซึ่งการใช้มือตรวจก็จะช่วยในการแยกแยะพวกนี้   เครื่องก็เป็นองค์ประกอบไว้ดู หรือไว้เพื่อยืนยันการวินิจฉัย สำหรับเครื่องเราก็จะมีดิจิตอลแมมโมแกรม การอัลตราซาวด์ แมมโมแกรมก็จะดูหินปูน ส่วนอัลตาซาวด์ก็จะดูลักษณะว่าวัดเซนติเมตรได้ แล้วก็ดูว่าถุงน้ำหรือเป็นก้อนเนื้อ ใช้คู่กันก็จะได้ประโยชน์สูงสุด การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self – Examination) 1. ยืนหน้ากระจก ปล่อยแขนข้างลำตัวตามสบายเปรียบเทียบเต้านมทั้งสองข้าง มีการบิดเบี้ยวของหัวนม หรือมีสิ่งผิดปกติหรือไม่ ประสานมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะ แล้วกลับมาอยู่ในท่าเท้าสะเอวพร้อมสำรวจหาสิ่งผิดปกติ ให้โค้งตัวมาข้างหน้าโดยใช้มือทั้งสองข้างวางบนเข่า หรือเก้าอี้ในท่านี้ เต้านมจะห้อยลง ไปตรงๆ หากมีสิ่งผิดปกติก็จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น 2. นอนราบ  นอนในท่าสบายแล้วสอดหมอนหรือม้วนผ้าใต้ไหล่ซ้าย ยกแขนซ้ายเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านนั้นแผ่ราบ ซึ่งจะทำให้คลำพบก้อนเนื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะส่วนบนด้านนอก ซึ่งมีเนื้อมากที่สุด และมีการเกิดมะเร็งมากที่สุด ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางคลำทั่วทั้งเต้านมและรักแร้ที่สำคัญคือ ห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ วิธีคลำ ใช้มือซ้ายคลำเต้านมขวา มือขวาคลำเต้านมซ้าย ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง รวม 3 นิ้ว ในการคลำ กดเบาๆ และหนักพอประมาณเพื่อที่จะรับรู้ ว่ามีก้อนหรือไม่ การคลำในแนวก้นหอย โดยเริ่มคลำจากส่วนบนของเต้านมไปตามแนวก้นหอย จนกระทั่ง ถึงฐานเต้านมบริเวณรอบรักแร้ หรือเริ่มต้นที่บริเวณหัวนม วนเป็นวงกลมไปรอบๆ จนรอบ เต้านม การคลำในแนวขึ้นลง เริ่มคลำจากใต้เต้านมถึงรักแร้ แล้วขยับนิ้วทั้งสามคลำขึ้นและลง สลับกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั่วทั้งเต้านม การคลำในแนวรูปลิ่ม เริ่มคลำจากส่วนบนของเต้านมจนถึงฐานแล้วกลับเข้าขึ้นสู่ยอดอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ ให้ทั่วทั้งเต้านม ให้ทำวิธีเดียวกันกับเต้านมด้านขวา ควรทำในทุกวัยเพื่อค้นพบสิ่งผิดปกติ อายุ 20 ปี ขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเอง ในช่วงอายุนี้ไม่จำเป็นต้องทำแมมโมแกรม อายุ 35 ปี ควรตรวจแมมโมแกรมเป็นพื้นฐานและควรตรวจทุกๆ 2 ปี อายุ 40 ปี ควรตรวจแมมโมแกรม ทุกปี อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี สำหรับผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม ควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจต้องตรวจแมมโมแกรมเร็วกว่าปกติ การป้องกัน การป้องกัน สาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่นอน การป้องกันที่ดีที่สุดคือ ค้นพบให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงควร ควรหมั่นตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการคลำเต้านมทุกเดือน ตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ เดือนละครั้ง ( Breast Self-Examination ) ตรวจเอกซเรย์เต้านม ( Mammography ) พบแพทย์ ( Physical Examination ) การรักษา ขั้นตอนการรักษานั้น คล้ายกับการรักษาโรคมะเร็งอื่นๆ อย่างแรกคือเราต้องเอาเซลล์นั้นออกไปก่อน ซึ่งการเอาออกก็ไม่ได้หมายถึงการเอาเต้านมออกทั้งเต้า คือหมายถึงเอามะเร็งออก ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายวิธีมากแต่วิธีมาตรฐานก็ยังคงเป็นแบบเดิมก็คือว่าเราต้องรู้ผลชิ้นเนื้อก่อน ไม่ว่าจะใช้เข็มเจาะ ดูดหรือตัดชิ้นเล็กๆ มาตรวจ ซึ่งถ้าเป็นมะเร็งจริงๆ มันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น ขึ้นอยู่กับอายุ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อน ซึ่งถ้ายังเป็นไม่มาก เป็นน้อยๆ เป็นอยู่ห่างๆ และเต้านมยังดูดีอยู่ บางทีเราอาจจะไม่ต้องเอาเต้านมออกก็ได้ สามารถผ่าเอาแต่ตัวมะเร็งออกให้เกลี้ยง ร่วมกับการเช็คต่อมน้ำเหลือง และฉายแสงเต้านมที่เหลือ แต่วิธีมาตรฐานคือ ถ้าเราไม่ได้สนใจมากนักหรือมะเร็งก้อนใหญ่หรือไม่อยากฉายแสง การเอาเต้านมออกก็ยังเป็นวิธีที่มาตรฐาน แต่บางคนก็ไม่อยากเสียเต้านม หรือปัจจุบันเราก็มีการศัลยกรรมที่เสริมสวยเต้านมขึ้นมา อาจจะใช้เนื้อเยื่อตัวเอง หรือใช้ถุงซิลิโคนเข้ามาช่วย ก็สามารถทำได้ ก็ต้องดูเป็นรายๆ ไป แต่ยังไงก็ต้องเอาเซลล์มะเร็งออกไปก่อน ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเซลล์มะเร็งแล้วว่า จะใช้เคมีบำบัดร่วมด้วย แล้วก็เรื่องของการใช้ฮอร์โมน ขึ้นอยู่กับชิ้นเนื้อที่ไม่เหมือนกัน แต่หลักการก็คือ อันไหนใช้ได้และมีประโยชน์ต้องทำหมด ไม่ว่าจะเป็นมากหรือเป็นน้อยก็ตาม สำหรับคนที่ตรวจเจอมะเร็งเต้านมเพียง 1 ข้าง และรักษาตามขั้นตอนแล้ว ต้องเช็คแมมโมแกรมเหมือนกัน เพราะว่ามีโอกาสเป็นซ้ำขึ้นมาได้ ก็เหมือนคนที่เคยเป็นก็อาจจะเป็นอีกได้ แต่ว่าถ้าเป็นก้อนเล็กๆ เซลล์คงตายไปตั้งแต่เคมีบำบัดแล้ว แต่เราก็ต้องเช็คอีกข้าง เพราะมีโอกาสเป็น 20-30% เหมือนกัน ต้องเช็คแมมโมแกรมทุกปีเหมือนเดิม ข้างเดิมเราก็ดูแลไป อาจจะเอกซเรย์ ทำอัลตราซาวด์ซ้ำ เหมือนตรวจมะเร็งทั่วไป ติดตามไปเรื่อยๆ ระยะเวลาหลังจากผ่าตัด และทำเคมีบำบัด ส่วนใหญ่ทั้งหมดจะจบภายใน 6 เดือน เริ่มผ่าตัดเสร็จแล้ว ถ้าไม่ดีจริงๆ ต้องให้เคมีบำบัด บางคนก็ให้ทุก 3 อาทิตย์ 6 ครั้ง หลังจากนั้นก็ดูชิ้นเนื้อว่ามีตัวรับฮอร์โมนไหม ถ้ามี ก็เป็นเรื่องของฮอร์โมนที่เป็นยาเม็ด อีก 5 ปี หรือบางคนมีเรื่องของยีนก็จะมีตัวที่เกี่ยวกับ gene turn tool ที่เป็นตัวยีนอยู่บนเนื้องอก อันนี้อาจจะมีการฉีดยาเดือนละครั้ง 1 ปี ก็แล้วแต่ชนิดของเนื้องอก แต่ทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเรื่องหลัง หลักๆ แล้วก็อยากจะให้เน้นเรื่องการตรวจเช็คประจำปี เพราะการพบในระยะแรกๆ จะสำคัญที่สุด เพราะการรักษาอาจมีเปลี่ยนทุกปี เดี๋ยวก็จะมียาใหม่มาเรื่อยๆ มีเคมีบำบัดตัวใหม่ๆ มีฮอร์โมนตัวใหม่ๆ รวมถึงตารางการรักษาก็ยังเปลี่ยนเรื่อยๆ ต้องบอกก่อนว่า มะเร็งเต้านมอยู่ข้างนอก สามารถตัดออกไปได้ ทำให้เราตรวจง่าย เห็นชัด เมื่อเทียบกับมะเร็งตับ มะเร็งปอด ซึ่งอยู่ข้างในและไม่ค่อยมีอาการ ถ้ามีบางทีก็ลุกลามไประยะสุดท้าย มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ถ้าคุณผู้หญิงใส่ใจ คลำๆ ละเอียดๆ เดือนละครั้ง เห็นอะไรแปลกๆ รีบมาโรงพยาบาล จะสามารถทำนายโรคได้หลายๆ อย่าง ในระยะแรกๆ จะไม่เหมือนมะเร็งปากมดลูก และอีกส่วนหนึ่งก็คือ มะเร็งเต้านมการลุกลามมันก็จะเข้าต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ มักจะเป็นทางของตัวมะเร็งเอง นั่นคือเวลาผ่า ก็จะผ่ามะเร็งเต้านมก่อน แล้วก็จะดูต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ว่าลุกลามไหม ไม่เหมือนมะเร็งตับ มะเร็งปอด พวกนั้นจะมีหลอดเลือดเยอะ  การลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียงทำได้ง่ายมาก เช่น มะเร็งปอดอยู่ใกล้ขั้วต่อมน้ำเหลือง ใกล้ขั้วเส้นเลือดใหญ่ ใกล้หัวใจ เวลามันลามก็จะติดตรงนั้น แล้วก็จะลุกลามเร็วมาก มะเร็งเต้านมถ้าตรวจเจอในระยะแรกๆ แทบจะบอกได้เลยว่า หาย 100% ควรหมั่นตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการคลำเต้านมทุกเดือน ตอนอาบน้ำ หรือไม่ก็นอนคลำ โดยใช้มือฝั่งตรงข้ามคลำ ถ้าคลำแล้วเจออะไรแปลกๆ ก็ปรึกษาแพทย์ ควรเริ่มคลำตั้งแต่อายุ 20 กว่าก็ได้ ซึ่งก้อนส่วนใหญ่จะเป็นถุงน้ำ เนื้องอกธรรมดา เหล่านี้ก็จะไม่มีความแข็ง กลิ้งไปกลิ้งมา มีโตๆ ยุบๆ ได้ นี่คือลักษณะของเนื้อปกติ หรือเนื้อดี แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายก็จะโตอย่างเดียว ไม่มียุบ แล้วก็แข็ง ขอบจะไม่ค่อยชัด จะติดๆ ไม่ค่อยกลิ้ง พวกนี้จะเป็นระยะเริ่มแรก แต่ถ้าเป็นท้ายๆ หนักเข้าก็จะเริ่มมีรอยบุ๋ม และแข็งไม่เคลื่อนที่ไปตามเต้านม สรุป หากพบว่าผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉันแต่เนิ่นๆ ตรวจร่างกาย รวมทั้งทำ mammogram เป็นการ x-ray เพื่อ check เต้านม ทำปีละครั้ง ไปเรื่อยๆทุกปี ด้วยความปรารถนาดี - คลินิกศัลยกรรม รพ.วิภาวดี  แพทย์ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ แผนกศัลยกรรม  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

จัดตู้ยาเตรียม พร้อมรับมือกับโรคไข้หวัด

 ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ หลาย ๆ บ้านเจอปัญหาไข้หวัดเล่นงานซะแล้วหละครับ ยิ่งใครที่ชอบอวดว่าตัวเองแข็งแรงหวัดเล็กหวัดใหญ่ไม่เคยมากร้ำกรายก็ยิ่งต้องระวังเอาไว้ให้มากเพราะในตู้ยาบ้านคุณอาจจะขาดอุปกรณ์รับมือกับโรคหวัดและพอมันเข้ามาจู่โจมก็แทบตั้งตัวไม่ทัน จริง ๆ แล้วในช่วงหน้าหนาว จะมีคนป่วยเป็นไข้หวัดกันเยอะครับแถมยังมีสถิติด้วยว่่า ปริมาณคนป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี ดังนั้น เราจึงควรเตรียมตู้ยาประจำบ้านของเราเอาไว้ให้พร้อมเสมอครับ และยารวมทั้งอุปกรณ์ ดูแลรักษาไข้หวัด ในต่างประเทศจะเรียกว่า Flu Survival Kit ก็ล้วนเป็นยาและอุปกรณ์ทึ่เราหาซื้อได้ไม่ยาก ยาและอุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง เช่น ยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้ไอ แก้เจ็บคอ หรือยาลดน้ำมูก คุณผู้อ่านก็อาจจะมีอยู่ที่บ้านแล้วก็ได้ครับ คราวนี้เรามาแจกแจงกันให้ละเอียดเสียหน่อยดีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณควรจะจัดเตรียมแล้วเสมอครับ เพื่อที่จะรับมือกับไข้หวัดได้ทันท่วงที สิ่งที่เรามักใช้กันเมื่อเราเป็นหวัด ได้แก่ ยาลดไข้ บรรเทาปวด(Fever and pain reliever) ยาแก้ไอ(Cough syrups and drop) สเปรย์พ่นจมูก(Nasal sprays) ยาลดอาการแน่นจมูก หายใจไม่ออก(Decongestants) ปรอทวัดไข้ Thermometer กระดาษทิชชู แต่มีข้อควรระวังที่ต้องบอกกันก่อนนะครับ นั่นคือ ก่อนที่คุณจะให้ยาใด ๆดังที่กล่าวไว้ข้างต้น กับเด็กต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะยาแก้หวัด แก้ไอบางอย่าง มีฤทธิ์กดระบบประสาท อาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กๆได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปีรวมถึงผู้ใหญ่ที่มีโรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ ก็ต้องระวังและต้องตรวจเช็คกับแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนที่จะรับประทานยานะครับ ที่นี้มารู้จักยาที่เรามักใช้ในการรับมือกับโรคหวัดครับ ยาลดไข้ กลุ่ม Acetaminophen หรือที่เรารู้จักกันดีคือ Paracetamol ยาในกลุ่มนี้ เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย สามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ๋ ไม่ระคายกระเพาะอาหาร สามารถลดไข้ บรรเทาปวดได้ดีพอสมควร ข้อควรระวังของยาในกลุ่มนี้คือ ยามีผลข้างเคียงกับตับได้ โดยเฉพาะผู้ที่ตับไม่ปกติ หรือ รับประทานเกินขนาดมากๆ อาจทำให้ตับพังได้ อีกอันคือ พวกแพ้ยา ซึ่งก็ห้ามทานอยู่แล้วคงไม่มีใครในโลกที่ที่เกิดมาแล้วไม่เคยกินยาลดไข้ ยาลดไข้เป็นยาที่อยู่คู่กับเรามาตลอด ตั้งแต่ผมจำความได้ ยาที่เรานิยมใช้กัน มี 2 กลุ่มคือ กลุ่ม NSAID (Non-Steroid Anti-inflamatory Drug) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า มันคือยาที่ลดการอักเสบ ทีไม่ใช่ Steroid ฟังดูอาจไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า Aspirin หรือ Ibuprofen หรือ ทัมใจ ฯลฯ ยาพวกนี้ สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา เป็นยาที่สามารถลดไข้ บรรเทาปวดได้ดี ดีกว่า Paracetamol ด้วยซ้ำ แต่ก็มีฤทธิ์ข้างเคียงที่มากกว่า ไม่่ว่าจะเรื่องของการระคายกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด หรือ กระเพาะทะลุไปเลยได้ครับ นอกจากนั้นยังทำให้การทำงานของเกล็ดเลือดแย่ลง ทำให้เลือดหยุดยากขึ้น ในกรณีที่เป็นโรคไข้เลือดออก การทานยากลุ่มนี้ไป อาจทำให้อันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆ เลยครับ ยังไม่นับเรื่องการแพ้ยา ฯลฯ นั่นคือ ยากลุ่มนี้ จึงไม่เหมาะที่จะซื้อทานเอง โดยเฉพาะถ้้ายังไม่แน่ใจว่า เป็นโรคอะไรแน่ ควรไปพบแพทย์ก่อนครับ นั่นคือ ดูเหมือน Paracetamol น่าจะดูใช้ง่ายกว่า อันตรายน้อยกว่าครับ เป็นยาที่สามารถซื้อติดบ้านและทานได้ ถ้ารู้สึกมีอาการดังกล่าวครับ ยาแก้ไอ ยาดังกล่าวทำอะไรได้บ้าง และใช้อย่างไร แนะนำดังนี้ครับในการดูแลอาการไอนั้น จะมียาอยู่ 3 ประเภทคือ Expectorant ที่เราเรียกกันว่า ยาขับเสมหะ , Mucolytic หรือ ยาละลายเสมหะ และ Suppressant ยากดการไอซึ่งมีส่วนผสมของ Dextromethorphan สุดท้ายคือพวกยาอมทั้งหลาย ยาขับเสมหะ ละลายเสมหะ ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย มีขายตามร้านขายยา เราจะคุ้นหูมากๆจาก โฆษณาทั้งหลาย เช่น Bisolvon , Mucosolvan , ไอโคลิด ,มิวโคลิด ฯลฯ ก็พวกๆนี้ทั้งนั้น ยาพวกนี้จะทำให้เสมหะไม่ข้น สามารถไอออกได้ง่าย ทำให้ไม่มีเสมหะค้างมาก ก็จะหายไอไปเอง เป็นยาที่สามารถซื้อเก็บไว้บ้านได้ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ค่อยมีแพ้ยา หรือ ฤทธิ์ข้างเคียง ทานให้ตามขนาดที่กำหนดเป็นใช้ได้ ควรทานน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้เสมหะใสขึ้น  ยากดการไอ ยาพวกนี้จะใช้ได้ผลดี เมื่อมีอาการไอแห้ง ๆ และไม่มีเสมหะ ซึ่งมันจะทำให้เราไม่ไอ ข้อดีคือ เราจะรู้สึกสบายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ไอ แต่ก็มีอันตรายที่สูง เนื่องจาก ยาบางชนิดในกลุ่มนี้ อาจมีการกดระบบประสาท ทำให้ง่วงซึม บางชนิดทำให้เกิดการเสพติด หรือ ในกรณีที่มีเสมหะมากๆ ยาชนิดนี้ จะไปกดการไอ ทำให้เสมหะไม่ออก อาจทำให้อาการไม่สบายของเรา ยิ่งไปกันใหญ่ นั่นคือ ควรระวังในการใช้ยา ไม่แนะนำให้ซื้อทานเอง โดยเฉพาะในเด็ก ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ยาอม ก็เป็นยาที่มีขายกันทั่วไปตั้งแต่ร้านขายยา ยันร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่ก็จะมีสรรพคุณ ส่วนประกอบคล้ายๆกันคือ มียาชา ทำให้เราไม่เจ็บคอ มี Menthol ทำให้เย็น โล่งคอ จมูก บางตัวก็อาจมียาฆ่าเชื้อนิดๆ หน่อยๆผสมลงไปให้ดูดี บางเจ้าก็เอาVitamin C ใส่ลงไปทำให้ อร่อย ช่วยแก้หวัด(หรือเปล่า) ยิ่งบางเจ้ามีการ Differentiated Product ให้หลากหลายทั้ง Sugar Free , เม็ดใส สวย ทำเป็นน้ำยาบ้านปาก กลั้วคอก็ยังมี ( แพงด้วยอีกต่างหาก)ฯลฯ พวกนี้ ก็เป็นยาที่ไม่ค่อยมีพิษภัยเท่าไหร่ สรรพคุณไม่ชัดเจน เหมือนยาผีบอก แต่ทานแล้ว มันก็ทำให้สบาย ชาที่คอ ไม่เจ็บคอ ถ้าไม่แพ้ หรือ ไม่ทานเกินขนาด ไม่น่ามีปัญหา ยาแก้น้ำมูก คัดจมูก แน่นจมูก ยาแก้ภูมิแพ้ บางทีเราก็เรียกว่า ยาแก้แพ้ ยานี้ ก็มีขายกันทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เรารู้จักกันดีคือ ยา Chlorpheniramine เป็นยาเก่าแก่ กินกันมานาน ออกฤทธิ์ได้ดี (บางที ดีเกิน คือ ทั้งน้ำมูก น้ำลายแห้งไปหมด คอแห้งไปเลย) ราคาถูกมาก มากๆ ไปซื้อ 1 เม็ดคนขายอาจไม่พูดด้วย เพราะเขาขายกันเป็นร้อยเม็ดครับ ยานี้ ก็สามารถซื้อเก็บไว้บ้านได้ ทานได้ ช่วยลดอาการแพ้อากาศ หรือ น้ำมูกได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้ร่วมด้วยจะได้ผลดี ฤทธิ์ข้างเคียงคือ ยาทำให้ง่วงครับ บางคนอาจยิ่งชอบ กินแล้วจะได้นอนๆ ไปซะ ปัจจุบัน ก็มียาใหม่ออกมามากมาย คือ ทำให้ไม่ง่วง คอไม่แห้ง กินวันละครั้ง ออกฤทธิ์ยาว ยาพวกนี้ แนะนำให้ไปหาหมอดีกว่า เพราะราคาแพง การไปซื้อทานเองอาจไม่คุ้ม ถ้าแพทย์ดูแล้วไม่จำเป็น เพราะบางชนิด ยิ่งตัวที่ออกมาใหม่ๆ เม็ดเดียวซื้อ Chlorpheniramine ได้สัก300 เม็ดเลย ( นี่พูดจริงนะครับ) นั่นคือ ไปหาหมอดีกว่า ถ้าอยากกินยาแบบนั้น อาการคัดจมูก แน่นจมูก เป็นอาการที่ให้เรารู้สึกป่วยได้มากๆ เช่นเดียวกัน ยาที่ใช้ในกลุ่มนี้มีหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน เช่น ยากินแก้แน่นจมูก พวกนี้ ได้แก่ยากลุ่ม Pseudoephredineที่เราคุ้นๆ กันในชื่อ Maxiphed , Actifed( อันนี้มียาแก้แพ้ผสมด้วย)เป็นยาที่ใช้ได้ดี มีทั้งแบบเม็ด และแบบน้ำสำหรับเด็กเป็นยาที่่หาซื้อได้ง่าย ส่วนตัวผมเอง ไม่แนะนำให้ไปซื้อยาทานเองครับ ยาพวกนี้ มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่นทำให้ใจสั่น ปวดหัว เวียนหัวได้ ในเด็กอาจทำให้ฝันร้าย ร้องกวนได้  สเปรย์พ่นจมูก เป็นทางเลือกหนึ่งที่บางท่านชอบ โดยจะมีชนิดที่เรียกว่าSaline nasal sprays ครับการใช้ Saline nasal sprays จะช่วยทำความสะอาดจมูก และลดอาการแน่นเนื่องจากไข้หวัด ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น อีกทั้งสเปรย์ชนิดนี้ไม่มีตัวยาผสมอยู่ จึงสามารถใช้ได้หลายครั้ง อาจจะสัก 2ครั้ง ต่อชั่วโมงก็ยังได้ ส่วนชนิดที่เป็นยา ทั้งยาแก้แน่น หรือ Steroid พวกนี้ ควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อมาพ่นเอง เพราะอันตราย บางตัวอาจทำให้ จมูกแน่นขึ้นหลังใช้ไปนานๆ จริงๆ ยังมียาอีกกลุ่ม ที่ปกติ แพทย์ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ ชาวบ้านจะรู้จักมากกว่า คือ ยาที่นำยาที่กล่าว ๆมา มาผสมกัน All in One เลย ส่วนใหญ่จะเอา ยาลดไข้ ผสมยาลดน้ำมูก คือ เอา Paracetamol ผสมกับ Chlorpheniramine ครับ กินแล้วก็ลดได้ทั้งไข้ ทั้งน้ำมูก ที่เรารู้จักกันดี ก็พวก Tiffy , Decolgen ฯลฯ เวลาทีวี จะมีโฆษณาของยาทำนองนี้บ่อย โรงหนังก็ไม่เว้น ( แสดงว่ามันคงขายดีมากๆ) ส่วน Tylenol ซึ่งเป็น Brand ที่ดังมาก ก็ยังทำออกมาเลย ชื่อว่า Tylenol Cold พวกเราอาจไม่เคยได้ยิน (เพราะมันไม่ Sponsor เวลาถ่ายทอดกีฬาหนะ) จริงๆ มันก็ใช้ได้ดีนะครับ ก็ไม่ต่างจากการกินแบบแยกกัน แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ เรื่องของขนาดยา ว่า แต่ละเม็ดมันมี ยาอะไร เท่าไหร่กี ่ มิลลิกรัม เพราะส่วนใหญ่ เนื่องจากยาหาง่าย คนก็กินเยอะ บางครั้งไปกินปนกับยาปกติอีก เพราะไม่ทราบว่ามันตัวเดียวกัน เช่นกินทั้ง Tiffy ทั้ง tylenol ซึ่งทั้ง2 ตัวก็มี Paracetamol เป็นส่วนประกอบทั้งคู่ บางครั้งอาจทำให้เกินขนาด หรือ บางทีไม่ได้ มีน้ำมูก แต่่พอกินยาแบบนี้ ก็ได้ยาลดน้ำมูกไปโดยไม่จำเป็นครับ ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ,ยาฆ่าเชื้อ หรือ Antibiotic หรือที่พวกเราๆ ชอบเรียกกันว่า ยาแก้อักเสบ (ไม่รู้ไปเอามาจากไหน แต่ก็เรียกกันแบบนี้ทั้งประเทศ)เป็นยาเอาไว้สำหรับฆ่าเชื้อโรค ซึ่งการใช้ยาในกลุ่มนี้ ่จริงๆแล้วควรได้รับการดูแลจากแพทย์ ไม่ควรซื้อยาเอง ยิ่งไปกวานั้นจริงๆ แล้ว โรคไขหวัด มากกว่า 80% เกิดจากเชื้อ Virus ครับ ซึ่งไม่ต้องทานยาแก้อักเสบ กินยาตามอาการ กินน้ำเยอะๆ นอนเยอะๆมันก็หายเองได้ครับ การทานยาแก้อักเสบพร่ำเพร่อ จะทำให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย ซึ่งทำให้รักษาได้ยากขึ้นอีกทั้งบางชนิดยังส่งผลถึงการดื้อยาโดยรวมของระบบเลยครับ นั่นคือ ไม่ควรกินเอง ควรไปพบแพทย์ครับ เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ เครื่องวัดไข้ก็มีหลายชนิดครับอุปกรณ์อีกชนิดที่ควรมีติดตู้ยาที่บ้านไว้ก็คือ ที่วัดไข้ ที่เราชอบเรียกกันแต่โบราณว่า ปรอทวัดไข้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยครับ เพื่อที่คุณจะได้วัดอุณภูมิร่างกาย และรับประทานยาลดไข้ เมื่อมีอาการไข้ เพราะบ่อยครั้งที่เราทานยาลดไข้ ไปโดยไม่มีไข้ หรือ บางทีก็คิดว่าคนใกล้ตัวมีไข้ เพราะเอามือที่ออกจากห้องแอร์ ไปจับหน้าผากเด็ก แล้วร้อนก็คิดว่า มีไข้ ปรอทแก้ว แบบที่ข้างในเป็นปรอทเลยที่แม่นยำมาก ตามหลักวิชาการเลย คือ ใช้อมใต้ลิ้น ข้อดีคือ ไม่ต้องใส่ถ่าน ไม่มีพัง ถ้ามันไม่แตกซะก่อน ราคาถูก ข้อไม่ดีของมันคือ มันดูยาก ต้องคนใช้เป็นเป็นไม่งั้น ดูไม่่ออก , ต้องใช้เวลาในการอม แล้ว รอ ถ้าเอาออกเร็วค่าอาจไม่ถูกต้อง ,ในเด็กจะใช้ยาก เด็กไม่อม กัด เอามาเหน็บรักแร้ ก็ไม่แม่นยำ ปัจจุบัน ปรอทแบบอมที่ทำออกมาเป็น Digital เช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาในการอมเหมือนปรอทจริงๆ ที่วัดแบบแปะหน้าผาก ก็ราคาไม่แพง ใช้ง่าย แต่ ก็พังง่าย ไม่แม่นยำมากนัก แบบวัดที่หูโดยใช้Infrared ก็เป็นนิยมใช้กันมากขึ้น ทั้งที่บ้าน และ ตามรพ.ข้อดี คือ ใช้ง่าย ไม่ต้องรอนาน ข้อเสีย คือ ราคาสูง มีอายุการใช้งาน ต้องใส่ Battery, การวัดต้องวัดเป็น คือ ต้องให้แสงไปตกกระทบเยื่อแก้วหู ต้องมีการดึงใบหูร่วมด้วยอยากถูกต้องมิฉะนั้น ค่าจะผิดพลาด ในการวัดไข้นั้น มีข้อแนะนำอย่างหนึ่งคือ ถ้าวัดทางปาก ไม่ควรวัดทันทีหลังจากดื่มน้ำร้อน หรือน้ำเย็นนะครับ เพราะค่าอาจไม่ถูกต้องได้ ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำอะไรดี?เวลาไม่สบาย คนโบราณ ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็มักจะบอกให้กินน้ำเยอะๆ ไม่ผิดหรอกครับ เพราะการดื่มน้ำเยอะ จะทำให้ระบบไหลเวียนทำงานได้ดี ลดความร้อน ช่วยให้เสมหะ ไม่เหนียว ไอออกได้่ง่าย น้ำที่ทาน เอา ง่ายสุดก็"น้ำเปล่า"นี่แหละครับ จะร้อนจะอุ่นจะเย็น ก็ได้ทั้งนั้น สมัยก่อนเขาชอบให้กินน้ำอุ่น เพราะมันไม่ระคายคอ ไม่ทำให้น้ำมูกไหลถ้าเราพวกแพ้อากาศเย็น แต่จริงๆก็ไม่ได้บังคับ ทานน้ำเย็นก็ได้ น้ำอื่นที่ทานได้ ก็อาจ"น้ำผลไม้" เพราะอาจได้วิตามินไปเสริม(อันนี้ก็ผีบอก อย่าไปจริงจังมาก คิดว่ากินแล้วอร่อยก็ OK แล้ว) แต่ถ้าหวานไป อาจทำให้อ้วนได้ครับ พวกน้ำเกลือแร่ถ้าเราไม่ได้มีอาเจียนหรือท้องเสียมากๆ ก็ไม่จำเป็นครับ น้ำที่ไม่ควรกินได้แก่น้ำอัดลม อันนี้แน่นอน ไม่มีประโยชน์ อาจทำให้แน่นท้อง ระคายกระเพาะ ทำให้อ้วน กินข้าวไม่ลง กินน้ำได้น้อยลง นม นี่บางคนเขาว่า อาจทำให้คลื่นไส้ แน่นท้อง แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นก็น่าจะทานได้ครับ ปริมาณของน้ำที่ทาน บางคนก็ว่า 2 ลิตร 3ลิตร ต่อวัน จริงๆแล้วมันขึ้นกับกิจกรรมของแต่ละคน อากาศ แต่เอาง่ายว่าน้ำพอมั้ยคือ ดูน้ำที่ออกจากตัวเรา ไม่ต้องไปดูที่อื่นเลย มันคือ ปัสสาวะนั่นเอง ถ้าปัสสาวะเราสีใสดี แปลว่าเราทานน้ำได้เพียงพอครับ ก็ทานแบบที่ทำอยู่ต่อไป เพียงพอแล้ว แต่เราดูสีปัสสาวะแล้วสีเข้มมากแบบนี้แปลว่าทานน้ำไม่พอ จะกี่ิลิตรกี่แก้วต่อวันก็ไม่สนหละครับ ต้องทานให้มากกว่านั้น ยกตัวอย่าง คุณตำรวจจราจรยืนโบกรถทั้งวัน ทานน้ำวันละ3 ลิตร ก็อาจไม่พอ เพราะมันเสียไปทางอื่นหมด เทียบกับหนุ่ม Office เปิดแอร์นั่งโต๊ะมีคนชงกาแฟให้กิน กินน้ำวันละ 1.5 ลิตร ก็บ่นแล้วว่าปัสสาวะทั้งวัน อันนี้สามารถใช้ได้กับคนที่ไตทำงานปกติ สุดท้าย ที่ขาดไม่ได้ ก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอครับ นอนเยอะๆครับ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์ทั่วไป  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เส้นเลือดขอด(Varicose Vein)

เส้นเลือดขอด(Varicose Vein) โรคเส้นเลือดขอด เป็น โรคของหลอดเลือดที่พบบ่อยที่สุด           คำว่า เส้นเลือดขอด หรือ Varicose vein นั้น หมายถึง การที่หลอดเลือดดำในบริเวณใต้ผิวหนังชั้นตื้น (Superficial veins) มีการโต ขยายขนาด คดเคี้ยว ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่าในขณะที่เรายืน อุบัติการณ์ของโรค           โรคนี้ มักพบใน สตรี อุบัติการณ์ เพิ่มขึ้นตาม อายุ น้ำหนักตัว จำนวนบุตร ความสัมพันธ์ กับ อาชีพที่ต้องยืนนั้น พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ ที่แน่นอน เช่น ยืนน้อย           อาจเป็นได้ ยืนมากๆ อาจเป็นน้อยกว่า อย่างไรก็ตามพบว่า การยืน หรือนั่งนานๆ ก็ มีส่วนที่ทำเกิด  สาเหตุ           ปัจจุบัน ยังไม่มีการระบุ แน่ชัดว่า สาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากอะไร มีสมมุติฐานมากมาย          สมมุติฐานที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ เกิดจากความผิดปกติ (Weakness) ของ ลิ้น(Valve) และผนังหลอดเลือด ซึ่งลิ้นในหลอดเลือดดำนั้น เป็นกลไกสำคัญในการป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ โดยปกติ ในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นภายในเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับ นั่นคือเมื่อเรายืน ลิ้นก็จะเป็นตัวป้องกันเลือดไหลย้อนลงมา ดังภาพซ้ายมือ เมื่อมีความผิดปกติ ของ ลิ้นและ ผนังหลอดเลือด เลือดไม่สามารถผ่านไปได้หมดทำให้เลือด ไหลย้อนกลับทำให้ เกิด การขยายตัวของเส้นเลือด เกิดการเสื่อมของความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด จนกลายเป็นเส้นเลือดขอดตามมา  อาการ      • อาจจะมีอาการปวดแบบไม่มีแบบแผนที่แน่ชัด(Non-specific),รู้สึกว่าขาหนักๆเป็นผล มาจากการที่มีเลือดมา pool ที่ขา ทำให้เส้นเลือดที่ขาโป่งออก      • อาการจะแย่ลง เมื่อยืน หรือ นั่งนานๆ จะดีขึ้นเมื่อยกขาสูงกว่าหัวใจ      • ปกติ จะไม่มีบวม อาการบวมอาจเกิดจากมีความผิดปกติ ของหลอดเลือดชั้นลึกด้วย      • อาการปวดกล้ามเนื้อเวลานอนมักไม่ค่อยมีถ้ามีอาจต้องสืบค้นเพิ่มเติมอาจมีเรื่อง ของหลอดเลือดแดงร่วมด้วยได้  การรักษา          การรักษา แบ่งเป็น 2 อย่าง      1.การรักษาแบบ ประคับประคอง(Conservative treatment) โดยทั่วไป จะใช้วิธีนี้ ซึ่งจะเน้นหนักไปทางการป้องกัน และรักษาตามอาการมากกว่า ซึ่งสามารถทำได้โดย สวมถุงน่อง ชนิดพิเศษ ซึ่งจะมีความหนา และแน่น กว่าถุงน่องทั่วไป โดยทั่วไป จะมี ความดัน อยู่ในช่วง 20-30 mmHg การสวมจะต้องสวมตั้งแต่ โคนขา ถึง ข้อเท้า สวมน้อยกว่านี้ เช่น เฉพาะตรงเส้นเลือด ไม่ได้ผล      2.การรักษาแบบเฉพาะ (Specific treatment) ซึ่ง จะทำการรักษา แบบนี้ เมื่อ มีอาการมากขึ้น มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น รวมทั้ง ในแง่ความสวยงาม ภาวะแทรกซ้อนของโรคเส้นเลือดขอด มีดังนี้       -เลือดออก      -มีแผลเรื้อรัง ไม่หาย      -มีผิวหนังอักเสบ      -มีภาวะเส้นเลือดอุดตัน  การรักษา แบบนี้ มี 2 อย่างคือ      1. การฉีดสาร Sclerosing เข้าไปในหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้ เส้นเลือดนั้น ฝ่อ แล้วยุบตัวไป นิยมทำกันในเส้นเลือด ขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก หรือ ใช้กับ เส้นเลือดที่หลงเหลือ หรือเป็นซ้ำ หลังจากการผ่าตัด  ข้อดี คือ      - ไม่ต้องผ่า ไม่ต้องนอน รพ. ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีด       - แพ้สารที่ฉีดได้      - อาจเกิด เส้นเลือดอุดตันได้      - มีผิวหนังอักเสบ ถ้ายาที่ฉีด มีการซึมออกนอกเส้นเลือด      2. การผ่าตัด               เหมาะกับ หลอดเลือด เป็นยาวเกือบทั้งขา ขนาดใหญ่ ไม่สามารถฉีด Scerosing Agent ได้ ไม่ว่าจะรักษา ด้วยวิธีใด หลังจากนั้น ควรสวมถุงน่อง เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ สวมเวลาที่ต้องทำงาน ที่ยืน หรือเดิน  โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) รักษายังไง ต้องผ่าไหม

ริดสีดวงทวารเกิดจากการโตขึ้นกลุ่มของ เส้นเลือด และเนื้อเยื่อ บริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรง ที่เรียกว่า hemorrhoidal tissue ในคนปกติจะมีริดสีดวง (hemorrhoidal tissue) ทุกคน โดยจะอยู่บริเวณ ส่วนล่างของ ทวารหนัก   เนื้อเยื่อริดสีดวงมีหน้าที่หน้าที่ปกติจะมีหน้าที่ ป้องกัน กล้ามเนื้อของทวารหนัก รวมทั้งหูรูด ระหว่าง ถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ ทวารหนักปิดได้สนิท ในขณะที่เราอยู่เฉย  สาเหตุของโรค  ริดสีดวง เกิดจากการโตขึ้น ของ เนื้อเยื่อ Hemorrhoid  ซึ่งสาเหตุแบ่งง่ายๆ เป็น 2 อย่างคือ  เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณนั้น  เกิดจากการเพิ่ม ความดัน ต่อ กำบังลมด้านล่าง (Pelvic Floor)  นานๆ ซึ่งการเพิ่มความดัน ดังกล่าวเกิดได้จาก  การเบ่งอุจจาระบ่อยๆ จากท้องผูก  การยกของหนัก  การยืนนานๆ  รวมทั้งการตั้งครรภ์ จากการที่มีเด็กอยู่ทำให้เลือดไหลกลับไม่สะดวก  จากสาเหตุดังกล่าวทำให้ กลุ่มเส้นเลือดดังกล่าวโตและ ยืดออก  ซึ่งการที่มีเลือดออกนั้นเกิดจาก การที่มี การบาดเจ็บของเส้นเลือด บริเวณดังกล่าว (Local Injury)  ที่เจอบ่อยๆเกิดจาก อุจจาระที่แข็งมากๆ ร่วมกับ การเบ่งนานๆ ทำให้จะมีเลือดสดๆ ไหลออกจากทวารหนัก  ประเภทของริดสีดวง เราแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2  ชนิด คือ  1. ริดสีดวงภายใน  คือริดสีดวงที่อยู่เหนือเส้นสมมุติที่เรียกว่า dentate line (บริเวณแถวๆ รอยที่หยักๆครับ) จะมีลักษณะที่สังเกตง่ายๆ คือ จะคลุมด้วยเยื่อบุของทวารหนัก  ไม่ใช่ผิวหนัง ด้านนอก  จะไม่เจ็บ  ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน  ส่วนใหญ่มักเป็นอันนี้กัน ริดสีดวงภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ  ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก  มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ และหดกลับเข้าไปได้เอง  มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ แต่ไม่หดกลับเข้าไปต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป  มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้ 2.ริดสีดวงภายนอก  คือริดสีดวงที่อยู่ใต้เส้น Dentate line  สังเกตง่ายๆคือ จะเป็นก้อนทีอยู่ข้างนอก  ส่วนที่คลุมก้อน จะเป็นผิวหนัง  มักมีอาการคัน  และ เจ็บมากกว่า ริดสีดวงภายใน  หลังจากอาการหายไป บางครั้ง  ติ่งผิวหนังนั้นอาจยังอยู่ กลายเป็นติ่งเนื้อที่เรียกว่า Skin Tag อาการ อาการของโรคนี้ที่มีพบแพทย์  มี 3 อาการ  1. ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ลักษณะจะเป็นดังนี้คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน ( ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆ หยดออกมา ตามหลังจากอุจจาระ  เลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆ มักไม่มีมูกเลือดปน 2. มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระ ขณะที่เบ่งอุจจาระ จะมีก้อนยื่นออกมา  หรือ มีก้อนออกมาตลอดเวลา  ขึ้นกับ ระยะที่เป็น 3.เจ็บบริเวณ ทวารหนัก ปกติ  ริดสีดวงจะไม่เจ็บ  จะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน (Thrombosis)  หรือ มีเนื้อเยื่อตาย (Necrosis) การรักษา ขึ้นกับระยะที่เป็น  ระยะ 1 การรักษาในระยะนี้ ไม่ว่าจะเลือดออกหรือไม่ จะเน้นการใช้ยาและการปฏิบัติตัว  การใช้ยา จะเป็นพวก ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (Stool Softener) อาจใช้ยาประเภท Steroid เหน็บทวารเพื่อลดการอักเสบ การปฏิบัติตัว คือ ทานอาหารมีกากมากๆ  ทานน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการเบ่ง หรือนั่งนานๆ  มีบางแห่ง อาจใช้ Infrared ช่วย แต่ไม่จำเป็นครับ ระยะ 2-3 ต้นๆ การรักษาด้วยยา รวมทั้ง การปฏิบัติตัวเหมือนเดิม  อาจใช้ยางชนิดพิเศษ รัดริดสีดวงทวาร ( Rubber Band Ligation) ซึ่งได้ผลดีมาก  ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ทำได้บ่อยๆ  ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ระยะ 3 ที่ใหญ่ๆ - 4 ต้องผ่าตัดครับ เมื่อไรที่ต้องผ่าตัดริดสีดวง? เป็นระยะ 3ที่ใหญ่ หรือ ระยะ 4  เป็นทั้ง ภายนอกและ ภายใน พร้อมกัน (Mixed Type)ซึ่งไม่สามารถ ที่จะใช้ยางรัดได้ (เพราะจะเจ็บมาก)  มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน  ปวดมาก  หรือ หัวริดสีดวงเน่า จากการขาดเลือด  นั่นคือ จะเห็นว่า  ถ้าเป็นไม่มากจริงๆ  ไม่ต้องผ่าตัดครับ  สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้  เรารักษาเองได้ไหม? จริงๆ แล้วโรคริดสีดวงไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย อย่างมากก็เจ็บ เลือดออกส่วนใหญ่มักจะไม่มาก แต่ที่มากๆ จน Shock ก็มีครับ  แต่ที่น่าจะระวังมากกว่านั้นคือ  เราอาจไม่ได้เป็นริดสีดวงก็ได้  อาการถ่ายเป็นเลือดสดนั้น อาจเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น โรคแผลที่ทวารหนัก (Anal fissure) ฯลฯ แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ เนื้องอก หรือมะเร็ง บริเวณ ลำไส้ตรง หรือ ทวารหนัก ซึ่งจะมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด เหมือนกัน ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจร่างกายธรรมดาเท่านั้น การรักษานั้น คนละเรื่องครับ ดังนั้น ถ้ามีอาการถ่ายเป็นเลือด ไม่ควรรักษาตัวเอง  ควรมาพบแพทย์ครับ การป้องกัน ขับถ่ายให้เป็นเวลา  ไม่ทำให้ท้องผูก  กินอาหารที่มีกาก  ผักผลไม้  เพื่อช่วยในการขับถ่าย  ดื่มน้ำมากๆ  ถ้ามีอาการผิดปรกติ  รีบปรึกษาแพทย์  การปฏิบัติตัว เมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก อาการของโรคริดสีดวงทวารหนัก มีดังนี้คือ อาการปวดมีเลือดออกและมีมูกบริเวณทวารหนัก ซึ่งมีหลักปฏิบัติง่าย ๆ  10 ประการจะช่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้อาการของโรคริดสีดวงทวารหนักรุนแรงขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง  เช่น ข้าวกล้อง  ผัก  ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร  เช่น อาหารรสเผ็ดจัด   ชา   กาแฟ   เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ดูแลสุขอนามัย และรักษาความสะอาดของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ ออกกำลังการสม่ำเสมอ  เช่น เดินเร็ว  ว่ายน้ำ     แต่หลีกเลี่ยงกีฬาบางประเภท  เช่น ขี่จักรยาน   ขี่ม้า พยายามหลีกเลี่ยงการยกของหนัก ฝึกหัดการถ่ายให้เป็นเวลา     การดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า     จะช่วยการขับถ่ายได้ หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับเกินไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงคับ ๆ  ไม่ควรอยู่ที่ร้อน ๆ เป็นเวลานานเกินไป เมื่อมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น   มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ   รู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนัก   ควรรีบปรึกษาแพทย์ ทำไมคนตั้งครรภ์มักเป็นริดสีดวงทวาร ริดสีดวงเกิดเพราะการที่ตั้งครรภ์มีเด็กในท้อง ซึ่งในบางท่าทางเด็กจะไปกดหลอดเลือดในช่องท้อง ขัดขวาง ทำให้การไหลกลับไม่สะดวก ของเลือดในทิศทางปกติ นั่นคือ เลือดจะย้อนไปอีกระบบนึง ซึ่งทางติดต่อของระบบนั้น หนึ่งในนั้นคือริดสีดวง คือ เส้นเลือดบริเวณที่ปากทวารนี่แหละครับ ทำให้ มันโต โป่งมากกว่า ปกติ ซึ่งจะเป็นมากขึ้น เมื่อท้องแก่ขึ้น   นอกจาก ริดสีดวงแล้ว ผลจากการที่หลอดเลือดดำใหญ่ โดนกด ไหลไม่สะดวกคือ เส้นเลือดขอดที่ขาครับ หลังคลอดแล้วมักหาย แต่อาจเหลือร่องรอย เช่น ติ่งเนื้อได้ครับ ซึ่งไม่ต้องทำอะไร  ถ้าไม่มีอาการอื่นครับ แพทย์ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ แผนกศัลยกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

8 ขั้นการเตรียมการเลิกบุหรี่

8 ขั้นการเตรียมการเลิกบุหรี่            ในวันที่ 31 พฤษภาคม กำหนดให้เป็นวันงดบุหรี่โลก   ในวันนี้เอง ที่ผู้สูบบุหรี่จำนวนหนึ่ง ถือเป็นวันดีเดย์ สำหรับการเลิกบุหรี่อย่างถาวร ใครที่กำลังคิดเช่นนั้น  มีข้อแนะนำในการเตรียมตัวสำหรับวันนั้นครับ แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริง เกี่ยวกับบุหรี่ และการเลิกบุหรี่กันก่อนครับ  ทำไมการเลิกบุหรี่ถึงเป็นเรื่องยาก   เหตุที่ทำให้การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องยากนั้น มีสาเหตุที่สำคัญ 2 อย่างคือ - การติดเพราะร่างกายต้องการ หรือ Psysical Addiction - การติดเพราะสูบจนเป็นนิสัย หรือ Psychological Addiction หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นHabit จริง ๆ แล้ว การติดบุหรี่ของคนเรา มักจะประกอบไปด้วยทั้ง 2 องค์ประกอบข้างต้น  ดังนั้นการเลิกบุหรี่ จึงจำเป็นต้องกำจัดสาเหตุทั้งสองอย่างออกไปให้ได้พร้อม ๆ กัน ข้อเท็จจริงของการติดที่เรียกว่า Psysical Addiction            ภายในเวลาเพียงแค่ 7 ถึง 10 วินาที ที่เราสูบบุหรี่ สาร Nicotine   ก็จะเริ่มส่งผลกระทบต่อสมองของเราโดยทันที ทำให้เราเกิดความรู้สึกพึงพอใจ กระฉับกระเฉง ขึ้นมาทันที  แต่อย่างก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 30 นาที Nicotine ก็จะสลายออกไปจากร่างกายเราหมด และเมื่อนั้น ความรู้สึกเหนื่อย กระสับกระสาย และ เครียดก็จะเข้ามาแทนที่ จนต้องสูบมวนใหม่ และความต้องการนั้นก็จะเพิ่มปริมาณ และความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอาการติดไปในที่สุด   ข้อเท็จจริงของการติดที่เรียกว่า Psychological Addiction หรือ Habit           ข้อนี้ ลองถามตัวเองดูว่า บุหรี่ มีความสำคัญกับชีวิตประจำวันของคุณมากแค่ไหน          สาเหตุของการติดในลักษณะนี้ อธิบายง่าย ๆ ตามหลักการของ Ivan Pavlov ในทฤษฎีที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า “หมาได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล เพราะคิดว่าจะได้อาหาร” กล่าวคือ ได้มีการทดลอง นำกระดิ่งมาสั่น           ทุกครั้งก่อนที่จะให้อาหารสุนัข สุนัขก็จะรับรู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเสียงกระดิ่ง จะได้อาหารและเมื่อกระดิ่งดังขึ้น สุนัขก็จะน้ำลายไหล แม้ว่าการสั่นกระดิ่งในครั้งนั้น จะไม่มีอาหารให้ก็ตาม เพราะสุนัขเรียนรู้ว่า “เอาหละ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้น ฉันจะได้อาหารแล้ว”           ทีนี้มาลองเปรียบเทียบกับคนติดบุหรี่ เราจะเห็นได้ว่า คนติดบุหรี่นั้น          มักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่มาควบคู่ไปกับการสูบบุหรี่ เช่น เมื่อขับรถจะสูบบุหรี่ทุกครั้งเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะต้องหยิบบุหรี่สูบ ทีนี้ทุกครั้งที่ขึ้นนั่งบนรถ สมองก็จะสั่งว่า “เอาหละฉันขึ้นนั่งบนรถแล้ว ไหนล่ะบุหรี่” แบบนี้เป็นต้น   การเลิกบุหรี่             การเลิกบุหรี่ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือด้วยกระบวนการทางการแพทย์ สามารถช่วยอาการติดแบบ Psysical Addiction ได้ แต่สำหรับ Habit แล้ว ต้องอาศัยกำลังใจความเข้มแข็ง และความตั้งใจจริง ถ้าหากคุณเป็นผู้หนึ่ง ที่คิดจะเลิกบุหรี่ในวันพรุ่งนี้ วันงดบุหรี่โลก หรือวันไหนก็แล้วแต่ ที่ถือเป็นวันดีสำหรับคุณ          ลองมาปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้ เพราะมันจะช่วยให้คุณ ไม่หวนกลับมาหาบุหรี่อีกเลย           1. ทิ้งบุหรี่ที่คุณมีอยู่ให้หมด หาให้ทั่วว่าคุณอาจจะซุกซ่อนบุหรี่ของคุณเอาไว้ที่ไหน ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง เสื้อแจ็คเก็ต ลินชักโต๊ะทำงาน โยนทิ้งไม่ให้เหลือแม้กระทั่งมวนเดียว ไม่ว่ามันจะมีราคาแพงแค่ไหนก็อย่าเสียดายเป็นอันขาด          2. ที่เขี่ยบุหรี่ก็ทิ้งไปเสียด้วย กรณีที่เสียดายเพราะมันเป็นเครื่องตกแต่งราคาแพง อาจจะยกให้คนอื่นไปเสีย หรือนำไปเก็บไว้ในที่ ๆ คุณแน่ใจว่า จะไม่มองเห็นหรือหยิบออกมาได้โดยง่าย          3. เปลี่ยนทรงผม จะได้ดูว่า เรากำลังจะเป็นคนใหม่            4. ทำความสะอาดบ้านและเครื่องเรือนทั้งหมด รวมทั้งเสื้อผ้าก็นำมาซักให้สะอาด ให้กลิ่นบุหรี่หมดไป จริงอยู่คนสูบบุหรี่จะไม่ได้กลิ่นเหล่านี้หรอก เพราะความเคยชิน แต่เมื่อเลิกแล้ว คุณจะได้กลิ่นของมัน          5. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพราะมันจะช่วยชำระล้าง Nocotine ออกจากร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการอยากบุหรี่ได้ด้วย         6. ลดปริมาณสาร Caffeine ที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟก็ตาม โดยก่อนการเลิกบุหรี่ ควรจะพยายามลดปริมาณสารนี้ให้ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่เคยรับประทานในแต่ละวัน เพราะ Nicotine ทำให้ caffeine ซึมเข้าร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณรับประทาน Caffeine ในปริมาณเท่าเดิม ขณะที่สูบบุหรี่ อาจจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า Caffeine Toxicity โดยมีอาการ กระวนกระวายและเครียดได้ แลtนั่นอาจจะทำให้คุณหันกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง         7. ออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้เราเอาใจออกห่างจากบุหรี่ได้ด้วย        8. หาเพื่อนที่มีความต้องการจะเลิกบุหรี่ด้วยกันสักคน แล้วเลิกพร้อมกันเพื่อที่จะได้เป็นที่ปรึกษา คอยเตือนและคอยให้กำลังใจกัน หรืออาจจะเป็นการหาแรงบันดาลใจอื่น เช่น เลิกเพื่อลูก เลิกเพื่อบิดามารดา หรือคนรักก็ได้                                             หวังว่าทุกท่าน ที่ตั้งใจแน่วแน่ คงเลิกบุหรี่ได้นะครับ                                                            โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 คำถามที่หน้าสนใจเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า

7 คำถามที่หน้าสนใจเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า สัตว์อะไรบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า?           ที่พบมากที่สุดคือสุนัข รองลงมาคือแมว ม้า ลิงและปศุสัตว์(วัว,ควาย) สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก กระแต มีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลายได้ แต่พบน้อย 1)  สัตว์อะไรบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า?           ที่พบมากที่สุดคือสุนัข  รองลงมาคือแมว ม้า ลิงและปศุสัตว์(วัว,ควาย)  สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก  กระแต มีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลายได้ แต่พบน้อย  2)  ถ้าถูกสัตว์กัดจะมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเพียงใด?         -ถ้าสัตว์ที่กัดไม่ได้ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จะไม่มีโอกาสเป็นโรค           -ถ้าไม่ทราบว่าสัตว์เป็นโรคหรือไม่  ต้องคิดว่าสัตว์เป็นโรคไว้ก่อน           -ผู้ที่ถูกสุนัขหรือสัตว์ที่เป็นโรคกัด  ไม่ป่วยเป็นโรคทุกราย โอกาสเป็นโรคโดยเฉลี่ยประมาณ  35% ขึ้นกับบริเวณที่ถูกกัด          -ถ้าถูกกัดที่ขา โอกาสเป็นโรคประมาณ 21 %           -ถ้าถูกกัดที่ใบหน้า  โอกาสเป็นโรคประมาณ  88 %           -ถ้าแผลตื้น แผลถลอก โอกาสเป็นโรคจะน้อยกว่า   แผลลึกหลายๆแผล   3) เชื้อติดต่อมาสู่คนได้อย่างไร?          เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลาย  ทางติดต่อสู่คนที่พบบ่อยคือถูกกัด  โดยทั่วไปเชื้อจะเข้าทางผิวหนังปกติไม่ได้ แต่อาจเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลอยู่เดิม หรือรอยข่วน   นอกจากนี้ยังเข้าได้ทางเยื่อเมือก(mucosa) ได้แก่  เยื่อบุตา  เยื่อบุจมูก  ภายในปาก  ทวารหนัก และ อวัยวะสืบพันธุ์   แม้ว่าเยื่อเมือกจะไม่มีบาดแผล สำหรับทางติดต่อที่มีใน   รายงานแต่พบน้อย ได้แก่ ทางการหายใจ, ทางการปลูกถ่ายกระจกตา  4) ถูกสุนัขบ้ากัด นานเท่าใดจึงมีอาการ?           ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งปรากฏอาการของโรคพิษสุนัขบ้า หรือที่เรียกว่าระยะฟักตัว จะแตกต่างกันได้มาก พบได้ตั้งแต่ 4 วันจนถึง 4 ปี   ผู้ป่วยประมาณ 70% จะเป็นโรคภายใน  3 เดือน  หลังถูกกัด, ประมาณ  96% จะเป็นโรคภายใน 1 ปีหลังถูกกัด แต่ส่วนมากมักมีอาการในช่วงระหว่าง สัปดาห์ที่ 3 จนถึงเดือนที่  4   5) สุนัขที่เป็นโรคอาการเป็นอย่างไร?          สุนัขที่ป่วยจะเริ่มปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลายตั้งแต่ 3 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 2 วันหลังมีอาการ  หลังจากนั้นจะปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลายตลอดเวลาจนกระทั่งตาย   ระยะฟักตัว  พบบ่อยในระยะ 3-8 สัปดาห์ แต่พบได้ตั้งแต่ 10 วันจนถึง 6 เดือน    อาการของโรค แบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบดุร้าย เป็นแบบที่พบบ่อย  แบบซึม จะแสดงอาการไม่ชัดเจน   อาการของโรค แบ่งได้ 3 ระยะ  1. ระยะอาการนำ  สุนัขจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น จากเคยเชื่อง ชอบเล่นกลายเป็นซึม กินข้าวกินน้ำ น้อยลง  ระยะนี้กินเวลา 2-3 วันก่อนเข้าระยะที่สอง  2. ระยะตื่นเต้น  เป็นอาการทางระบบประสาท สุนัขจะกระวนกระวาย ไม่อยู่นิ่ง กัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ตัวแข็ง น้ำลายไหล  ลิ้นห้อย ต่อมามีกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ระยะพบได้ 1-7 วันก่อนเข้าระยะท้าย  3. ระยะอัมพาต จะเกิดอาการอัมพาตทั่วตัว  ถ้ามีอาการอัมพาตสุนัขจะตายใน 24 ชม. รวมระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ  จนถึงตายจะไม่เกิน 10 วัน ส่วนใหญ่ตายใน 4-6 วัน            ในแบบซึมอาจมีระยะอัมพาตนานได้ถึง 2-4 วัน  และ  ในสุนัขที่เป็นโรคที่พิษบ้าจะไม่แสดง อาการกลัวน้ำให้เห็น   6) อาการพิษสุนัขบ้าในคนเป็นอย่างไร?            แบ่งได้ 2 แบบคล้ายสัตว์ คือ แบบกระสับกระส่าย,ดุร้าย(เกิดจากเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนอยู่ในสมองมาก)แบบนี้พบได้บ่อย  และ แบบอัมพาต (เกิดจากเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง) อาการในคนแบ่งได้ 3 ระยะ  1. ระยะอาการนำ  จะเริ่มมีไข้ อ่อนเพลียคล้ายไข้หวัด อาจมีปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน อาการที่แปลกไป  คือ อารมณ์เปลี่ยนแปลง   กังวล   กระสับกระส่าย      นอนไม่หลับ  อาการนำที่ชัดเจนที่พบบ่อยในคนไทย คือ อาการคันรอบๆบริเวณที่ถูกกัด หรือคันแขนขาข้างที่ถูกกัด  อาจมีอาการชา เจ็บเสียวรอบๆบริเวณที่ถูกกัด  2. ระยะอาการทางระบบประสาท แบ่งย่อยได้เป็น  -อาการกลัวน้ำ     จะมีอาการตึง แน่นในลำคอ      กลืนอาหารแข็งได้ แต่กลืนอาหารเหลวลำบาก เวลากินน้ำจะสำลัก  และเจ็บปวดเนื่องจากกล้ามเนื้อใน    ลำคอกระตุกเกร็ง               ภาพที่อธิบายไว้ถึงอาการกลัวน้ำ  คือ ผู้ป่วยหิวน้ำ พยายามเอื้อมมือหยิบถ้วยน้ำมาจิบช้าๆ แต่พอถ้วยยาแตะริมฝีปาก   ผู้ป่วยเริ่มมือสั่น   หายใจสะอึก เห็นกล้ามเนื้อลำคอกระตุกเกร็ง แหงนหน้าขึ้น  พ่นน้ำพ่นน้ำลายกระจายทั่ว   ถ้วยหล่นจากมือพร้อมทั้งเปล่งเสียงร้อง แสดงความเจ็บปวดไม่เป็นภาษาคน    บางคนที่กล้ามเนื้อควบคุมสายเสียงเป็นอัมพาต จะได้ยินคล้ายเสียงหมาเห่าหอน    ผู้ป่วยจะตายใน 2-3 วันหลังจากมีอาการกลัวน้ำ     - อาการกลัวลม  ผู้ป่วยจะสะดุ้งผวาเมื่อถูกลมพัด     -  อาการประสาทไว  ผู้ป่วยจะกลัว สะดุ้งเกร็งต่อสัมผัสต่างๆ    ไม่ชอบแสงสว่าง  ไม่อยากให้ใครมาถูกต้องตัว     - อาการคลุ้มคลั่งประสาทหลอน  ผู้ป่วยอาจอาละวาด ดุร้ายน่ากลัว    -  อาการอื่นๆ เช่นมาด้วยอัมพาต  3. ระยะสุดท้าย  ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว  เข้าสู่ระยะโคม่า       ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา จะมีชีวิตไม่เกิน 7 วัน หลังจากเริ่มอาการนำและอยู่ไม่เกิน 3 วัน หลังมีอาการทางระบบประสาท    7) ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกสุนัขข่วน,กัด ? 1. รีบล้างแผลด้วยน้ำและสบู่หลายๆครั้ง  พยายามล้างให้เข้าถึงรอยลึกของแผล ถ้าไม่มีสบู่ใช้ผงซักฟอกแทนก็ได้  2. ทำความสะอาดซ้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเช่น 70% alcohol  3. ถ้าแผลฉกรรจ์มีเลือดออก  ควรปล่อยให้เลือดออกระยะหนึ่งเพื่อล้างน้ำลายซึ่งอาจมีเชื้อไวรัสออก  4. ถ้าสามารถเฝ้าดูอาการสัตว์  (กรณีที่มีเจ้าของ หรือทราบตัวเจ้าของ)    ควรกักขังและเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 10 วัน  5. กรณีที่สัตว์ตาย ควรนำส่งเพื่อตรวจหาเชื้อด้วย  6. ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และ วัคซีนป้องกันบาดทะยักทันที ไม่ว่าจะสามารถเฝ้าดูอาการได้หรือไม่  โดยเฉพาะสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของหรือกัดแล้วหนี ควรมา รพ.ทันที  ไม่ควรและไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้สุนัขมีอาการก่อน เพราะระยะฟักตัวทั้งในคนและสัตว์ไม่แน่นอน  (เป็นช่วงที่กว้าง)  คนอาจมีอาการก่อนสัตว์ได้    7. ประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าของสัตว์,สัตว์มีเจ้าของไม่เคยออกนอกบ้าน ไม่เคยไปกัดกับใคร อาจช่วยลดโอกาสการเป็นโรคของสัตว์ดังกล่าวลง    แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่เป็นโรค เพราะฉะนั้นควรปฏิบัติ ตามข้อ1-6 เหมือนเดิม  8. กรณีที่เป็นแผลฉีกขาด อาจทำแผลไปก่อน  โดย ยังไม่ต้องเย็บแผลเนื่องจากแผลสกปรก โอกาสติดเชื้อจะสูงมาก โดยเฉพาะถ้าเย็บแผล                                                โดย  นพ.ธเนศ  พัวพรพงษ์   ศัลยแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon cancer) มะเร็งอันดับ 3 ในชายไทย (8.8 ราย / 100,000 คน) 

มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon cancer) เป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้น และเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ปี พ.ศ.2542 พบมะเร็งลำไส้ใหญ่บ่อยเป็นอันดับสามในชายไทย (8.8 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน) รองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด เป็นอันดับที่ 5 ในหญิงไทย (7.6 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน) โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป และพบว่าหนึ่งในสามของผู้ป่วยมะเร็งนี้จะมีประวัติมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว  มะเร็งลำไส้ โดยทั่วไปจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (colon) และลำไส้ตรง ( rectum) มากกว่าลำไส้เล็กครับ  สาเหตุ สาเหตุมีหลาย factor เช่น กรรมพันธ์,ยีน มีประวัติคนเป็นในครอบครัว  โรคของลำไส้บางชนิด เช่น ติ่งเนื้อในลำไส้ (FAP=familial adenomatous polyposis coli) พวกนี้โอกาศเป็นมะเร็ง 100% ฉะนั้นมักต้องตัดลำไส้ทันทีที่ทราบว่าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง (ulcerative colitis)  ในเรื่องของอาหารการกินก็มีส่วน คือพบว่าการกินอาหารไขมันสูง,กากน้อย จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น(High fat,low fiber)ทำให้โรคนี้มักเป็นกันมากในแถบ europe และ USA ซึ่งทานแต่เนื้อไม่ค่อยทานผัก(พวก fast food)  เป็นเอง ไม่ทราบสาเหตุ อาการขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น คือ ลำไส้ใหญ่ฝั่งขวา  อาจมาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือดประจำ อ่อนเพลีย  ซีด  น้ำหนักลดจากการเสียเลือดเรื้อรัง  ลำไส้ใหญ่ฝั่งซ้าย   อาจมาด้วย ปวดท้อง ท้องอืดประจำ อาจมีถ่ายเป็นมูกเลือดได้ แต่พวกนี้มักมาด้วย  ลำไส้อุดตันบ่อยครับ คือท้องอืดไม่ถ่าย ไม่ผายลม ต้องรีบ ผ่าตัดเลยครับ อาจมีอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด ได้เหมือนกัน  ลำไส้ตรง  อาจมีอาการท้องเสีย สลับท้องผูกประจำ, ถ่ายเป็นมูกเลือด, ซีดลง, ถ่ายไม่สุด, ถ่ายลำเล็กลง, ถ่ายเป็นเม็ดกระสุนออกมา จนถึงอุดตัน จนถ่ายไม่ออก  ท้องอืด  สรุปอาการที่เด่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน คือ อ่อนเพลีย ซีด ปวดท้อง แน่นท้อง รวมทั้งถ่ายเป็นมูกเลือดครับ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปัจจุบันมีการศึกษาด้านชีวภาพของโรคนี้มากขึ้น ทำให้เข้าใจถึงพยาธิกำเนิดนำไปสู่แนวทางการป้องกันโดยการตรวจคัดกรอง (Screening) ทำให้วินิจฉัยมะเร็งนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่มะเร็งลำไส้ใหญ่จะลุกลาม ส่งผลให้เพิ่มอัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น มีการตรวจหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ได้แก่ การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test : FOBT) เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลาย จากข้อมูลทางยุโรปและสหรัฐ พบว่าร้อยละ 1-2.6 ของผู้ที่ให้ผลบวกของ FOBT มีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ข้อจำกัดของวิธีนี้คือ ความไวต่ำและมีผลบวกลวงสูง โดยเฉพาะผู้ที่ชอบบริโภคเนื้อแดง หรือผักจำพวกหัวผักกาด กระหล่ำดอก บล็อกโคลี หัวไชเท้า แคนตาลูป ฯลฯ ซึ่งผู้ตรวจควรงดรับประทานอาหารดังกล่าว 3 วัน ก่อนเก็บตัวอย่างอุจจาระ มาตรวจ และอาจต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระมาตรวจซ้ำ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ซึ่งผู้คัดกรอง หลายท่านไม่สะดวกและรู้สึกยากลำบากในการเก็บตัวอย่างมาตรวจนั่นเอง การตรวจลำไส้ใหญ่โดยการสวนแป้งและเอกซเรย์ (Double (air) Contrast Barium Enema : DCBE) เป็นทางเลือกหนึ่งในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอดีต โดยใช้แป้งแบเรียมสวนเข้าทางทวารหนัก ประสิทธิภาพในการตรวจนี้ไม่ชัดเจน ความไวในการตรวจน้อยกว่าการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ถ้าติ่งเนื้องอกขนาดเล็กกว่า 1 ซม. ข้อจำกัดอีกอย่างคือ ผู้รับการตรวจอาจไม่สามารถทนการตรวจได้ เพราะต้องอัดแป้งเข้าไปประกอบกับต้องกลั้นทวารหนัก พลิกตะแคงไปมาและยังต้องการรังสีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ความชำนาญในการอ่านผลเป็นอย่างดี การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscope) การส่องกล้องเป็นวิธีที่มี Cost Effective สูงสุดในปัจจุบัน สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ จึงเป็นที่แนะนำของสมาคมแพทย์ต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากจะเห็นเนื้องอกชัดเจนแล้วยังสามารถนำติ่งเนื้องอกออกได้โดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตามวิธีนี้จัดว่ามีภาวะแทรกซ้อนได้ร้อยละ 0.03-0.72 มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้รับการตรวจต้องอดอาหารและเตรียมลำไส้ใหญ่ให้โล่งว่าง ทั้งยังต้องการแพทย์ผู้ชำนาญในการส่องกล้องตรวจเพื่อความแม่นยำและลดภาวะแทรกซ้อนในการตรวจ การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography) เป็นการนำ Helical CT ซึ่งมีความละเอียดสูง มาประกอบภาพ 3 มิติของลำไส้ใหญ่ ข้อดีคือ ทำให้เร็วและปลอดภัย เห็นภาพได้ตลอดความยาวลำไส้ใหญ่และมองเห็นผิวนอก ต่อมน้ำเหลืองรอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างคือ ความไวและความจำเพาะไม่มาก ทั้งยังต้องเตรียมและต้องเป่าลมเข้าลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้ยังมีไม่มากและไม่สามารถเบิกจ่ายค่าตรวจจากระบบประกันสุขภาพได้ การรวจหาดีเอนเอ (Fecal DNA Testing) มีความไวในการคัดกรองหามะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าการตรวจ FOBT ถึง 4 เท่า แต่มีความไว ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ การตรวจนี้อาจเป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็น เครื่องมือในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต การป้องกัน จากสาเหตุดังกล่าวการป้องกันเท่าที่ทำได้ คือถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง คงต้องพบแพทย์สม่ำเสมอ อาจต้องตรวจอุจจาระ ส่องกล้องดูลำไส้ ประจำ เช่น ปีละครั้ง เมื่ออายุมากกว่า 35 ปี ถ้าไม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ก็กินผักมากๆ อาหารมันๆน้อย ถ่ายอาจตรวจอุจจาระ (stool occult blood) ปีละครั้ง เริ่มตอนอายุ 40 ปี แค่นี้ก็พอครับ  แพทย์ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ แผนกศัลยกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม

7 อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม อาการปวดนั้นเกิดขึ้นกับเราได้หลายรูปแบบครับเมื่อวานนี้คุณไปยกของหนักก็ปวด นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปก็ปวด เป็นหวัดก็ปวด หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด    7 อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม      อาการปวดนั้นเกิดขึ้นกับเราได้หลายรูปแบบครับเมื่อวานนี้คุณไปยกของหนักก็ปวด นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปก็ปวด เป็นหวัดก็ปวด หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด     แต่มีอาการปวดบางประเภทครับที่คุณไม่ควรมองข้ามและควรจะปรึกษาแพทย์โดยทันทีเพราะอาการปวดเหล่านั้น มันอาจจะบ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างที่เราคิดไม่ถึง ดังต่อไปนี้ครับ 1.ปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือปวดสุดๆเท่าที่เคยปวดมาเลยแบบนี้ ต้องพบแพทย์ครับ หากว่าคุณเป็นหวัดแล้วปวดสุด ๆ มันอาจจะมีสาเหตุมาจากไซนัสก็ได้ หากไม่เป็นหวัด ก็อาจจะมีสาเหตุที่รุนแรง เช่น เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองก็เป็นได้ ซึ่งบางครั้งต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายที่ละเอียด หรือ ต้องใช้เครื่องมือ เช่น CT Scan เพื่อช่วยการวินิจฉัยโรค 2.ปวดหน้าอก อาการปวด หรือแน่น อึดอัด บริเวณหน้าอก คอ ขากรรไกร ไหล่ แขน หรือ ท้อง (Pain or Discomfort in the Chest, Throat, Jaw, Shoulder, Arm, or Abdomen) อาการปวดแถวนี้เป็นได้จากหลายสาเหตุครับ โดยอาการปวดบริเวณหน้าอกอาจจะเกี่ยวเนื่องกับโรคหัวใจได้ แต่ควรระวังว่า ภาวะที่เกิดจากหัวใจนั้น โดยทั่ว ๆ ๆไปจะแสดงออกมาในรูปของอาการแน่น อึดอัด ไม่สบาย มากกว่าอาการปวดโดยผู้ป่วยโรคหัวใจจะอธิบายไว้ครับว่า เหมือนกับมีช้างมานั่งทับอยู่บนหน้าอกนั่นแหละ       ส่วนตำแหน่งที่รู้สึกไม่สบายนั้น มักจะเป็นส่วนบนของหน้าอก คอ ขากรรไกร ไหล่ซ้าย หรือแขนครับ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกท่วมตัว จะเป็นลม หน้าดูซีด แบบนี้ต้องรีบไปรพ.โดยด่วนเลยครับ บางครั้งอาจมีอาการปวดท้องก็มักจะเกิดขึ้นร่วมกันอาการคลื่นไส้ ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นอาการของโรคจากทางเดินอาหาร ( GI Distress) จริงๆแล้วเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจที่ผนังด้านล่างขาดเลือด       แต่สำหรับอาการของผู้หญิงนั้น จะดูยากกว่าเพราะผู้ป่วยมักจะคิดว่าเป็นอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเช่น ท้องอืด แน่น หรือ ความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง มักไม่ค่อยคิดว่า ตนเองอาจมีโรคหัวใจ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการเหนื่อยร่วมด้วย อีกทั้งโอกาสในการเป็นโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นมากในผู้หญิงวัยทอง ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องระมัด ระวังและอย่าไปนิ่งนอนใจเพราะคิดว่าอาการดังกล่าวเป็นเพียงแค่อาหารเป็นพิษเท่านั้น 3.ปวดหลัง       อาการปวดหลังส่วนล่างหรือ ระหว่าง สบัก ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคิดว่าเป็นอาการของข้ออักเสบ (arthritis) กล้ามเนื้ออักเสบ แต่ก็สามารถจะเป็นอย่างอื่นได้อีก รวมทั้งโรคหัวใจ หรือ ปัญหาเกี่ยวกับช่องท้อง (Abdominal problems) ที่เป็นอันตรายอีกอย่างหนึ่งก็คือ Aortic Dissection คือเส้นเลือดใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีการแยกชั้น ซึ่งอาการปวดอาจจะเป็นไปในลักษณะ ค่อยๆ ปวดเพิ่มขึ้น หรือ ปวดทันทีทันใดก็ได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงมาก ก็คือ ผู้ที่มีโรคความดันสูง ผู้ที่สูบบุหรี่ และเป็นโรคเบาหวานโรคนี้อันตรายมากเช่นเดียวกัน ต้องรีบไปรพ.โดยด่วน 4.ปวดท้อง อาการปวดท้องอย่างรุนแรง (Severe Abdominal Pain) ถ้าหากไส้ติ่งของคุณยังอยู่ นั่นอาจะเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่สาเหตุของมันอาจจะเป็นอย่างอื่นอีกก็ได้เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ ,ตับอ่อนอักเสบ ,กระเพาะทะลุ ,ลำไส้อุุดตัน โดยแต่ละอย่างมีลักษณะที่พอแยกได้ดังนี้ -          ไส้ติ่งอักเสบ จะปวดท้องด้านขวา ล่าง ต่ำกว่าระดับของสะดือ อาจมีหนาว หรือมีไข้ เบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง -          ตับอ่อนอักเสบ จะปวดใต้ลิ่นปี่ ร้าวไปหลัง ปวดมากๆ บางคนมีประวัติ ทานเหล้า เบียร์มาเยอะ แต่บางคนก็เกิดจากนิ่วจากถุงน้ำดีหล่นมาอุด พวกนี้จะไม่มีประวัติกินเครื่องดื่ม Alcohol กระเพาะอาหาร พวกนี้ก็จะปวดใต้ลิ่นปี่ ร้าวไปหลังได้คล้ายๆ ตับอ่อนอักเสบ แต่ถ้าแค่กระเพาะอักเสบ อาการจะไม่รุนแรงมาก ปวดเฉพาะลิ้นปี่ ด้านล่างๆจะไม่ปวด คนไข้จะพอเดินได้ แต่ถ้ากระเพาะอาหารทะลุ พวกนี้จะปวดลิ้นปี่รุนแรง มักปวดด้านล่างร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักล่างขวา แต่บางทีก็ปวดทั่วท้องเลย มักต้องหามมา เดินไม่ไหว ลำไส้อุดตัน ส่วนใหญ่มักปวดเป็นพักๆ บีบๆ เหมือนอะไรวิ่งเป็นลูกๆในท้อง มีอาการ ไม่ถ่าย ไม่ผายลม มักมีประวัติเคยผ่าตัดช่องท้องดังนั้นถ้าปวดท้องรุนแรง ต้องรีบพบแพทย์เลยครับ 5.ปวดขา       อาการปวดบริเวณน่อง (calf)ที่จัดว่าอาการปวดบริเวณนี้เป็นอันตรายก็เพราะสาเหตุของมันอาจจะมาจากเส้นเลือดดำอุดตัน (deep vein thrombosis) หรือDVT ก็ได้โดยเส้นเลือดที่อุดตันนั้น สามารถเกิดขึ้นที่ deep veins ของขาได้ และโรคนี้เกิดขึ้นกับคนอเมริกันมากถึงปีละ 2 ล้านคน แล้ว ซึ่งที่เราอาจเคยได้ยินว่าคนที่นั่งเครื่องบินชั้น Economy Class แล้วเกิดเส้นเลือดดำอุดตัน ก็คือโรคนี้แหละครับและเมื่อมันเกิดขึ้น มันก็รบกวนการดำเนินชีวิตมากเสียด้วยและสิ่งที่เป็นอันตรายก็คือ ก้อนเลือดเล็ก ๆ ที่อุดตันนั้น สามารถที่จะหลุดออกและไปอุดที่อื่นแทนซึ่งหากเป็นจุดสำคัญ เช่นไปอุดเส้นเลือดในปอดก็เป็นอันตรายถึงชีวิต กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคอ้วน คนท้อง รวมทั้ง ผู้ที่ต้องเดินทางนั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ หรือพวกที่หลังผ่าตัด นอนนานๆ ไม่ค่อยได้ขยับตัว ขยับเขยื่อนร่างกาย บางครั้งอาการจะปรากฏออกมาให้เป็นในรูปของการบวม ตึงที่น่องแต่ไม่ปวด หรือทั้งปวดทั้งบวมบริเวณกล้านเนื้อน่องก็ได้ ไม่เพียงแต่เส้นเลือดดำอุดตันที่อุดตันได้ เส้นเลือดแดงก็สามารถอุดตันได้เช่นเดียวกัน โดยจะมีอาการปวดที่ขา ปวดมาก จะมีอาการขาเย็นร่วมด้วย เย็นแบบรู้สึกได้เลย ขาจะดูซีด แบบนี้ก็ต้องรีบไปรพ.ด่วนเลย ไม่งั้นกล้ามเนื้อจะตาย 6.ปวดเท้า      อาการปวดร้อนที่เท้าและขา (Burning Feet or Legs) มีคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจำนวนมากไม่ได้รับการรักษา เพราะบางคนไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคดังกล่าว อาการนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ในเริ่มแรก โดยจะรู้สึก burning or pins-and-needles sensation ที่เท้าและขา นั่นเป็นการบ่งบอกว่า เกิดความเสียหายขึ้นกับเส้นประสาทเข้าแล้ว ในคนไข้ที่เป็นมากๆ โรคเบาหวานจะทำให้เส้นประสาทเสีย เกิดอาการชาที่เท้าแทน ทำให้คนไข้สามารถเดินเหยียบบุหรี่ได้โดยไม่รู้สึก บางครั้งเกิดเป็นแผลจนเน่าถึงรู้ตัวว่ามีแผลเพราะได้กลิ่นก็มี 7.ปวดแปลกๆ อาการปวดแบบแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้ (Vague, Combined, or Medically Unexplained Pains) จริง ๆ แล้วอาการปวดมีหลายแบบ บางคนอาจจะบอกว่า ปวดศีรษะแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ปวดท้องหรือปวดแขน แปลก ๆ อธิบายไม่ถูกหรืออาจจะมีอาการปวดหลายแบบผสมกัน       อาการปวด อาจะเป็นอาการเรื้อรัง และ ไม่ได้รุนแรง การอธิบายออกมาไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าใจอาการผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีความเครียดดังนั้น ยิ่งถ้าคุณมีความเครียด หรือวิตกกังวลมากเท่าไหร่ ก็ให้พยายามอธิบายความรู้สึกให้มากเข้าไว้ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอาการในลักษณะอื่น ๆ ที่แสดงออกมาอีก และเมื่อไหร่ที่ควรจะมาพบแพทย์ ตัวคุณเองต้องลองสังเกตดูว่า อาการที่เกิดกับตัวคุณนั้นส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันหรือไม่ มันทำให้คุณไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้หรือเปล่าหรือมันทำให้คุณอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็ค เช็คให้รู้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย  ดังนั้น จงอย่านิ่งเงียบและทนปวดอยู่คนเดียวครับ แพทย์ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ แผนกศัลยกรรม  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ลดแผลให้เล็กลงอีกนิด ด้วยการผ่าตัดแบบส่องกล้อง

ลดแผลให้เล็กลงอีกนิด ด้วยการผ่าตัดแบบส่องกล้อง    ลดแผลให้เล็กลงอีกนิด ด้วยการผ่าตัดแบบส่องกล้อง             ปัจจุบันการผ่าตัดส่องกล้องสามารถนำมาใช้ได้กับหลายโรค ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าตัดไส้เลื่อน การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ไทรอยด์ หรือแม้การผ่าตัดเต้านม เป็นต้น การผ่าตัดส่องกล้องช่วยให้คนไข้บาดเจ็บน้อยลง ด้วยขนาดของแผลผ่าตัดที่เล็กลง พักฟื้นเพียงไม่นานก็สามารถกลับบ้านได้เร็วขึ้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เร็วขึ้น             การผ่าตัดส่องกล้องแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การผ่าตัดแบบเปิด (Open surgery) เป็นการผ่าตัดแบบธรรมดา กับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery) เป็นการผ่าตัดแผลเล็กโดยใช้เครื่องมือเพื่อเข้าไปช่วยในการผ่าตัด ยกตัวอย่างเช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง ปกติแล้วหากเป็นการผ่าตัดแบบธรรมแผลผ่าตัดจะค่อนข้างกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร หรือกรณีที่เป็นเคสผ่าตัดที่มีความยาวมากขึ้น แผลผ่าตัดอาจจะกว้างขึ้น เป็น 10 เซนติเมตร ซึ่งเทียบการผ่าตัดส่องกล้องกับการผ่าตัดแบบธรรมดาแล้วให้ความปลอดภัยในเรื่องการบอบซ้ำของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆน้อยลงในกรณีที่เมื่อกล้องส่องเข้าไปแล้วพบปัญหาอื่นๆ เช่น ซีสต์ที่รังไข่หรือมดลูก ก็สามารถที่จะทำการผ่าตัดได้เลยโดยไม่ต้องขยายแผลให้ใหญ่กว่าเดิม โดยระยะเวลาที่ทำการผ่าตัดรักษาก็แตกต่างกัน การผ่าตัดแบบส่องกล้องอาจจะใช้ระยะเวลานานขึ้นโดยมากใช้เวลาประมาณ 45 นาทีต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นจากการเซตอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อการเตรียมตัวในการผ่าตัด อาจจะเพิ่มเวลาเป็น 15-30 นาทีจากการผ่าตัดปกติ แต่มีข้อดีคือ แผลผ่าตัดจะเล็กกว่า ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ระยะเวลาของการพักฟื้นในโรงพยาบาลจะสั้นกว่า เมื่อเทียบกับการผ่าตัดเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่กับโรคที่ผ่าตัด เช่น หากเป็นการผ้าตัดบริเวณลำไส้ใหญ่ จากเดิมใช้เวลาในโรงพยาบาล 7-14 วันจะลดเวลาลงเหลือเพียง 3-5 วันเท่านั้น ทำให้คนไข้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น   ข้อห้ามการผ่าแบบส่องกล้อง           ควรเป็นคนไข้ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเลือดออกง่าย หรือเลือดมีการแข็งตัวไม่ดี จะทำให้คนไข้มีการเสียเลือดมากในระหว่างการผ่าตัด             คนไข้ที่เคยผ่านการฉายแสงหรือเคยผ่าตัดหลายครั้ง จนมีพังผืดค่อนข้างมากเพราะทำให้ยากต่อการส่องกล้องผ่าตัด อีกทั้งจะไม่มีพื้นที่ในการเป่าลมเพื่อขยายภายในช่องท้องทำให้ไม่มีพื้นที่ในการผ่าตัดได้สะดวก นายแพทย์แม็กซ์  ซอร์เจีย  จิรพงศาธร  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทั่วไป  รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม